++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

แนวคิดฟิต "หุ่นดี" ด้วยวิถีพุทธ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


เห็นชื่อเรื่องแล้วผู้รักสุขภาพหลายท่านอาจจะออกอาการงงว่า "พุทธ"
กับ "หุ่นดี" มันเกี่ยวข้องกันตรงไหน? แต่ในความเป็นจริงแล้ว
แม้กระทั่งในพุทธวจนะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ดังที่ปรากฏในพระสุตตันตปิฎก เล่ม 7 สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ข้อ 365 หน้า
116 เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงอ้วนมากไป
จึงทรงให้คาถาลดความอ้วนบทหนึ่งความว่า "บุคคลผู้มีสติอยู่เสมอ
รู้ประมาณในอาหารที่ได้มา จะมีเวทนาเบาบาง แก่ช้า มีอายุยืนนาน"

แน่นอนว่า หากลองทำดังพุทธพจน์ดังนี้แล้ว เราๆ ท่านๆ
ก็จะผอมได้ไม่ยาก แถมไม่ต้องพึ่งพาฟิตเนส สถานลดความอ้วน
ที่ผุดกันเป็นดอกเห็นหน้าฝน คอยดูดเงินผู้อยากผอมทั้งหลาย รวมถึงช่วยให้
"เชิดใส่" ยาลดความอ้วนและอาหารเสริมทั้งหลายแหล่
ที่อาจส่งผลร้ายต่อร่างกายด้วย

แต่สำหรับผู้ที่อ่านพุทธพจน์ดังกล่าวแล้วไม่ถ่องแท้
เรามีนักโภชนาการ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
รวมไปถึงผู้ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการสุขภาพ มาอธิบายและแนะแนวการลดความอ้วน
รักษาสุขภาพให้ดี ด้วยวิถีแห่งพุทธมาฝากกัน

เริ่มต้นที่ สง่า ดามาพงษ์ อุปนายกสมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทย
ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
นักโภชนาการผู้มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย
และเดินสายบรรยายให้ความรู้ด้านโภชนาการอยู่บ่อยครั้ง ที่ให้ข้อมูลว่า
หลักที่ใช้บรรยายอยู่และใช้มาตลอดก็คือวิถีพุทธนี่แหละ หาใช่แนวอื่นไม่

"หลัก โภชนาการที่ดีที่ใช้บรรยายมาตลอดก็อิงแนวศาสนาพุทธเป็นหลัก
นอกจากนั้นก็มีแนวของกรมอนามัยด้วยซึ่งอาจจะเคยได้ยินบ้าง คือหลัก 3 อ.
อาหาร ออกกำลังกาย และอารมณ์ ทั้งนี้ ตามหลักพุทธจะสอนว่า
ทุกสิ่งเกิดจากเหตุ การดับทุกข์ต้องดับที่เหตุ
ดังนั้นเราต้องมาดูว่าผลที่อ้วนนั้น เราอ้วนมาจากเหตุของอะไร
เมื่อเรารู้เหตุ เราจะก็รู้ทางที่จะแก้ไข"

"เรา อ้วนเพราะเรากินเกิน เพลินไม่ขยับ และบังคับสติตัวเองไม่ได้
แต่จะมาให้เราคุมอาหารหรือออกกำลังกาย แต่ถ้าเราไม่มีอ.ตัวที่3
นั่นก็คืออารมณ์ มันก็ไม่อยากจะทำ แบบนี้ต้องมาดูที่อารมณ์
ด้วยการใช้หลัก สกัด-สะกิด-สะกด ซึ่งจริงๆ
มันก็คือเรื่องของสติ"ในแนวพุทธนั่นแหละ"

อ.สง่ากล่าวถึงการใช้สติควบคุมอารมณ์ต่อไปว่า
เมื่อเราพบว่าปัญหาของความอ้วนคืออาหารแล้ว
ก็เป็นเรื่องที่เราจะต้องตระหนักรู้และพิจารณาว่าอาหารแต่ละมื้อแต่ละจานที่
เราจะกินเข้าไปนั้น
เป็นอาหารที่ประเทืองความอ้วนหรือเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ
ซึ่งสติและการพิจารณานี้นี่เอง จะกลายเป็น "ปัญญาแห่งการกิน"

ประการต่อมาคือการใช้สติในการออกกำลังกาย อ.สง่าแนะนำให้ใช้หลัก
"ทางสายกลาง" คือ ออกกำลังกายพอประมาณ สม่ำเสมอ อย่าหักโหม
แต่ต้องทำเป็นประจำ ใช้สติกำกับว่านอกจากการกินอาหารมากเกินไปแล้ว
การไม่ออกกำลังกายก็เป็นต้นเหตุของปัญหาความอ้วน
ดังนั้นนอกจากกินอย่างมีสติ ก็ต้องมีสติในการออกกำลังกายด้วย

"ที่ สำคัญก็คือ อย่าใช้วิธีทางลัดเด็ดขาด
พวกยาลดความอ้วนหรืออาหารเสริม เป็นการแก้ปัญหาแบบปลายเหตุ
กินของพวกนี้ช่วงกินก็ลด แต่พอเลิกกินก็กลับมาอ้วนอีก
แถมคราวนี้อ้วนลดไม่ลง แถมบางอย่างยังส่งผลร้ายต่อร่างกายด้วย
การใช้แนวพุทธในการลดน้ำหนักนั้น ถือเป็นวิธีที่ดี ไม่เสียเงิน
ทำเองด้วยตัวเองที่บ้าน แถมไม่มีผลร้ายต่อร่างกายด้วย" อ.สง่ากล่าว

ด้าน นพ.เชวงศักดิ์ ดิสถาพร ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติบำบัด
รักษาการหัวหน้าหน่วยงานการแพทย์แผนเอเชีย ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก
มหาวิทยาลัยมหิดล ฟันธงว่า การลดน้ำหนักไม่ใช่ของยาก
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ "ใจ"

"เรา ต้องรู้และเข้าใจตัวตนของเราเสียก่อน ดูสภาพร่างกาย
บุคลิกภาพ รวมถึงเมตตาบอลิซึม กระบวนการเผาผลาญร่างกายมากน้อยแค่ไหน
หุ่นเราเป็นอย่างไร เราเหงื่อออกง่ายไหม บางคนกินแล้วอ้วน
บางคนกินแล้วไม่อ้วน สำหรับคนที่อ้วนง่าย เหงื่อไม่ค่อยออก
ก็ยิ่งต้องดูแลตัวเอง เพราะยิ่งวัยมากขึ้นก็ยิ่งลดยากขึ้น
และยิ่งเราอายุมากขึ้น เราก็ต้องปรับเปลี่ยนมากขึ้น
ถ้าไม่สำรวจตัวเองก็จะไม่รู้ว่าลักษณะของตัวเองเป็นอย่างไร
ไม่รู้ว่าอะไรจะเหมาะกับตัวเอง
และไม่รู้ถึงแนวทางที่จะใช้บำรุงหรือแก้ไข"

นพ.เชวงศักดิ์ให้ภาพแนวคิด "ใจ" เป็นใหญ่ต่อไปอีกว่า
จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้หลักพุทธศาสนาเป็นแนวปฏิบัติ
ในที่นี้ควรใช้หลักของ "สติ" และ "สมาธิ" เป็นแกน
คือต้องมีสติคิดไตร่ตรองใคร่ครวญ มองให้เห็นถึงภาพรวม
และใช้สติมองให้เห็นปัญหาที่มาของความอ้วน
ซึ่งหลักใหญ่ของความอ้วนมากจากการกินและการไม่ออกกำลังกาย

"อย่า ปล่อยให้ตัวเองหิวมาก เพราะหิวมากแล้วจะรู้สึกว่าต้องกินมาก
และอย่าปล่อยให้เครียด เพราะคนที่เครียดส่วนใหญ่จะกินเยอะ
ใจต้องกำกับตัวเองเอาไว้ คือต้องตั้งใจให้กินแต่พอดี
กินให้เหมาะกับร่างกาย
และต้องใช้ใจบังคับตัวเองให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ซึ่งส่วนนี้ต้องใช้ระเบียบ ต้องมีระเบียบ"

สำหรับ พอทิพย์ เพชรโปรี อดีตผู้บริหารโรงเรียนวรรณสว่างจิต
ผู้ผันตัวเองมาเป็นเจ้าของร้านอาหารเพื่อสุขภาพ Health Me
และจับธุรกิจเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารจากธรรมชาติปลอดสารพิษหรือที่
รู้จักกันในนาม "อาหารออร์แกนิค" ใน
ฐานะผู้คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงอาหารเพื่อสุขภาพ
กล่าวถึงความเชื่อมโยงระหว่างพุทธและวิถีการกินว่า
หลักคำสอนอย่างหนึ่งของพุทธศาสนา คือสอนให้รู้ตัวและมีสติ
ซึ่งหลายคนอาจจะไม่คิดว่าการมีสติและการกินวิถีพุทธเกี่ยวข้องกันอย่างไร

"ใน ส่วนของเรา เราดูแลอาหารเพื่อสุขภาพให้ลูกค้าที่ใส่ใจสุขภาพ
เราใช้วิถีตะวันออกอยู่แล้ว ที่ใช้หลักๆ เลยก็คือความสมดุล
เราเชื่อว่าธรรมชาติจัดสรรทุกอย่างให้ลงตัวพอดี
ดังนั้นเราจึงเน้นในการที่จะให้ลูกค้าได้กินของในพื้นที่
วัตถุดิบในประเทศ ในท้องถิ่น เช่นพวกผักพื้นบ้าน ไม่ต้องไปแสวงหากินไกล
ไม่ต้องกินเมนูฝรั่ง กินของในบ้านเรา
ธรรมชาติคนเอเชียกินผักมากกว่าเนื้อสัตว์ ทำให้ระบบย่อยดี ผักมีประโยชน์
มีกากใย และไม่ทำให้อ้วน"

พอทิพย์ยังกล่าวอีกว่า
การมีสติสำคัญมากสำหรับผู้ที่ต้องการมีสุขภาพดีจากการบริโภคอาหาร
สติในที่นี้เธออธิบายว่า ก่อนจะนำอะไรเข้าสู่ร่างกาย
อยากให้ยั้งคิดและพิจารณาสักหน่อยว่าอาหารที่เรากำลังจะกินเข้าไปนั้น
มีอะไรบ้าง ปริมาณเท่าไหร่ เหมาะสมกับร่างกายของเราหรือไม่

"เรื่อง กินเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยคิดถึง
ทั้งที่เวลาเราจะซื้อโทรศัพท์มือถือสักเครื่องหรือคอมพิวเตอร์สักตัวเรายัง
คิดแล้วคิดอีก ต้องไปเดินดู ตรวจสอบเสปกเครื่องรวมถึงคุณสมบัติต่างๆ
อย่างถี่ถ้วนถึงจะตัดสินใจซื้อ ทั้งที่มันเป็นแค่เครื่องใช้
ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสภาพร่างกายใดๆ เลย
ในขณะที่เราแทบไม่สนใจว่ามื้อหนึ่งมื้อหนึ่งจะกินอะไรเข้าไปบ้าง
ทั้งที่มันใกล้ตัวกว่า และเป็นเรื่องของสุขภาพร่างกายแท้ๆ"

"การ มีสติเลือกอาหารเป็นเรื่องที่ทำได้ทุกคน และทำได้ไม่ยาก
เพียงแต่ก่อนจะกินอะไรลงไป ฉุกคิดสักนิด ว่ามีอะไรบ้างในจาน
เป็นประโยชน์เป็นเป็นโทษ มีแป้งเยอะ เนื้อเยอะ หรือผักเยอะ
ความรู้พื้นฐานที่เคยเรียนมาเรื่องอาหาร 5 หมู่เชื่อว่าแทบทุกคนทราบ
พิจารณาสักนิดว่ามันเหมาะกับเราไหม"

และนอกจากจะต้องมีสติฉุกคิดก่อนกินแล้ว
พอทิพย์ยังแนะนำเพิ่มเติมอีกว่า ผู้รักสุขภาพทั้งหลายจำต้อง "สงสัย"
สิ่งที่จะกินเข้าไปด้วย และควรจะตั้งคำถามว่า
วัตถุดิบที่นำมาทำอาหารเหล่านี้มาจากไหน

"อย่าง เนื้อสไลด์ หมูสไลด์ที่ขายเป็นแพค
ก็ควรจะดูสักนิดว่ามันมาจากไหน
วัวหรือหมูเหล่านั้นได้รับการเลี้ยงอย่างไร เลี้ยงแบบฉีดยา
เร่งขุนด้วยสารเคมีหรือเลี้ยงปล่อยแบบธรรมชาติ หรือลูกชิ้น ไส้กรอก
อาหารแปรรูปต่างๆ จริงๆ มันคือเนื้ออะไร มีที่มาอย่างไร แปรรูปแบบไหน
ยิ่งพวกอาหารที่เก็บไว้ได้นานๆ พวกอาหารกระป๋อง ลูกชิ้น ไส้กรอก
ที่เก็บไว้กินได้นานๆ นั้น ยิ่งต้องใส่สารเคมีมากขึ้น
ก่อนจะกินควรจะถามตัวเองแบบนี้ แล้วก็ถามว่า ดีกับร่างกายไหม
คือถ้าทำแบบนี้แล้วจะไม่อ้วน ที่อ้วนจะผอม ที่สำคัญคือ สุขภาพดีแน่ๆ ค่ะ"
เจ้าของร้านอาหารสุขภาพคนเก่งรายนี้ทิ้งท้าย

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000056606

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น