“รัฐบาลปู 1” นั้น กำลังอยู่ในช่วงของการเจรจาต่อรองกันระหว่างบรรดาแกนนำของ “พรรคเพื่อไทย” ตลอดจนกลุ่มบุคคลที่มีบุญคุณต่อการหาเสียงเลือกตั้ง จนสามารถกำชัยชนะแบบถล่มทลายมาได้มากถึง 265 ที่นั่ง ทิ้งห่างแทบทุกพรรค ไม่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้เพียง 159 ที่นั่ง พรรคภูมิใจไทยเหลือ 34 ที่นั่งเท่านั้น ส่วนชาติไทยพัฒนาและชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดินได้เพียงครึ่งเดียวจากที่ตั้งความหวังไว้
เท่านั้นยังไม่พอ “กลุ่มเสื้อแดง : แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)” ที่จ่อจ้องจะขอเก้าอี้ “อำมาตย์” มายึดครองเช่นเดียวกัน ทั้งนี้ แต่ละกลุ่มแต่ละฝ่ายต่างต่อรองชนิด “ทวงบุญ-ทวงคุณ” กันเลย จน “ปู : ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” และแน่นอนที่สุดที่ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ต่างปวดเศียรเวียนเกล้า ซึ่งกว่าจะจบได้น่าจะอีกประมาณไม่เกิน 2 สัปดาป์ต่อจากนี้ หลังจัดให้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในช่วง 3 สิงหาคม ครบ 30 วัน พอดีตามรัฐธรรมนูญปี 2550
ดังนั้นขณะนี้ “ฝุ่นตลบ” อย่างแน่นอนในพรรคเพื่อไทย บวกกับ “กลุ่ม นปช.” และบรรดากลุ่มพรรคร่วมรัฐบาลอีก 5 พรรค ที่ต่างเรียกร้องจะขอนั่งเก้าอี้กระทรวงเกรดเอ แต่น่าเชื่อว่า “ครม.ปู 1” นั้น รูปลักษณ์น่าจะออกมาดี มิใช่ให้เป็นไปตาม “ข้อเรียกร้อง-ข้อต่อรอง” ของบรรดาแกนนำพรรคร่วม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง หมายความว่า “บทเรียน” ที่เคยลุแก่อำนาจเมื่อ 5-6 ปีก่อนหน้านี้ น่าจะเป็นสิ่งสอนใจคุณทักษิณได้เป็นอย่างดี ซึ่งค่อยมาว่ากันคราวต่อไป
งวดนี้ “แสงแดด” ได้สบโอกาสเดินทางร่วมคณะไปกับ “โครงการพัฒนานักการบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่น 4-รุ่น 5” ที่ได้เดินทางขึ้นจังหวัดอุดรธานี พักแรมหนึ่งคืนที่จังหวัดหนองคาย ต่อด้วยการเดินทางเข้าสู่ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) พักหนึ่งคืนที่เมืองเวียงจันทน์
เหตุผลสำคัญที่คณะข้าราชการจากสำนักงานคณะกรรมการการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) จากสถาบันส่งเสริมฯ เดินทางเข้าสู่ สปป.ลาวในครั้งนี้ เพื่อเข้าเยี่ยมคารวะพร้อมรับฟังคำบรรยายจากรัฐมนตรีอุตสาหกรรมและการค้า ดร.นาม วิยะเกด ซึ่งเป็นรัฐมนตรีหนุ่มจบด็อกเตอร์จากประเทศรัสเซีย ดูแนวโน้มทิศทางทางการเมืองน่าจะสดใสมากทีเดียว
“ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (ธรรมาภิบาล)” ซึ่งคุ้นเคยกับดร.นาม วิยะเกด มาเป็นอย่างดี ทำหน้าที่ประสานให้คณะ นปร.รุ่น 4-5 ได้เดินทางเข้าเยี่ยมคารวะพร้อมรับฟังการบรรยายเมื่อวันพุธที่ 6 กรกฎาคม ที่ผ่านมา จนดร.นาม ใช้เวลาในการบรรยายประวัติความเป็นมาของประเทศ สปป.ลาว ตลอดจน บรรยายเรื่อยมาจนถึงภารกิจด้านการพัฒนาสภาวะเศรษฐกิจของประเทศว่าจะเดินหน้าสู่ทิศทางใดทำนอง “วิสัยทัศน์เชิงยุทธศาสตร์” ด้านเศรษฐกิจและการค้า พร้อมทั้งอนาคตประเทศ
“แสงแดด” ขอเล่าเพียงคร่าวๆ ว่า ประเทศ สปป.ลาวได้เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบสังคมนิยม เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2518 (ค.ศ.1975) โดยมีพรรคการเมืองพรรคเดียว คือ “พรรคประชาชนปฏิวัติลาว” ซึ่งแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 16 แขวง (จังหวัด) กับหนึ่งนครหลวง รวมเป็น 17 เขตการปกครอง
ประเทศ สปป.ลาวมีประชากรประมาณ 6.5 ล้านคน มีพื้นที่ประมาณร้อยละ 40 ของประเทศไทย และที่สำคัญใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบกึ่งทุนนิยม แต่ในที่สุดแล้ว เริ่มเปลี่ยนแปลงสู่ระบบทุนนิยม โดยมีการเปิดกว้างรับนักลงทุนจากต่างประเทศทั่วโลก มิได้แบ่งว่าต้องเป็นประเทศนั้น ประเทศนี้
ปัจจุบัน ประเทศ สปป.ลาวได้รับการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็ว เนื่องจากในอดีตนั้น ประเทศ สปป.ลาวได้ถูกล็อก (Lock) โดยมีไทย จีน เวียดนาม พม่า และกัมพูชา เป็นประเทศพรมแดนที่กั้นทางออกสู่ทะเลทั้งหมด เรียกว่า “แลนด์ล็อก (Land Lock)” หมายความว่า เป็นดินแดนที่ถูกปิดกั้นกรณีการส่งออกทางเรือ แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงและพัฒนาสู่ “แลนด์ ลิงก์ (Land Link)” ที่แปลว่า “เชื่อมโยงพรมแดน” จนน่าจะเป็นศูนย์กลางในที่สุด
ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-สปป.ลาวนั้น นับว่าเป็น “บ้านพี่เมืองน้อง” ส่วนใครจะเป็นพี่และใครเป็นน้องนั้น ต้องพิจารณากันดีๆ เนื่องด้วยพื้นฐานทางภาษาใช้ภาษาที่คล้ายคลึงกันมาก พูดจากันรู้เรื่อง เพราะมีพื้นฐานจากภาษาไทย-ลาว หรือภาษาอีสาน ด้านศาสนาและวัฒนธรรมก็มีศาสนาพุทธ การแต่งกาย ทักทาย ยกมือไหว้กัน ก็เสมือนคล้ายคลึงกันมาก
เวียงจันทน์เป็นนครหลวงที่ นปร.รุ่น 4-5 บางคนไม่เคยเยี่ยมเยือน สปป.ลาว จึงดีใจอย่างมากที่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมบ้านพี่เมืองน้อง จนรู้สึกคุ้นเคยกันอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐมนตรีอุตสาหกรรมและการค้า ดร.นาม วิยะเกด ให้ความเป็นกันเอง สนทนาพูดคุย ตลอดจนสัมภาษณ์กับบรรดาข้าราชการ นปร.ฯ อย่างใกล้ชิด ตลอดระยะเวลาเกือบสองชั่วโมง
ข้าราชการ นปร.บางคนซักถาม ดร.นาม กรณี “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC : Asean Economic Community)” ถึงการเตรียมความพร้อมในทุกด้าน อาทิ การพัฒนาอัตราภาษี ที่จะเป็นศูนย์เปอร์เซ็นต์ การพัฒนาด้านบุคลากร การพัฒนาระบบการขนส่งหรือโลจิสติกส์ เป็นต้น ซึ่งภายในอีกประมาณ 3 ปีครึ่งกว่าๆ นั้น หรือปี 2558 (ค.ศ.2015) นั้น “กลุ่มประเทศ CLMV (Cambodia-Laos-Mynmar-Vietnam)” จะรวมกันเป็น “ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” ครบ 10 สมาชิกประเทศอาเซียน ที่จะก่อให้เกิดการรวมตัวครั้งสำคัญของประชากร 570 กว่าล้านคน
นับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เรากำลังจะมี “รัฐบาลใหม่” ที่ต้องใส่ใจกับการเดินหน้าสู่ทิศทางรวมตัวของหมู่มวลสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ ที่แน่นอนจำต้องมีอีก 6 ประเทศเข้าร่วมด้วย กล่าวคือ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ที่จะต้องมีประชากรรวมแล้ว 3,000 ล้านคน เรียกว่า “ครึ่งโลก” กันเลยทีเดียว
ขอแสดงความยินดีกับ ก.พ.ร.และสถาบันส่งเสริมการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ตลอดจนรัฐมนตรีอุตสาหกรรมและการค้า ดร.นาม วิยะเกด ที่แสดงมิตรไมตรีเป็นอย่างดี!
nice blog
ตอบลบเป็นบล็อกให้ข้อมูลเกี่ยวกับเวียดนามและแปลภาษาเวียดนามที่ดีจริงๆ
ตอบลบ