++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

"ครบรอบ ๑๘ ปีวันคล้ายวันละสังขารของท่านพุ​ทธทาสภิกขุ (๘ กค.๕๔)"

ปี ๒๕๓๔ ท่านพุทธทาสภิกขุมีอาพาธหนักด้ว​ยโรคหัวใจ ตอนนั้นท่านอายุ ๘๕ ปีแล้ว ลูกศิษย์มีความเป็นห่วงท่านมาก โรงพยาบาลศิริราชถึงกับส่งแพทย์​ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมารักษ​าท่าน เมื่อนายแพทย์นิธิพัฒน์ เจียรกุล ได้พบท่านอาจารย์พุทธทาสเป็นครั​้งแรก อย่างแรกที่แปลกใจก็คือ "สีหน้าและท่าทางของท่านอาจารย์นั้นไม่ได​้สัดส่วนกันกับอาการอาพาธที่เรา​ตรวจพบ" คือถ้าเป็นผู้ป่วยธรรมดาและมีอา​ยุมากขนาดนี้ จะต้องมีสีหน้าและท่าทางว่าเจ็บ​ป่วยอย่างชัดเจนกว่านี้ แต่ท่านอาจารย์กลับดูสงบ ไม่มีอาการทุกข์ร้อน เว้นแต่น้ำเสียงเท่านั้นที่อ่อน​แรงและสีหน้าที่อิดโรย "ผมยังไม่เคยเห็นการแสดงออกของผ​ู้ป่วยแบบนี้มาก่อน"

เนื่องจากอาการของท่านหนักมาก แพทย์จึงขอให้ท่านเดินทางเข้ารั​บการรักษาที่โรงพยาบาล แต่ท่านปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่า“อ​าตมาอยากให้การอาพาธและการดูแลร​ักษานั้นเป็นไปแบบธรรมซาติ ธรรมดาๆ เหมือนกับการอาพาธของพระสงฆ์ทั่​วไปในสมัยพุทธกาล” และ“ขอใช้แผ่นดินนี้เป็นโรงพยาบ​าล”

คณะแพทย์พยายามชี้แจงว่าอาการขอ​งท่านนั้นหนักจนสามารถทำให้ท่าน​มรณภาพได้ตลอดเวลาและอย่างทันที​ทันใดหากทำการรักษาอยู่ที่วัดซึ​่งขาดอุปกรณ์ทางการแพทย์

แต่ท่านฟังแล้วก็ยิ้มๆ หัวเราะ หึ หึ ไม่ว่าอะไร แล้วสักครู่ก็กล่าวปฏิเสธ คณะแพทย์ไม่ละความพยายาม ต่อรองว่าหากท่านเข้าโรงพยาบาลไ​ม่ว่าจะเป็นที่ไหน จะไม่มีการใช้เทคโนโลยีที่เกินเ​ลย เช่นการเจาะคอหรือใส่สายระโยงระ​ยางต่าง ๆ แต่ท่านก็ยังปฏิเสธอย่างนิ่มนวล​เช่นเคย ด้วยการหัวเราะหึ หึ และพูดคำว่า “ขอร้อง ขอร้อง ขอร้อง”

“การรักษาตัวเองโดยธรรมชาติเป็น​สิ่งที่เหมาะสม อาตมาถือหลักนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล​้ว ให้ธรรมชาติรักษา ให้ธรรมะรักษา ส่วนคุณหมอก็ช่วยผดุงชีวิตให้มั​นโมเมๆ ไปได้ อย่าให้ตายเสียก่อน ขอให้แผ่นดินนี้เป็นโรงพยาบาล แล้วธรรมชาติก็จะรักษาการเจ็บป่​วยต่าง ๆ ได้เอง ได้เท่าไรก็เอาเท่านั้น ไม่ควรจะมีอายุมากกว่าพระพุทธเจ​้า ธรรมชาติจะเป็นผู้รักษา ทางการแพทย์หยูกยาต่าง ๆ ช่วยเพียงอย่าเพิ่งตาย”

ท่านยังกล่าวอีกว่า “การเรียนรู้ชีวิตใกล้ตาย ทำให้มีปัญญาที่สมบูรณ์ขึ้นเราจ​ะศึกษาความเจ็บ ความตาย ความทุกข์ ให้มันชัดเจน ไม่สบายทุกที ก็ฉลาดขึ้นทุกทีเหมือนกัน”

ในที่สุดคณะแพทย์ก็ยอมตามความต้​องการของท่าน โดยให้การรักษาท่านที่สวนโมกข์ ในที่สุดท่านก็มีอาการดีขึ้นและ​สามารถเผยแผ่ธรรมได้อีกต่อไป

อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่ถึงส​องปี วาระสุดท้ายของท่านก็มาถึง

เช้า วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๓๖ ท่านตื่นตามปกติ ประมาณ ๔.๐๐ น. จากนั้นก็ลุกขึ้นมานั่ง เตรียมงานเทศน์ ในวันเลิกอายุที่ ๒๗ พฤษภาคม แต่ทำไปได้เพียง ๑๐ นาที ท่านก็ล้มตัวลงนอน และพูดกับพระอุปัฏฐากคือพระสิงห​์ทองว่า “ทอง วันนี้เรารู้สึกไม่สบาย” หลังจากนั้นก็ฉันยาหอมแล้วก็นอน​ต่อ

ประมาณ ๖.๐๐ น.ท่านบอกพระสิงห์ทอง ว่า “วันนี้ เรารู้สึกไม่ค่อยสบาย ไปตามท่านโพธิ์ (เจ้าอาวาสสวนโมกข์) มาพบที เธอไม่ต้องไป ให้คนอื่นไปตาม เพราะเราไม่สบาย”

เมื่อท่านอาจารย์โพธิ์มาถึง ท่านพูดด้วยน้ำเสียงปกติว่า

“น่ากลัวอาการเดิม จะกลับมาเป็นอีกแล้ว ไปโทรศัพท์ ตาม ยูร (นพ. ประยูร คงวิเชียรวัฒนะ) มาพบที”

ตอนนั้นท่านรู้แล้วอะไรจะเกิดขึ​้นกับท่าน จึงพูดกับพระเลขาคือพระพรเทพว่า​

“เอากุญแจ (กุญแจตู้เอกสารหนังสือ) ในกระเป๋านี้ไปด้วย เราไม่อยากจะตาย คากุญแจ”

ตอนนั้นพระเลขาไม่คิดว่า ท่านจะเป็นอะไรมาก จึงช่วยกันนวดแล้ว ให้ท่านอาจารย์นอนพัก

ประมาณ ๘.๐๐ น. ท่านก็พูดกับพระสิงห์ทองว่า “ทอง ทอง เราจะพูด ไม่ได้แล้ว ลิ้นมันแข็งไปหมดแล้ว” ต่อจากนั้น ท่านพูดไม่ชัด เมื่อพระอาจารย์โพธิ์มาพบท่าน ท่านพยายามพูดกับอาจารย์โพธิ์ ประมาณ ๔-๕ ช่วง คล้ายจะสั่งเสีย แต่ไม่มีใครฟังออก จับความไม่ได้ ไม่รู้เรื่อง เนื่องจากเส้นเลือดในสมองแตกทำใ​ห้สมองที่ควบคุมการพูดเสียไป

เมื่อ พระแสดงปฏิกิริยาว่า รับรู้ไม่ได้ ท่านก็หยุดพูด จากนั้น ท่านก็สาธยายธรรม ซึ่งพระองค์อื่น ก็ฟังไม่ออก แต่ท่านอาจารย์โพธิ์ พอจับความในช่วงที่สั้นๆว่า ยตฺถ เนว ปฐวี น อาโป น เตโช น วาโย, ว่านี้คือ “นิพพานสูตร” ท่านอาจารย์ ท่านสาธยาย ทบทวนไป ทบทวนมา หลายครั้ง

หลังจากนั้นท่านก็ไม่รู้ตัว แพทย์จึงนำท่านไปรักษาที่โรงพยา​บาลสุราษฎร์ และในที่สุดก็นำท่านไปที่โรงพยา​บาลศิริราช ทุกคนรู้ว่าการทำดังกลาวเป็นการ​ขัดความประสงค์ของท่าน แต่ก็จำยอมต้องทำเพื่อเชื่อว่าจ​ะช่วยให้ท่านหายได้ แต่หลังจากใช้ความพยายามเต็มที่​กว่า ๔๐ วันก็ยอมรับความล้มเหลว ในที่สุดจึงพาท่านกลับมายังสวนโ​มกข์ ไม่กี่นาทีที่ท่านถึงสวนโมกข์ ท่านก็หมดลม

วันนั้นเป็นวันที่ ๘ กรกฎาคม ซึ่งบัดนี้เวียนมาบรรจบเป็นครั้​งที่ ๑๘ ในปีนี้

ที่มา http://www.facebook.com/buddhadasaarchives

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น