++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2552

7 ตุลาฯ กับทางตันของตุลาการภิวัฒน์

โดย วริษฐ์ ลิ้มทองกุล 7 ตุลาคม 2552 16:37 น.
เช้าตรู่วานนี้ ผมเดินทางไปร่วมงานรำลึกครบรอบหนึ่งปี เหตุการณ์ 7 ตุลาคม
2551 ที่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า
แม้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะยุติการชุมนุมมาได้เกือบปีแล้วก็
ตาม แต่บรรยากาศของความมุ่งมั่น ความตั้งใจ และน้ำใจของเหล่าพันธมิตรฯ
ก็ยังล้นเหลือเหมือนเคย

เมื่อได้เดินผ่านหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาล ผมนึกถึง "น้องโบว์"
อังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หนึ่งในสองชีวิตที่พวกเราต้องสูญเสียไปในวันที่ 7
ตุลาฯ พร้อมๆ กับ "สารวัตรจ๊าบ" พ.ต.ท.เมธี ชาติมนตรี

คุณพ่อ-คุณแม่ ญาติ พี่น้อง ของน้องโบว์ ภรรยาของสารวัตรจ๊าบ
และครอบครัวของวีรชนท่านอื่นๆ เดินทางมาร่วมงานกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
แม้ญาติวีรชนหลายท่านจะมีสีหน้าโศกเศร้าอาลัย ต่อคนสำคัญที่ล่วงลับไปแล้ว
แต่ทุกคนก็ดูเหมือนว่าจะรับรู้ถึงแรงใจของเหล่าพันธมิตรฯ
เรือนหมื่นที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ

ที่ลานพระบรมรูปฯ
เมื่อได้กราบพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้เห็นพระที่นั่งอนันตสมาคม
ผมก็อดที่จะประหวัดนึกถึงการรวมตัวและการชุมนุมใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรฯ
ที่มีจุดเริ่มของการชุมนุมครั้งแรก ณ สถานที่แห่งเดียวกันนี้มิได้

นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2548 หลังจากที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล
กัดฟันต่อสู้กับ รัฐบาลพรรคไทยรักไทยและระบอบทักษิณอย่างโดดเดี่ยวมาเกือบ
5 เดือน ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2549
กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็ถือกำเนิดขึ้น
ภายใต้การร่วมแรงร่วมใจของประชาชนเกือบทุกภาคส่วน
โดยในเวลาต่อมากลุ่มพันธมิตรฯ ก็มีมติเอกฉันท์เลือกแกนนำขึ้นมา 5 คน
เพื่อขับเคลื่อนกลุ่มการเมืองภาคประชาชน ที่อาจเรียกได้ว่า เข้มแข็ง
แข็งแรง และครบเครื่องที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
โดยมีการชุมนุมต่อเนื่อง 193 วัน
ซึ่งยาวนานที่สุดในโลกเป็นหลักฐานการันตี

การก่อกำเนิดขึ้นของกลุ่มพันธมิตรฯ
อาจถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการ "ประชาภิวัฒน์"
ของสังคมไทยในห้วงสิบกว่าปีที่ผ่านมาหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535

"ประชาภิวัฒน์" เป็นการสนธิระหว่างคำว่า "ประชา" กับคำว่า
"อภิวัฒน์" อันมีความหมายว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่โดยประชาชน
หรือกล่าวอย่างง่ายๆ คือ ประชาภิวัฒน์ เป็นศัพท์สูง
เป็นความหมายที่แท้จริงของคำว่า "การเมืองใหม่"
และเป็นปรัชญาพื้นฐานขององค์กรทางการเมืองที่เป็นรูปธรรมอย่างพรรคการเมือง
ใหม่นั่นเอง

ทั้งนี้ทั้งนั้น ในห้วงเวลาเกือบ 4 ปีที่ผ่านมา
นอกเหนือจากกระบวนการประชาภิวัฒน์ที่ขับเคลื่อนกงล้อวิวัฒนาการของการเมือง
ไทยให้รุดหน้าไปแล้ว
กระบวนการอีกกระบวนการหนึ่งก็ถูกนำมาใช้เป็นหลักยึดให้แก่สังคมด้วยเช่นกัน
นั่นคือ กระบวนการ "ตุลาการภิวัฒน์"

คล้อยหลังการก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรฯ และการเลือกตั้งอัปยศ 2
เมษายน 2549 ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พรรคไทยรักไทย
และคณะกรรมการการเลือกตั้งชุด พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ
เชิดอยู่เบื้องหลังไม่นาน ในวันที่ 25 เมษายน 2549
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราช
ก็มีพระราชดำรัสแก่คณะตุลาการศาลปกครองสูงสุดตอนหนึ่งว่า "...
หน้าที่ของผู้พิพากษา หน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปกครอง
มีหน้าที่กว้างขวางมาก ซึ่งเกรงว่า ท่านอาจจะนึกว่า
หน้าที่ของผู้ที่เป็นศาลปกครอง มีขอบข่ายที่ไม่กว้างขวาง
ที่จริงกว้างขวางมาก..."

ต่อมา ความเห็นจากบุคลากรในแวดวงวิชาการหลายต่อหลายคน อย่างเช่น
ความเห็นของ อ.ธีรยุทธ บุญมี
แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้แสดงความเชื่อมั่นว่า
พระราชดำรัสดังกล่าวของในหลวงนั้นเป็นการสนับสนุนให้องค์กรตุลาการเข้ามามี
บทบาทในการแก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมือง โดยพระองค์เสนอว่า
ภายใต้สถานการณ์บ้านเมือง ณ วันนั้น เราจำเป็นต้องมองอำนาจศาลอย่างกว้าง
ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับที่ประเทศในยุโรปเรียกว่า
"กระบวนการตุลาการภิวัฒน์ของระบอบการปกครอง (Judicialization of
Politics)" ส่วนสหรัฐอเมริกาเรียกกระบวนการนี้ว่าเป็น
"การตรวจสอบฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติโดยฝ่ายตุลาการ (Power of
Judicial Review)"

ด้วยเหตุนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฝ่ายตุลาการซึ่งถือเป็น 1 ใน
3 เสาหลักของระบอบประชาธิปไตย
จึงกลายสภาพเป็นเสาหลักเพียงหนึ่งเดียวที่ช่วยค้ำยัน
และช่วยคลี่คลายวิกฤตการณ์ของชาติให้พัฒนามาถึงวันนี้ได้

กระนั้น ผมกลับมีข้อสังเกตว่า ณ ปัจจุบัน
กระบวนการตุลาการภิวัฒน์ได้ออกแรงผลักดันสังคมและประเทศชาติ
ให้เคลื่อนตัวมาจนกระทั่งกลไกนี้เกือบจะหมดแรงแล้ว

สัญญาณความอ่อนแรงของกระบวนการตุลาการภิวัฒน์ที่เห็นได้ชัดในช่วงที่ผ่านมา
ก็คือ การที่สังคมไม่สามารถใช้กระบวนการทางกฎหมาย หรือข้อกฎหมาย
มาจัดการนักการเมืองที่ทุจริต คอร์รัปชัน ได้อย่างเด็ดขาด
ดังที่ประชาชนหลายคนแสดงทัศนะด้วยความคับแค้นต่อนักการเมืองโกงชาติออกมาว่า
"ขายชาติ ขายแผ่นดิน คอร์รัปชัน รอลงอาญา ปรับแค่ 2 หมื่นบาท
ลักเล็กขโมยน้อยโดนจับติดคุกติดตะราง"

หรือในกรณีที่นักการเมืองแม้จะถูกตัดสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 5
ปี หรือ 10 ปี แต่กลับก้าวเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการบริหารบ้านเมืองอย่างชัดแจ้ง
ไม่ว่าจะเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดตั้งรัฐบาล การแต่งตั้งรัฐมนตรี
การแต่งตั้งข้าราชการระดับสูง การแต่งตั้งบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ทว่า
กระบวนการยุติธรรมและตุลาการ กลับไม่สามารถดำเนินการใดๆ
อีกทั้งยังปราศจากกฎหมายและบทลงโทษ
อันเป็นเครื่องมือที่ใช้กำราบคนเหล่านี้ที่ประพฤติตัวละเมิดอาญาแผ่นดิน

ด้วยเหตุนี้เอง ผมจึงมีความเห็นว่า ณ ปัจจุบัน
กระบวนการตุลาการภิวัฒน์ ได้ดำเนินมาจนเกือบถึงทางตันแล้ว
เนื่องเพราะตุลาการภิวัฒน์
มิอาจขับเคลื่อนสังคมต่อไปได้โดยปราศจากกองหนุนสำคัญคือ
นโยบายและแนวปฏิบัติที่ถูกต้องของฝ่ายบริหาร รวมไปถึงกฎหมายดีๆ
ที่ออกมาจากฝ่ายนิติบัญญัติ

การจะผลักดันให้กระบวนการตุลาการภิวัฒน์เคลื่อนตัวต่อไปได้โดยปกติ
กระบวนการประชาภิวัฒน์ หรือการเมืองใหม่
(ที่ไม่จำเป็นต้องยึดติดอยู่กับกลุ่มพันธมิตรฯ)
จึงจำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทในการกระตุ้นและตรวจสอบให้ฝ่ายบริหารและฝ่าย
นิติบัญญัติ "หยุด" กระทำในสิ่งไร้สาระ อย่างเช่น
การคอร์รัปชันโครงการรถเมล์ NGV 4,000 คัน การแทรกแซงองค์กรอิสระ
และการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้อง

เพราะถ้าหากกระบวนการตุลาการภิวัฒน์ถึงทางตันเมื่อใด 7 ตุลาฯ
และชีวิตวีรชน ก็ย่อมสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์เมื่อนั้น

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000118623

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น