++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เวทีนโยบาย:'ผู้สูงอายุ' ดอกลำดวนในสายธารความรุนแรง

โดย ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ 5 ตุลาคม 2552 14:33 น.
'ไม้ใกล้ฝั่ง' สำนวนที่มีความหมายถึงการแก่ใกล้จะตายอาจทำให้หลายคนขยาดครั่นคร้ามถึงวัน
วัยสนธยา หาได้ตระหนักว่าสักวันตนเองก็ต้องแก่เฒ่าร่วงโรยไม่แคล้วกัน
อีกทั้งนับวันคนช่วงวัยนี้ก็จะทวีคูณขึ้นมหาศาลในทุกมุมโลกอันเนื่องมาจาก
การเปลี่ยนผ่านจากเกิดมากตายมากมาเป็นเกิดน้อยตายน้อย
โดยมีบทลงเอยที่สัดส่วนของประชาโลกกลายเป็นกลุ่มสูงอายุมากอย่างไม่เคยมา
ก่อน

การเปลี่ยนแปลงทางประชากร (Demographic transitions) จากสัดส่วน 1
ใน 10 ของประชากรโลกอายุเกิน 60 ปีหรือมากกว่านั้นในปัจจุบัน
จะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 5 ในปี 2050 และสูงถึง 1 ใน 3 ในปี 2150
กล่าวเฉพาะประเทศไทยวันนี้ก็มีประชากรสูงอายุมากกว่า 1 ใน 10
และภายในสองทศวรรษข้างหน้าหรือ พ.ศ. 2573 ประชากรสูงอายุก็จะทะยานมากกว่า
1 ใน 4 ของประชากรรวม

สัดส่วนผู้สูงอายุไทยที่ทวีต่อเนื่องสวนทางกับอัตราส่วนเกื้อหนุนผู้
สูงอายุที่มีแนวโน้มลดลงเหลือแค่ 6 ในปี 2552
เช่นนี้มีผลกระทบโดยตรงต่อผู้สูงวัยในอนาคตอันใกล้
เนื่องด้วยผู้ที่อยู่ในวัยแรงงานจะต้องรับภาระดูแลเลี้ยงดูผู้สูงอายุมาก
ขึ้น ซึ่งในที่สุดทั้งคู่จะอยู่ในสภาพอ่อนแอ
โดยท้ายสุดผู้สูงอายุจะถูกทอดทิ้ง ยิ่งถึงปี 2573
ที่จะเหลือประชากรวัยแรงงานประมาณ 2 คนต่อประชากรวัยสูงอายุ 1 คนด้วยแล้ว
ปรากฏการณ์ผู้สูงอายุถูกทอดทิ้งคงเต็มผืนแผ่นดินไทย

ไม่เท่านั้น ความรุนแรงจะทวีคูณขึ้นเป็นเงาตามตัว
ดังปัจจุบันนี้ที่สื่อมวลชนเผยแพร่เคสสุดเศร้าสะเทือนใจ
ไม่ว่าจะเป็นยายเลื่อน ม่วงเขียว หญิงชราวัย 97
ปีที่ถูกลูกสาวในไส้ทำร้าย หรือยายมะลิ มะลิแย้ม แม่เฒ่าวัย 95
ปีที่ถูกลูกเขยทารุณ
นอกเหนือจากการถูกทอดทิ้งหนึ่งในรูปแบบความรุนแรงที่เสนอสม่ำเสมอผ่านรายการ
วงเวียนชีวิตและสกู๊ปชีวิต

ความ สลับซับซ้อนของปัญหาภายใต้การปัดปฏิเสธความจริงและซ่อนเร้นเหตุการณ์เพราะ
ยึดติดมายาคติว่าเป็น 'สังคมกตัญญูกตเวที'
ทำให้สถานการณ์ความรุนแรงต่อผู้สูงอายุขยายขนาดความรุนแรง (Size)
และขอบเขตความรุนแรง (Scope) แบบเข้มข้นและเงียบเชียบ
ยิ่งถูกทุนนิยมถั่งโถมหนักหน่วงทั้งในเมืองและชนบท
ความโดดเดี่ยวเดียวดายก็กลายเป็นเพื่อนมิตรผู้สูงวัยไร้ทรัพย์สมบัติ
อันเนื่องมาจากลูกหลานไปทำงานต่างถิ่นแล้วขาดการติดต่อ
หรืออยู่ใกล้แต่ไม่ใส่ใจ

โดยความรุนแรงต่อผู้สูงอายุในสังคมไทยมีตั้งแต่ 1)
การกระทำรุนแรงด้านร่างกาย โดยการทุบตี เตะ กระแทก ผลัก ผูกมัด 2)
การกระทำรุนแรงด้านอารมณ์ โดยการพูดก้าวร้าว เหยียดหยาม
รังเกียจเดียดฉันท์ 3) การหาประโยชน์ในทรัพย์สินและเอาเปรียบทางกฎหมาย
โดยการลักขโมย ขู่บังคับเอาประกันชีวิต หรือเปลี่ยนแปลงเอกสาร 4)
การคุกคามทางเพศ โดยการใช้สายตา คำพูด กำลัง
ทั้งล่วงละเมิดภายนอกหรือรุนแรงขั้นข่มขืน และ 5) การละเลยทอดทิ้ง
โดยไม่ดูแลเลี้ยงดูแม้แต่ปัจจัย 4

ในกระแสเหตุปัจจัยความรุนแรงต่อผู้สูงอายุไทยหลากรูปแบบ
พบว่าการถูกกระทำรุนแรงทางจิตใจจากบุตรหลานหรือบุคคลในครอบครัวโดยคำพูดไม่
ให้เกียรติ แสดงอาการรังเกียจเดียดฉันท์
จนผู้สูงวัยสูญเสียกำลังใจจะพบสูงสุด รองลงมาคือการถูกทอดทิ้งละเลย
ต้องหอบสังขารชราภาพไปปลูกเพิงพักตามใต้ถุนเมืองคอนกรีตเก็บของเก่าประทัง
ชีวิต หรือไม่ก็อยู่โยงเฝ้าบ้านตามลำพังปราศจากการติดต่อจากลูกหลาน
ตามมาด้วยการกระทำรุนแรงเอาเปรียบทรัพย์สิน
ต้องระหกระเหินไปอยู่สถานสงเคราะห์คนชราหลังมอบทรัพย์สินแก่ลูกหมดสิ้นแล้ว
หรือไม่ก็ถูกใช้ให้ไปเป็นขอทานเลี้ยงลูกหลาน

และน้อยสุดแต่มีจำนวนไม่น้อยคือผู้สูงอายุที่ถูกกระทำรุนแรงด้านร่าง
กาย ทั้งทุบตี ชกต่อย เตะ ผลัก ผูกมัด จากการเมาสุราหรือติดยาเสพติด
และสุดท้ายการถูกล่วงละเมิดทางเพศโดยลูกที่ป่วยเป็นโรคจิต
โดยผู้สูงอายุที่ถูกกระทำทั้งสองรูปแบบจะอับอายที่ถูกลูกทำร้ายล่วงเกิน
เกิดอาการซึมเศร้า เก็บตัว เนื้อตัวบอบช้ำดำเขียว
มีแผลจากของมีคมบาดและของแข็งกระแทก

ทั้งนี้ เศรษฐสถานะเป็นจุดร่วมสำคัญหนึ่งที่ทำให้ผู้สูงอายุตกเป็นเหยื่อความรุนแรง
จากน้ำมือลูกหลานหรือคนใกล้ชิดในครอบครัว เพราะยิ่งจนยิ่งถูกโขกสับ
ว่ากล่าวด่าทอ ทอดทิ้ง ชาเฉย ไม่เหลียวแล
เพราะแม้แต่ร่ำรวยก็ยังถูกละเลยหลังทรัพย์สินถ่ายโอนไปสู่ลูกหลานจนหมดสิ้น
ได้ไม่ต่างกัน

กล่าว อีกนัยหนึ่ง
การมีเงินทองของผู้สูงวัยไม่ได้เป็นดัชนีชี้ขาดว่าจะไม่เกิดความรุนแรงต่อตน
เอง ถึงไม่ถูกทอดทิ้ง ทว่าก็เสี่ยงถูกล่อลวง ข่มขู่ บีบบังคับ
ปลอมแปลงเอกสารหรือพินัยกรรม

แนวทางป้องกันความรุนแรงต่อผู้สูงอายุจึงไม่เพียงเรียกร้อง
'ความกตัญญูกตเวที' ของบุตรต่อบุพการี และ 'ความเอื้ออาทร'
ของสังคมต่อบรรพบุรุษเท่านั้น
หากยังต้องการมาตรการกฎหมายและแนวนโยบายรัฐด้วย
ดังข้อเสนอในงานวิจัยเรื่องความรุนแรงต่อผู้สูงอายุไทย :
การทบทวนองค์ความรู้และสถานการณ์ในปัจจุบัน
โดยมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย (มส.ผส.)
ที่ชี้ชัดว่าการกำหนดกฎหมายที่มุ่งลงโทษกว่าแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำผิด
หรือคุ้มครองผู้สูงอายุที่ถูกกระทำรุนแรง
ทำให้ผู้สูงวัยส่วนใหญ่ไม่ดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำผิดที่ส่วนมากเป็นญาติ
เพราะยังต้องพึ่งพาพวกเขาอยู่

ยิ่งกว่านั้น
กฎหมายและนโยบายไทยไม่ได้มุ่งคุ้มครองเฉพาะเจาะจงที่ผู้สูงอายุ
ทว่าผนวกไว้ในกลุ่มเดียวกับเด็ก สตรี และผู้พิการ เช่น ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 292, 307 และ 398 และ
พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 ทั้งๆ
ปัญหาความรุนแรงต่อผู้สูงอายุมีลักษณะเฉพาะ
เพราะผู้กระทำมักเป็นญาติและลูกหลาน
รวมทั้งสภาพร่างกายก็ทรุดโทรมเสื่อมถอยจนต้องพึ่งพิงผู้อื่นมากขึ้นทุกๆ
วันผันผ่าน ความเครียดจึงพอกพูนในผู้ดูแลหรือครอบครัว

ต่างจากต่างประเทศที่กำหนดกฎหมายและนโยบายเกี่ยวกับผู้สูงอายุโดย
เฉพาะ อาทิ อเมริกามีศูนย์บริการคุ้มครองช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ได้รับความรุนแรง
Adult Protective Service และอังกฤษมี Nation Care Standards Commission
ศูนย์รับรายงานข้อร้องเรียนการกระทำรุนแรงต่อผู้สูงอายุ

กระนั้นการผสานกฎหมาย พ.ร.บ.ผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546
ที่มีเจตนารมณ์คุ้มครอง ส่งเสริม
สนับสนุนต่อสิทธิและประโยชน์ของผู้สูงอายุให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
เข้ากับยุทธศาสตร์แผนผู้สูงอายุแห่งชาติ (พ.ศ.2545-2564)
ที่เน้นเสริมสร้างความมั่นคงและยกระดับความเป็นอยู่ผู้สูงอายุ
ท่ามกลางบริบทระดับโลกของวันผู้สูงอายุสากล (International Day of Older
Persons) ที่ครบรอบ 10 ปีในวันที่ 1 ตุลาคมนี้
ก็น่าจะกระตุกสังคมไทยใส่ใจแก้ไขความรุนแรงต่อผู้สูงอายุอย่างจริงจังได้

เพื่อให้ผู้สูงวัยได้เป็นหลักชัยของครอบครัวและสังคมต่อไป
ปกป้องไม่ให้ผู้สูงอายุที่ประดุจ 'ดอกลำดวน' กลิ่นหอมเย็นชื่นฉ่ำ
กลีบแข็งไม่ร่วงง่าย และอายุยืน ร่วงโรยราไปกว่านี้

ด้วย ถึงที่สุดแล้วร่องรอยบอบช้ำบนกลีบดอกลำดวนหรือฟกช้ำดำเขียวบนเนื้อตัวผู้สูง
อายุก็คือความเจ็บไข้ได้ป่วยของสังคมไทยที่ได้ชื่อเอื้ออารีและกตัญญู
กตเวทิตา แต่กลับลงแส้โบยตีผู้มีพระคุณต่อครอบครัวและประเทศชาติอย่างทารุณโหดร้ายโดย
สองมือของลูกหลานที่พวกเขาเฝ้าฟูมฟักบนการหลิ่วตาข้างหนึ่งของสังคมส่วนใหญ่
ที่ให้ค่าแค่ปัญหาภายในครอบครัวคนอื่นไม่เกี่ยวกับตนเอง

เมื่อสังคมไทยปัจจุบันก้าวไม่เท่าทันพลวัตปรากฏการณ์ที่อนาคตจักเข้ม
ข้นขึ้น การคิดเชิงปฏิวัติ (Revolutionary thinking)
ด้านนโยบายสาธารณะเพื่อพิชิตวิกฤตความรุนแรงผ่านการสร้างหลักประกันรายได้
ให้ผู้สูงอายุจึงน่าจับตามอง
ด้วยผู้สูงวัยจะได้ไม่จำนนต่อลูกหลานอกตัญญูใจไม้ไส้ระกำที่ทำร้ายร่างกาย
และจิตใจเพราะไร้ที่พึ่งพิงจนไม่กล้าดำเนินคดีอาญา
หรือให้อภัยเพราะความรัก

ตรง ข้าม หากไม่ปฏิวัตินโยบายรัฐด้านหลักประกันรายได้ผู้สูงอายุ
และขาดการขับเคลื่อนเชิงรุกด้วยองค์กรมุ่งสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้สูง
อายุต่างๆ อย่าง มส.ผส.
ดอกลำดวนก็คงปลิดร่วงหล่นแล้วล่องลอยไปตามสายธารความรุนแรงไม่สุดสิ้น
ซึ่งสักวันหนึ่ง 'ดอกลำดวนในอนาคต'
หรือผู้ใหญ่ในปัจจุบันคงไม่แคล้วลอยล่องไปในกระแสธารเดียวกันนี้เมื่อแก่
เฒ่า ต่างกันก็เพียงแต่จำนวนมหาศาลของไม้ใกล้ฝั่ง.

มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น