สมองเหนื่อยไม่เป็น
....
ของวิเศษในตัวของท่าน
เวลาชวนคนสูงวัยให้เรียนอะไรใหม่ๆ เช่น เรียนการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อจะได้ใช้Internet
มักจะได้คาตอบว่า “โอ๊ย! แก่แล้ว ไม่ไหวแล้ว สมองจาอะไรไม่ได้แล้ว ฯลฯ”
ลองอ่านเรื่องนี้ดูนะคะโดยเฉพาะในข้อ 4 และ ข้อ 5
“ดิฉันว่าคนเรานั้นความแก่ย่อมมาแน่ๆ อย่ารีบไปถามหามันเลยค่ะ”
ของวิเศษในตัวของท่าน
รองศาสตราจารย์รณชัย คงสกนธ์ : ผู้รวบรวมและเรียบเรียง
บางทีท่านอาจจะบ่นว่า หัว (คือสมอง) ของท่านไม่ดีสู้คนอื่นไม่ได้หรือคงเคยพูดว่า
วันนี้ทางานมาก จนหัว (หัวสมอง) เพลียเห็นจะต้องพักเสียที
มีแต่การทดลองทางการแพทย์และจิตวิทยา บอกว่าที่คิดอย่างนี้คิดผิดทั้งนั้น
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมันสมอง 6 ข้อ ซึ่งจะช่วยให้ท่านเข้าใจมันสมอง ของวิเศษในตัวท่าน
1. มันสมองเหนื่อยหรือเพลียกับใครไม่เป็น
คนที่ทางานใช้ความคิดติดต่อกันนานๆจะรู้สึก มึนงง เพลีย ทางานช้าลง
Page 2
2
เข้าใจเอาเองว่า ใช้สมองมาก จนสมองเพลีย จึงต้องหยุดพักสมอง
เมื่อได้พักแล้วก็รู้สึกแจ่มใส ทางานได้ดีขึ้น พวกนักวิทยาศาสตร์ ได้ทดลองเรื่องนี้ ว่าจริงไม่จริง
อย่างไร
ก็พบว่าไม่จริง สมองเพลียกับใครไม่เป็น เพราะสมองไม่เหมือนกล้ามเนื้อ
ไม่ได้ทางานอย่างกล้ามเนื้อ พลังของสมองเกิดจากไฟฟ้าเคมี (Electrochemical)
ในสมองมันจึงไม่เพลีย เช่นเดียวกับเราเปิดไฟห้าสิบแรงเทียน เปิดไว้นานเท่าใดมันก็สว่างอยู่
เท่านั้น
ถ้ามันจะดับก็ดับไปเลย อาการที่ใกล้กับความเพลียของสมอง ก็คือความเบื่อ
อย่างเช่นเวลาท่องตารายากๆ สักเล่มหนึ่งพอดึกเข้า สักหน่อย
ใจหนึ่งอยากอ่านต่อไป อีกใจหนึ่งอยากนอน เช่นนี้ทาให้ท่านหมดความตั้งใจที่จะอ่าน
ดังนี้พอจะพูดได้ว่าสมองเพลียคือหมายความว่า ท่านหย่อนความตั้งใจที่จะทางาน
และไม่สามารถที่จะบังคับความคิดไม่ให้ฟุ้งซ่านไปในทางอื่น
2. กาลังสมองไม่มีที่สิ้นสุด
สมองเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย มีหน้าที่เกี่ยวกับการจดจาการคิดและความรู้สึกต่างๆ
สมองประกอบด้วยตัวเซลล์ประมาณ 10 พันล้านตัวถึง 12 พันล้านตัว
แต่ละตัวมีเส้นใยที่เรียกว่าแอกซอน (Axon) และเดนไดรต์ (Dendrite)
สาหรับให้กระแสไฟฟ้าเคมี (Electrochemical) แล่นผ่านถึงกันการที่เราจะคิด
หรือจดจาสิ่งต่างๆนั้นเกิดจากการเชื่อมต่อ ของกระแสไฟฟ้าในสมอง
คนที่ฉลาดที่สุดก็คือคนที่สามารถใช้กาลังไฟฟ้าได้เต็มที่
3.อัตราส่วนเชาวน์ (I.Q.) นั้นที่จริงไม่ใช่ของสาคัญ นักจิตวิทยา
เช่น อัลเฟรดและบิเนต์ มีวิธีการวัดความฉลาดของคน โดยการวัดอัตราส่วนเชาวน์
หรือไอคิว แล้วกาหนดว่าคนนั้นๆมีไอคิวเท่านั้นๆ ถ้าใครวัดแล้วได้ไอคิวต่ากว่าร้อย
ก็ออกจะเสียใจ สักหน่อย แต่นักจิตวิทยาเขาว่าอย่าไปสนใจกับไอคิวนักเลย
เพราะการทดสอบนั้นมันไม่ค่อยแน่นัก อาจทดสอบผิดพลาดได้ง่าย
เท่าที่เขาค้นพบนั้น ว่าใครมีร่องยู่ยี่หยุกหยิกตอนกลางกระหม่อมมากๆมักจะฉลาดกว่าคนอื่น
แต่คนที่ธรรมชาติไม่ได้สร้างสิ่งพิเศษมาให้จะไม่มีทางฉลาดกับเขาบ้างหรือ
Page 3
3
นักวิทยาศาสตร์ตอบว่ามีและมีได้แน่ๆคนที่มีไอคิวปานกลางอาจจะเป็นคนฉลาดปราด เปรื่อง
มีความรู้ดีได้โดยการหมั่นฝึก ตัวเซลล์ในสมองให้มันทางาน ไม่ปล่อยให้มันขี้เกียจอยู่เฉยๆ
เขาพบว่าคนที่มีชื่อเสียงมากมายหลายคนมี ไอคิวเท่าๆกับคนธรรมดา
อย่างเช่น จอห์น อาดัมส์, อับราฮัม ลินคอล์น, นโปเลียน, เนลสัน
เหล่านี้มีสมองธรรมดาๆ แต่ว่าเป็นคนมีลักษณะพิเศษ
คืออุตสาหะพากเพียรอย่างไม่หยุดยั้ง คนสมองดีๆถ้าไม่หมั่นใช้มันก็จะฝ่อได้
4. แก่แล้วก็เรียนได้ดีเท่าหนุ่มๆเหมือนกัน
ความเข้าใจผิดอย่างไม่เข้าท่า ก็คือว่ายิ่งแก่ตัวยิ่งเรียนไม่ได้สมองเสื่อม ความจาไม่ดี
ถ้าเป็นคนขี้เหล้าเมายาหรือมีโรคอาจเป็นได้ดังนี้ แต่คนปรกติแล้วย่อมเรียนได้ตลอดอายุ
ความแก่ชราไม่เป็นอุปสรรคแก่การเรียน การเรียนเกี่ยวกับการให้กระแสไฟฟ้าในสมองเคลื่อนไหว
ดังนั้นถ้าสมองไม่ผุพังเพราะเชื้อโรค หรือการกระทบกระเทือนอย่างหนึ่งอย่างใดแล้ว
อายุ 90 ปี ก็ยังเรียนได้ที่ว่าแก่ป้าๆเป๋อๆชื่อคนที่เคยจาได้ก็นึกไม่ออก อะไรพวกนี้
เป็นการยอมรับตัวเองทั้งสิ้น
5. กาลังสมองจะดีขึ้นถ้าได้ใช้มันอยู่เสมอ
สมองเหมือนกับกล้ามเนื้อ ตรงที่การฝึกถ้าได้ใช้ให้ทางานอย่าปล่อยให้มันขี้เกียจ
มันจะยิ่งเก่งกล้าขึ้น ท่านยิ่งใช้ความคิด ความคิดของท่านก็จะดีขึ้น
หากท่านใช้ความจาอยู่เสมอ ความจาของท่านก็จะดีขึ้น คือท่านจะจาอะไรได้เร็วขึ้น
มีอานาจอย่างหนึ่งที่เราพูดถึงกันเสมอคืออานาจใจหรือกาลังใจ
กาลังอันนี้สะสมอยู่ในสมอง ทุกคราวที่ท่านใช้กาลังใจหรืออานาจใจต่อสู้อุปสรรคปัญหา
หรือความยากลาบากต่างๆ กาลังใจของท่านก็เพิ่มพูนมีกาลังแรงขึ้น
6. จิตใต้สานึก .. คลังอันน่ามหัศจรรย์
ส่วนลี้ลับและแสนจะพิศดารในตัวของเราคือจิต ใต้สานึก หรือบางทีเรียกว่า จิตไร้สานึก
มันเป็นที่เก็บพลังพิเศษ และความจดจาเรื่องทั้งหลายมากมายก่ายกอง แต่มันน่าประหลาด
ที่เราไม่สามารถให้มันสาแดงฤทธิ์ตามใจเราได้
Page 4
4
มันจะแสดงพลังของมันออกมาในขณะที่มีเหตุใหญ่ฉันพลัน ทันด่วน
และแสดงออกมาโดยเราเองก็ไม่รู้ตัว จิตแพทย์ได้เพียรใช้จิตสานึกรักษาโรคจิต
อย่างเช่นบางคนอย ููู่ดีๆ กลัวและเกลียดคนหน้าดา เจ้าตัวเองก็บอกไม่ถูก
ว่าทาไมถึงเกลียดและกลัวอย่างไม่มีเหตุผล
จิตแพทย์ต้องใช้วิธีให้จิตใต้สานึกบอกเรื่องราวแต่หนหลังที่ตกตะกอนลงไปอยู่ ในจิตแห่งนั้น
ก็รู้ได้ว่าเมื่อตอนนั้นยังเล็กอยู่ มีคนหน้าดาคนหนึ่งได้เข้ามาปลุกปล้าบีบคอเขาในบ้าน
แต่เขาจาเรื่องนี้ไม่ได้เพราะมันตกไปอยู่ในจิตใต้สานึก เมื่อเขาโตขึ้น
มันจึงแสดงอาการออกมาในลักษณะที่เขากลัวและเกลียดคนหน้าดา
นักจิตวิทยากล่าวว่า หากเราหัดพูดกับจิตใต้สานึกเราก็สามารถสร้างพลังขึ้นในตัวได้
อย่างเช่นเราพูดกับจิตใต้สานึกว่า คืนนี้เราจะตื่นตีห้า ทาใจให้แน่วแน่ เพ่งอยู่ในการตื่นเวลาตีห้า
พอถึงตีห้า จิตใต้สานึกก็จะปลุกเราเอง ถ้าเราเป็นคนขลาดขี้อาย เราพยายามพูดกับจิตใต้สานึกว่า
เราจะไม่ขลาด
เราจะไม่ขี้อาย ความขลาด ความขี้อายก็จะหายไปเอง
www.ramamental.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น