++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

โอวาทของพระอรหันต์จี้กง

โอวาทของพระอรหันต์จี้กง
ประวัติ
นามเดิมของท่าน คือ ซิวอ้วง แซ่ลี้ เป็นชาวเมืองเทียนไถ เกิดในสมัยราชวงศ์ซ้อง ท่าน
ได้บวชอยู่ที่วัดเล่งอุ้ง ตาบลไซโอ้ว เมืองหางโจว ประเทศจีน และ ใช้นามทางศาสนาว่า เต้าจี้
ท่านโปรดสัตว์โลกโดยวิธีพิสดาร จนชาวบ้านขนานพระนามว่า "พระสติเฟื่อง" (จี้เตียง)
ท่านเป็นองค์อวตารของพระอรหันต์ ได้บรรลุธรรมสามประการ ที่สาคัญได้แก่ "สรรพสิ่ง
เกิดจากจิต" ท่านยึดมั่นแต่ พุทธจิต ไม่คานึงถึงสิ่งภายนอก ดั่งคากล่าวว่า "รักษาศีลทางจิต
ไม่ถือศีลทางปาก ปฏิบัติตนตามสบาย"
(หมายความว่า พระภิกษุในประเทศจีน ต้องฉันเจ ไม่ฉันเนื้อสัตว์ ท่านไม่เคร่งครัดกับ
การฉันอาหาร สุดแท้แต่โอกาส)
ที่ท่านประพฤติเช่นนี้ เพราะว่าพระภิกษุในสมัยนั้นได้แต่ถือศีลปาก คือ ฉันเจ แต่ไม่
รักษาศีลทางใจ เพื่อเป็นการสอนธรรมะ โดยใช้วิธีรุนแรง เหมือนเอาไม้กระบองตีให้เจ็บจนรู้สึก
ท่านพยายามทาให้ภิกษุสมัยนั้น ให้ตื่นจากผู้ติดอยู่ในพิธีกรรม ให้มาพิจารณาทางวิปัสสนาธุระ
Page 2
2
ท่านมีอิทธิฤทธิ์กว้างขวาง โปรดช่วยมวลมนุษย์มากมาย โดยอาศัยวิธีการต่าง ๆ เพื่อ
ช่วยให้ชาวบ้านพ้นทุกข์พ้นภัย และยังช่วยสั่งสอนพวกที่ดูภายนอกเหมือนผู้มีบุญแต่ใจบาป
กลั่นแกล้งจนคนเหล่านั้นรู้สึกสานึกตัว
ต่อกับผู้ที่โหดร้ายทารุณ จะถูกตอบโต้จนไม่สามารถจะอยู่ต่อไปได้ทาให้ประชาชนอยู่
อย่างสงบสุข ดังนั้น ประชาชนทุกผู้ทุกนาม จึงสรรเสริญว่าเป็น พระศักดิ์สิทธิ์ เหมือนพระพุทธ
ที่ยังมีชีวิต ซึ่งไม่ใช่สิ่งธรรมดาสามัญ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ
พระอรหันต์จี้กง เคยอยู่วัด "เจ็งชื้อ" ต่อมาวัดนี้ถูกไฟไหม้จาเป็นต้องได้รับการปลูก
สร้างขึ้นใหม่ ซึ่งต้องการได้ไม้จากเขา "เงี้ยมเล้ง" ท่านแสดงอิทธปาฏิหาริย์ โดยใช้จีวรกาง
ออกไป ฉับพลันนั้น จีวรก็ปกคลุมเขาเงี้ยมเล้งทั้งหมด ไม้จากภูเขาถูกถอนขึ้นมาหมด แล้วถูกนา
ลงแม่น้า ล่องมาสู่เมืองหางโจว
เสร็จแล้วท่านก็มาบอกชาวบ้านว่า ไม้ที่จะใช้ก่อสร้างนั้น บัดนี้อยู่ในบ่อธูป (บ่อธูปนี้ เป็น
บ่อที่ขุดขึ้น ใช้สาหรับเทขี้ธูปและก้านธูป) ทั้งพระและชาวบ้าน ต่างไปดูที่บ่อธูป ก็ปรากฏว่าเป็น
เช่นนั้นจริง สิ่งที่เล่าต่อ ๆ กันมานี้ ยังมีหลักฐานปรากฏอยู่อีกมากมาย
พระอรหันต์จี้กงได้ละสังขารขณะเจริญภาวนาในท่านั่งสมาธิ ในรัชสมัยพระจักรพรรดิ์
"เกียเตีย" อัฐิของท่านถูกบรรจุไว้ในเจดีย์ "เสือผ่าน" ก่อนที่ท่านจะละสังขาร ท่านได้ให้ปริศนา
ธรรมไว้ว่า "หกสิบปีที่ผ่าน กาแพงตะวันออกล้มตีกาแพงตะวันตก รวบรวมจนบัดนี้ ยังคงเฉก
เช่นเดิม ท้องน้ายังจดขอบฟ้าเช่นเคย"
หลังจากท่านละสังขารแล้วไม่นาน ก็มีพระภิกขุรูปหนึ่งได้พบ พระอรหันต์ จี้กง นั่งอยู่ใต้
เจดีย์ ชื่อ "หลักฮั้ว" และยังให้หนังสือ ซึ่งมีบทกวีบทหนึ่งว่า "หวนราลึกอดีต ศรยิงมาเบื้องหน้า
ถึงบัดนี้ หนาวเหน็บกระดูกเยือกเย็นทุกขุมขน ไร้ผู้คนรู้จัก วิ่งเล่นบนราวฟ้าหนึ่งครา" ซึ่งบอก
เป็นนัยว่าท่านจะลงมาสู่แดนมนุษย์อีกครั้ง เป็นพระประสงค์ของมหาโพธิสัตว์
ตลอดชีวิตของท่านได้ช่วยเหลืออบรมสั่งสอนประชาชน โดยวิธีการเสแสร้งและปริศนา
ธรรมต่าง ๆ กันไป กายท่านเป็นพระภิกษุ และ มีจิตที่เป็นมหาโพธิสัตว์ ท่านมีแต่จีวรขาด ๆ
รองเท้าขาด ๆ คู่หนึ่ง โดยไม่สนใจว่า มันจะเปื้อนโคลนหรือไม่
มือถือพัดเล่มหนึ่ง ไม่กลัวทั้งที่ต่าและที่สูง แม้ศีรษะจะโล้นเลี่ยน ไม่ครั่นลม ไม่คร้ามฝน
ร้อนหนาวไม่รู้สึก ไม่ต้องมีย่าม ไม่ต้องบิณฑบาตเพราะไม่หิวไม่กระหาย ไม่ต้องแต่งกายเพราะ
ศีรษะไร้ผม พบใครเอาแต่ยิ้มเพื่อจะได้แผ่บุญ ไม่หนีสังคมค้นหาเสี่ยงทุกข์เพื่อจะได้ช่วยเหลือ
ชาวบ้านนับถือทุกครัวเรือนมีแต่พระอรหันต์ หลักการของท่าน พระภิกษุทั่วไปไม่ชอบ
เนื่องจากความไม่สารวมของท่าน ทาให้พระภิกษุที่มีความรู้รู้สึกเสียหน้าไม่สบายใจ ดังนั้น
พระภิกษุผู้ใหญ๋ จึงไม่กล่าวขานถึง ไม่พูดถึงความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน
สืบเนื่องจาก พระอรหันต์จี้กง มีเมตตาจิตไม่ถือสา การปรากฏตนของท่าน เอาแน่นอน
ไม่ได้กิริยาวาจาล้วนเป็นปริศนาธรรม ซึ่งทาให้ธรรมะของท่าน เป็นที่กล่าวขาน จนได้รับการยก
ย่องว่า เป็นอาจารย์ทางพระกัมมัฏฐาน แม้ว่าท่านละสังขารจากโลกไปแล้วก็ตาม แต่ธรรมะของ
ท่าน ยังมีประโยชน์ต่อมวลมนุษย์เสมอมา ดังนั้น จึงได้สมัญญาว่า เป็นพระพุทธที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็
เนื่องด้วยเหตุฉะนี้
ชาวโลกนับว่าโชคดี ดั่งอาบน้าฝนอันศักดิ์สิทธิ์ ออกจากทางมารโดยตลอด สาธุ
บทสรรเสริญพระอรหันต์จี้กง
เริ่มแรกต้องตีหัว เพื่อปลุกตัวตื่นจากหลง
ยิ้มยื่นดอกไม้ดง ยังคงเป็นปริศนาธรรม
ชีวิตคือละคร สะท้อนได้เหมือนจริงจัง
สรรพสิ่งสู่จิตตัง ท่องสวรรค์แลยมบาล
*******
Page 3
3
โอวาทของพระอรหันต์จี้กง
อ่านแล้วเก็บรักษา บุญรักษาเนืองนอง
รู้แล้วบอกกันทั่ว บุญกุศลเรืองรอง
1. ชีวิตย่อมเป็นไปตามวิถีแห่งกรรมที่ลิขิต (ละชั่วทาดี) วอนขออะไร
2. วันนี้ไม่รู้เหตุการณ์ในวันพรุ่งนี้
กลุ้มเรื่องอะไร
3.ไม่เคารพพ่อแม่แต่เคารพพระพุทธองค์
เคารพท าไม
4. พี่น้องคือผู้ที่เกิดตามกันมา
ทะเลาะกันท าไม
5. ลูกหลานทุกคนล้วนมีบุญตามลิขิต
ห่วงใยทาไม
6. ชีวิตย่อมมีโอกาสประสบความสาเร็จได้
ร้อนใจท าไม
7. ชีวิตใช่จะพบเห็นรอยยิ้มกันได้ง่าย
ทุกข์ใจทาไม
8. ผ้าขาดปะแล้วกันหนาวได้
อวดโก้ท าไม
9. อาหารผ่านลิ้นแล้วกลายเป็นอะไร
อร่อยไปใย
10. ตายแล้วบาทเดียวก็เอาไปไม่ได้
ขี้เหนียวทาไม
11. ที่ดินคือสิ่งที่สืบทอดแก่คนรุ่นหลัง
โกงกันท าไม
12. โอกาสจะได้กลายเป็นเสีย
โลภมากท าไม
13. สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือศีรษะเพียง 3 ฟุต
ข่มเหงกันท าไม
14. ลาภยศเหมือนดอกไม้ที่บานอยู่ไม่นาน
หยิ่งผยองท าไม
15. ทุกคนย่อมมีลาภยศตามวาสนาที่ลิขิต
อิจฉากันท าไม
16. ชีวิตลาเค็ญเพราะชาติก่อนไม่บาเพ็ญ
แค้นใจท าไม (บ าเพ็ญไวๆ)
17. นักเล่นการพนันล้วนตกต่ า
เล่นการพนันทาไม
18. ครองเรือนด้วยการประหยัดดีกว่าไปพึ่งผู้อื่น
สุรุ่ยสุร่ายทาไม
19. จองเวรจองกรรมเมื่อไหร่จะจบสิ้น
อาฆาตท าไม
20. ชีวิตเหมือนเกมหมากรุก
คิดลึกท าไม
21. ฉลาดมากเกินจึงเสียรู้
รู้มากทาไม
22. พูดเท็จทอนบุญจนบุญหมด
โกหกทาไม
23. ดีชั่วย่อมรู้กันในที่สุด
โต้เถียงท าไม
24. ใครจะป้องกันมิให้เกิดเรื่องได้ตลอด
หัวเราะเยาะกันท าไม
25. ฮวงซุ้ยดีอยู่ในจิตไม่ใช่อยู่ที่ภูเขา
แสวงหาท าไม
26. ข่มเหงผู้อื่นคือทุกข์ รู้ให้อภัยคือบุญ
ถามโหรเรื่องอะไร
27. ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย
วุ่นวายทาไม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น