เคยมีผู้เขียนเรื่องความฉลาดและความมีปัญญาอิงพระไตรปิฎกในแก่นธรรมไว้นานแล้ว และผู้เขียนก็เห็นด้วยกับรายละเอียดทั้งหมด ถ้าท่านผู้อ่านท่านใดใคร่อ่านเรื่องดังกล่าว ก็คงต้องขอให้ย้อนกลับไปอ่านแก่นธรรมตอนเก่านะครับ
ที่เริ่มต้นเช่นนี้ เพราะนึกถึงคำว่าพรแสวงและพรสวรรค์ ดังที่เราๆรู้กันมาว่าพรแสวงนั้นจำเป็นต้องฝึกฝนให้เกิดขึ้น แต่สำหรับพรสวรรค์นั้น มันมีติดตัวมาสำหรับบุคคลที่มีพรสวรรค์
บุคคลที่มีส่วนสำคัญที่สุดในการเพิ่มพรแสวง ก็คงหนีไม่พ้นไปจากบุคคลที่เราเรียกท่านว่าครู แต่ในสังคมสมัยนี้เราห่างเหินจากคำว่าครูมาก เพราะเราหันกลับไปเรียกท่านว่าอาจารย์กันเต็มบ้านเต็มเมือง
คำว่าครูนี้ในแก่นธรรมก็เคยมีผู้เขียนถึงว่า มาจากคำสันสกฤตที่เรียกว่าคุรุ หรือที่คุแปลว่าแสงสว่าง (เป็นผู้ชี้ทางแห่งแสงสว่าง )และรุแปลว่าความมืดมน คุรุจึงแปล่าเป็นผู้ขจัดความเขลาที่มืดมน
แม้กระทั่งทุกวันนี้ในประเทศอินเดียก็ยังใข้คำว่าคุรุในความหมายของคำว่าครูกันอยู่เป็นปกติวิสัย
โดยส่วนตัวผู้เขียนยังชอบคำว่าพ่อและแม่ แม้จะไม่รักไม่เกลียดคำว่าป๊า แด๊ด มอม มามี๊ก็ตาม เพราะมันให้ความหมายชัดเจน และออกจะติดหูติดใจมานาน ( ก็ยังหลงอยู่นะ )
หลายวันมานี้ ผู้เขียนคิดถึงคำว่าครูและเลยเถิดไปคิดถึงครูบาอาจารย์บางท่านที่ประ สิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้แก่ผู้เขียน รวมทั้งหลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ที่มีแต่ความเมตตาให้กับผู้เขียน
ครูบางคนของผู้เขียน บางท่านทำตัวเหมือนพ่อ แม่ ยามปกติก็ให้ความรู้ ความเอ็นดู ยามป่วยไข้ก็เฝ้าดูแลและห่วงใย ไม่ปล่อยให้ห่างตัว
จากการที่ผู้เขียนเป็นเด็กขี้โรค ก็มีครูนี่แหละคอยประคบประหงม ราวกับพ่อแม่อีกคนหนึ่งก็ไม่ปาน
ในวัยเด็กผู้เขียนป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ชนิดรุนแรงที่มีลักษณะบวมแดงทั้งตัว โดยเริ่มจากอาการผื่นคัน แล้วจะบวมเปล่งไปทั้งหน้า ปาก ตา หู จนบวมแดงไปทั้งตัว อาการที่สำคัญของมันอีกอย่างหนึ่งก็คือคันมาก แถมยังร้อนผ่าว ที่ชาวบ้นเรียกว่าลมพิษ ใครที่เคยเป็นจะรู้ทุกขเวทนานี้ได้ดี
กว่าอาการจะทุเลา ก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง บางครั้งเป็นหนักจนข้ามวัน ทำให้ไม่เป็นอันกิน อันนอน หรือแม้กระทั่งไม่มีใจจะเรียนหนังสือเลย
ครูดวงใจคือครูแม่พระของผู้เขียน ที่คอยเอาน้ำอุ่นๆและยาแก้แพ้มาให้กิน รวมทั้งยังเอาใบชะพลูผสมเหล้าขาวเช็ดถูตัวให้ แอลกอฮอล์ในเหล้าให้ความเย็นและลดอาการแสบร้อนที่ผิว หนังที่บวมแดงได้ไม่น้อย
แต่อาการตาบวม ปากห้อยเป็นครุฑนี่สิช่างทรมานผู้เขียนเสียจัง แม้จะไม่เคยนึกถึงความอายต่อหน้าผู้คนเลยก็ตาม
ผู้เขียนได้ไปหาหมอที่สบาบันโรคผิวหนังแถวๆวิสุทธิกษัตริย์ ในทุกวันพุธ นั่งรอหมอตั้งแต่สี่โมงเช้ายันสี่โมงเย็น ( 10.00-16.00 น.) แล้วก็ได้ยาแก้แพ้กลับมาบ้านถุงหนึ่งคือคลอเฟนิรามีน และยาแป้งทาแก้คันขวดหนึ่งคือคาลาไมน์โลชั่น
เป็นอย่างนี้แทบทุกวันพุธที่ขาดเรียนมาเกือบสองปี ด้วยความที่ยังไร้เดียงสาและไม่รู้อะไรเลย เขาให้นั่งรอก็รอเช่นนั้น เพื่อรอรับยาสองขนานดังกล่าว แต่การรอก็รออย่างเพลิดเพลิน เพราะนั่งฟังเขาเรียกชื่อคนไข้แปลกๆขำๆเช่น นายโถ อู่ทอง ( ต้องขอโทษนะครับที่เอ่ยนาม )และนึกตามภาษาเด็กว่าจะมีใครชื่อว่าฉี่ ไม่ซ้ำโถบ้างนา
การอดทนรอเป็นเวลานาน ทำให้ผู้เขียนติดเป็นนิสัยรอเป็นอยู่ลึกๆมาจนกระทั่งทุกวันนี้แม้คนอื่นจะรอเราไม่เป็นเลยก็ตาม
แม่ของผู้เขียท่านเห็นป่วยบ่อยจนทนไม่ได้ เลยเปลี่ยนหมอให้ แม้จะไม่มีเงินก็ตาม ก็ได้พาไปเจอกับคุณหมอบุรมย์ หมอทหารที่เกษียณแล้วมาเปิดคลีนิคอยู่ข้างบ้านผู้เขียน ท่านมียาวิเศษซึ่งไม่รู้ว่าเป็นยาอะไร พอฉีดให้ผู้เขียนปุ๊บ อาการก็แทบจะหายปั๊บในเวลาอีกไม่นาน ไปฉีดยากับคุณหมออยู่หลายครั้ง แต่ท่านก็บอกนะว่าโตขึ้นอีกหน่อยก็จะหายไปเอง แล้วคำพูดของท่านก็พิสูจน์ได้ว่าจริง คุณหมอบุรมย์ก็เป็นครูอีกคนหนึ่งของผู้เขียน ที่แสนจะเมตตา
ถ้าพูดถึงคุณแม่ที่เป็นครูคนแรกของผู้เขียน ก็คงพูดได้เต็มปากเต็มคำแม้ไม่ดีเท่ากับที่เม้าเขียนก็ตาม แต่ก็รู้สึกกับแม่คล้ายๆกับเม้าที่ว่า แม่เป็นยอดแห่งครู ยากที่จะมีใครเสมอเหมือน
หลวงปู่ หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ ผู้เป็นครูในยุคต้นแห่งการเรียนรู้ธรรมะ ก็ยอมรับนะครับว่าในตอนแรกๆยังก็ฟังท่านสอนไปอย่างงั้นๆ ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่า"ตัวเราไม่ใช่ของเรา และของๆเราไม่ใช่ของเรา "คิดจนหัวแทบแตกก็ยังไม่เข้าใจสักนิดเลย แม้กระทั่งมันแปลว่าอะไร มืดจริงๆครับ
จนมามีประสบการณ์กับการสูญเสียหลายต่อหลายอย่าง จึงเริ่มเข้าใจและชวนให้ศึก ษาธรรมะของพระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นพระบรมครูของชาวโลกและเทวดาทั้งหลาย และเข้าใจมากขึ้นกับธรรมะ
ความทุกข์จึงเริ่มที่จะลดลง เพราะตัวเรามันเริ่มคลายตัวลงบ้างจากการมีตัวเรา แต่พอเผลอตัวทีหนึ่ง ก็ยึดขึ้นมาทีหนึ่ง กว่าจะรูสึกตัวก็ทุกข์ขึ้นมาอีกแล้ว
ครูคนต่อมาก็หนีไม่พ้นภรรยานี่แหละ ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุข หรือร่วมสุขแต่ไม่ร่วมทุกข์หรือจะร่วมทุกข์แต่เพียงอย่างเดียว
ครูคนถัดมาจากภรรยา ก็คงไม่พ้นลูก ที่สอนให้เรารู้จักพ่อแม่ของเรามากและชัดเจนขึ้น มากขึ้นจริงๆนะครับ เพราะเราได้มาอยู่ในสถานะเดียวกันกับท่าน จึงเข้าใจว่าท่านรักเราแค่ไหน ทุกข์แทนเราแค่ไหน สุขแทนเราแค่ไหน
และคนที่เรานึกถึงเป็นครูคนสุดท้าย ซึ่งความเป็นจริงแล้วน่าจะนึกถึงท่านเป็นคนแรกจึงจะถูกต้อง ก็คือตัวเราเองนี่แหละ
ตัวเราที่ประกอบไปด้วย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่พระท่านเรียกว่ามูลกรรมฐานที่ท่าน เอามาสอนพระนวกะหรือพระบวชใหม่ให้พิจารณาว่ามันไม่สวยไม่งามอย่างที่เห็น ที่ชวนหลงใหล ว่าเราดูมันอย่างชัดเจนหรือเปล่า เพราะจริงๆมันล้วนสกปรก เป็นแค่ธาตุดิน ที่มารวมกันกับธาตุน้ำ ลม ไฟ และวิญญาณธาตุ ทำให้เกิดกลไกในการเป็นมนุษย์ขึ้นมา
ในตัวเรามีสิ่งที่ให้เรียนรู้มากมาย มันเป็นมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่สอนให้เรารู้สิ่งต่างๆที่ๆอื่ๆน ไม่ค่อยมีสอนคือทุกข์ ว่ามันเกิดขึ้นมาเพราะความยึดมั่นในตัวในตน ในของๆตนที่เรียกว่าอุปทาน ยึดยิ่งแน่นยิ่งทุกข์มาก ยึดแบบรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม มันมากันเป็นแพ็คเกจ ซื้อหนึ่งแถมสิบก็ว่าได้
คนส่วนใหญ่จึงรู้ว่าทุกข์ แต่ไม่เห็นทุกข์ เหมือนปลาไม่เห็นน้ำ นกไม่เห็นฟ้า เพราะมันอยู่ใกล้ไป ก็เลยไม่รู้ว่าทุกข์มันเกิดจากอะไร ยิ่งทุกข์น้อยๆ เดี๋ยวมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปก็ยิ่งมองไม่เห็น แต่ทุกข์ถ้ามันมาก ก็จะอยู่กับเรานานหน่อย เพราะเราจะคิดซ้ำคิดวน แล้วดูเหมือนมันจะอยู่กับเราทน แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันก็ไม่หนีจากหลักที่ว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นั่นเอง
หากพิจารณาคำสอนของครูบาอาจารย์ในเรื่องทุกขสัจ สมุทัยสัจ นิโรธสัจ มรรคสัจแล้ว เป็นเรื่องเห็นจริงว่า ทุกข์เกิดมาแต่ไหนให้แก้ที่นั่น และทางแห่งการพ้นจากทุกข์ท่านก็สอนเอาไว้แล้ว ขาดแต่เพียงอย่างเดียวคือให้ลงมือทำ
มีคำพูดสำนวนหนึ่งที่ผู้คนชอบพูดกันเสมอว่า"ผิดเป็นครู" ฟังดูแล้วเหมือนดี แต่ถ้าจะให้ดีกว่านั้น ทำถูกเสียก่อนผิดเถอะ จะได้ไม่เปลืองครู เพราะตัวเราเองก็เป็นครูของตัวเองอยู่แล้ว
ครูแปลว่าผู้รู้ ที่มาจากคำว่ากูรู ถ้าพิจารณาตนจนเป็นผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ครูคนนี้จะนำเราไปสู่พุทธสภาวะแห่งการตระหนักรู้ในศักยภาพแห่งตนเอง จนไปสู่สภาวะแห่งการไร้ตัวตน สภาวะแห่งความอิสระทางจิต โดยรู้แจ้งจากภายใน นี่แหละครูที่แท้จริง
ธรรมะสวัสดี
วก
ใบโพธิ์แก่นธรรม
กายมันทุกข์เกินปกติ เพราะใจมันไปคิดว่าทุกข์เกินปกติ ถ้าคิดว่าทุกข์ปกติ ทุกข์แค่ไหนก็รับได้ เพราะปัญญาเกิดขึ้นแล้ว
หมายเหตุแก่นธรรม
๑.ผู้เขียนและคณะเป็นผู้เขลาทางปัญญา หากมีข้อผิดพลาดบกพร่อง ขอน้อมรับทุกประการ บุญกุศลที่เกิดจากบทความนี้ขอน้อมถวายแด่หลวงปู่ หลวงตา หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ และอุทิศให้แก่บรรพบุรุษ อันมีพ่อแม่ปู่ย่าตายายเป็นปฐม เจ้ากรรมนายเวร สรรพสัตว์ทั้งหลายในสากลโลกนี้ รวมทั้งท่านผู้อ่านทุกท่าน ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
๒. เพื่อนๆครับ ไม่รู้เพื่อนๆจะเบื่อผ้าป่าสามัคคีฯในช่วงนี้กันหรือเปล่า เพราะที่โรงพยาบาลรามาฯมีคุณหมอเก่งและอุดมการณ์สูงท่านหนึ่ง ท่านพยายามจะช่วยคนไข้ที่ยากจน แต่ขาดแคลนเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์
อีกทั้งมีของที่ต้องใช้กับผู้ป่วยนาถาที่อาการหนัก เช่นมะเร็งฯ ทำให้ขาดแคลนทุนทรัพย์อยู่มาก โครงการนี้ไม่เกี่ยวกับโรงพยาบาลรามาพรีเมี่ยม ที่กำลังแปลงร่างเป็นโรงพยาบาลเอกชน
คุณหมอท่านนั้นคือ คุณหมอจักรพันธ์ เอื้อนรเศรษฐ์ ที่เก่งและกล้าหาญกับคนไข้มาก ( แม้จะมีความสามารถในการผ่าตัดเป็นแถวแรกของเมืองไทย แต่เท่าที่รู้ท่านไม่คิดจะไปอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนไหนๆเลย ) หากเพื่อนๆตอบรับกลับมามากกว่าสิบคน ตามหาแก่นธรรมก็จะจัดตั้งผ้่าป่าสามัคคีแก่นธรรม-คุณหมอจักรพันธ์ เอื้อนรเศรษฐ์ เพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น