ความฝันของลุงยุ้ย โดย ท.เลียงพิบูลย์
จากหนังสือกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๒
โลกมนุษย์ที่เราอยู่ทุกวันนี้ ย่อมมีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นได้เสมอ หากเรามีความสนใจได้พยายามติดตามค้นคว้า ก็จะเห็นได้ว่าเรื่องมหัศจรรย์ย่อมจะมีจริง แม้จะหาเหตุผลและหลักฐานที่จะพิสูจน์ไม่ได้ก็ดี แต่ก็มีผู้รู้เห็นที่จะเชื่อได้ว่า เหตุการณ์นั้นได้เกิดขึ้นจริง มิได้เดาหรือสร้างมโนภาพขึ้นเอง เรื่องที่จะเขียนนี้ผู้ส่งเรื่องให้ข้าพเจ้าเขียนนั้นเป็นทหารชั้นผู้ใหญ่ เมื่อได้พิจารณาแล้วก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่มีสาระเรื่องหนึ่ง ควรจะเผยแพร่ให้ผู้สนใจในเรื่อง “กฎแห่งกรรม” ได้รู้แปลกๆ ที่เกิดขึ้นภายใน
ชีวิตทั่วไปภายใต้ดวงอาทิตย์ ข้าพเจ้าจึงอยากสนับสนุนให้มีผู้รู้ในใจมากขึ้น ก็จะเป็นกุศลท่านเจ้าของเรื่องผู้ล่วงลับไปแล้ว ยังช่วยให้เรามีโอกาสที่จะศึกษาหาความรู้ใช้ความคิดและพยายามหาเหตุผล การเขียนขึ้นนี้ ก็เพื่อจะให้อนุชนรุ่นหลังค้นคว้าหาความจริงต่อไป คิดว่าคงจะได้ประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าเชื่ออะไรอย่างงมงายและอยากให้ท่านเชื่อตามไปด้วย หากท่านผู้ใดอ่านแล้วไม่เชื่อเพราะไม่มีเหตุผล ข้าพเจ้าก็พอใจและยินดีที่ท่านเป็นคนมีเหตุผล
โชคดีที่ข้าพเจ้าได้มีชีวิตอยู่ใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาให้สิทธิเสรีเป็นประชาธิปไตย มิได้บีบบังคับให้เชื่อถืออย่างงมงาย แต่พระธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนากลับสนับสนุนไม่ให้เชื่ออย่างหลงไหล ให้ใช้สติปัญญาพิจารณาหาเหตุผลให้แน่ใจเสียก่อนจึงค่อยเชื่อ เหตุนี้ก็เพราะพุทธศาสนาได้สอนหลักธรรมชาติเป็นสัจธรรม ทุกข้อทุกตอนที่สามารถจะพิสูจน์ได้ด้วยใช้สติปัญญาเพราะมีเหตุผล จะนำผู้ที่ปฏิบัติเกิดผลตามคำสอนของสมเด็จองค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ถ้าผู้มีปัญญาได้ใช้เหตุผลพิจารณา ถึงแก่นแท้ของหลักธรรมดูแล้วจะเห็นได้ว่าไม่มีข้อสงสัยใดๆ แฝงอยู่ จะมองเห็นทะลุปรุโปร่งใสสะอาด เหลือแต่เพียงมนุษย์ปุถุชนจะมีความอดทนศรัทธาพอที่จะปฏิบัติได้หรือไม่เท่านั้น ถ้าปฏิบัติได้เมื่อใดจะเห็นผลเกิดความสุขขึ้นนั้น
ศาสนาพุทธเป็นลักษณะสายกลางในชีวิตประจำวันของมนุษย์ ตามธรรมชาติของสังคมในโลกทั่วไป พระพุทธศาสนามีกรรมเป็นหลัก ทุกอย่างหนีไม่พ้นกฎแห่งกรรม ใครทำดีทำชั่ว ก็ได้แก่ตัวผู้นั้น ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ต้องปฏิบัติ ถ้าใช้เพียงอ้อนวอนอย่างเดียวขอให้บันดาลสิ่งนั้นสิ่งนี้โดยไม่ต้องปฏิบัติ แต่ขอให้สมดังใจปรารถนาเช่นนี้ ไม่มีในพระพุทธศาสนา เพราะหนักไปในทางพิธีกรรมหรือบวงสรวงอ้อนวอน พระพุทธศาสนามีจุดใหญ่มุ่งหมายจะสอนให้มนุษย์เราปฏิบัติตนให้หลุดพ้นจากความทุกข์ ไม่มีความมุ่งหมายจะให้มนุษย์หลงงมงาย ฉะนั้น พระพุทธศาสนาจึงมีผู้เชื่อถือยู่ ๓ แบบ
คือ ผู้เชื่ออย่างฝังชีวิตใจไม่เปลี่ยนแปลง ก็คือ ผู้ที่ไม่ยอมเชื่ออะไรง่าย แต่เชื่อด้วยใช้สติปัญญา ได้พิจารณาพิสูจน์เห็นความจริงแจ้งชัดเจนอย่างขาวสะอาด ไม่มีข้อสงสัยเหลืออยู่เลยแล้วจึงเชื่อภายหลัง เช่น ชาวต่างชาติที่เข้ามาศึกษาพุทธศาสนาในประเทศไทยเป็นต้น เพราะท่านเหล่านี้ล้วนแต่ชั้นปัญญาชนมีความรู้และมีการศึกษาสูง ชอบค้นคว้าหาความจริง
อีกแบบหนึ่ง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และก็ไม่ได้ใช้สติปัญญาพิจารณาพิสูจน์ติดตามให้สิ้นสุดถึงแก่น ปล่อยความรู้ไว้ครึ่งๆ กลางๆ อยู่ตลอดไปไม่มีอะไรจะดีขึ้น อาศัยแต่ชื่อว่าเป็นผู้มีศาสนาเท่านั้น คล้ายจะเห็นว่าศาสนาไม่เป็นเรื่องสำคัญ แบบนี้ทำผิดง่าย ทำบาปง่าย เพราะไม่มีหลักธรรมแน่นอนจะปฏิบัติ ใจรวนเรและสามารถจะเปลี่ยนศาสนาได้ง่ายเพื่อเงิน เพื่อรักหรือความพอใจ เป็นแบบที่เห็นแก่ตัวไม่กลัวกรรม แต่บางท่านเกิดประสบการณ์ในชีวิตทำให้มองเห็นกรรมจึงนึกถึงบุญบาปชั่วดี หรือมีผู้ชักนำไปในทางถูกก็สามารถปฏิบัติเข้าถึงหลักธรรมชั้นสูงได้ก็มีไม่น้อย
อีกแบบหนึ่ง ก็คือ เชื่ออย่างงมงายไม่พิสูจน์ ไม่สนใจในเหตุผล แบบนี้ออกจะมีมากไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ศาสนาใด มักนิยมชื่นชมหลงใหลในเรื่องการบวงสรวงบูชาอ้อนวอน และชอบปาฏิหาริย์ จิตใจไม่หนักแน่น มีอะไรก็ไม่ค่อยเชื่อตัวเอง ตัดสินใจไม่ถูก มักชอบไปพึ่งพวกหมอดูเชื่อในโชคชะตา ขาดความเข้มแข็งที่จะเป็นผู้นำในครอบครัว
แบบนี้แม้จะมีปริมาณมากมายก็ไม่เกิดประโยชน์ กลับถ่วงความเจริญเพราะจิตใจผู้งมงายนั้นย่อมไม่ทำให้สังคมดีขึ้น กลับทรุดโทรมอบรมสั่งสอนลูกก็ไม่ค่อยจะได้ผลเพราะความอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง หากมีพระอาจารย์ที่มีความรู้คุณธรรมสูง ชักนำไปสู่ทางถูกก็สามารถหลุดพ้นจากทางผิดงมงายเข้าสู่ทางถูก เข้าถึงหลักธรรมชั้นสูงได้ก็มีมาก สำหรับพุทธศาสนามีหลักปฏิบัติเพื่อให้อยู่ในขอบเขตศีลธรรม ยกระดับจิตใจของมนุษย์ให้สูงขึ้น เจริญทางจิตใจไม่เบียดเบียนผู้อื่น อยู่ในศีลธรรม แผ่เมตตา ที่สุดก็ปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้น
เรื่องชีวิตมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย ย่อมมีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นตามกรรมที่ได้สร้างไว้เป็นสมบัติก่อนจะดับจากโลกนี้มีตัวอย่างมากมายที่จะนำมาศึกษาหาความจริงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว ดังเรื่องจะเล่าต่อไปนี้
ลุงยุ้ยผู้มีอายุเป็นที่รู้จักของชาวบ้านและชาววัดในหมู่บ้านอำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี ธรรมดาชาวบ้านในชนบทตามตำบล เมื่อเอ่ยชื่อแล้วย่อมรู้จักคุ้นเคยกันเป็นส่วนมาก เพราะขอบเขตไม่กว้างใหญ่ไพศาลเหมือนในเมืองหลวง ฉะนั้น มีเรื่องอะไรก็เป็นที่รู้จักกันทั้งตำบล วัดเป็นที่ประชุมที่ดีของชาวบ้าน เป็นที่พบปะสังสรรค์กันในวันโกนวันพระ เมื่อมีอายุแล้วต่างก็หาโอกาสเข้าวัดรักษาศีลถืออุโบสถ เพื่อเป็นบุญกุศลบารมีในชาติหน้าต่อไป
ในหมู่บ้านที่ลุงยุ้ยแกอยู่ใกล้วัดอัมพวัน ตามปกติลุงยุ้ยแกใกล้ชิดท่านพระครูปลัดจรัญ ฐิตธมฺโม วัดอัมพวัน ลุงยุ้ยชอบพอกับท่านพระครูมานาน ก่อนเมื่อครั้งท่านยังจำพรรษาอยู่ที่วัดพรหมบุรี ภายหลังต่อมาท่านจึงได้มาจำพรรษาอยู่วัดอัมพวัน
เหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นเมื่อต้น พ.ศ. ๒๕๑๐ คืนหนึ่งลุงยุ้ยนอนหลับแล้วฝันว่า ได้ไปที่ศาลาวัดอัมพวัน ได้เห็นชาย ๔ คน สองคนเดินหน้า อีกสองคนเดินตามหลังห่างๆ ต่างมีรูปร่างล่ำสันใหญ่โต ผิวเนื้อดำแดง ตาโต หน้าตาน่ากลัว ไม่ใส่เสื้อโพกหัวด้วยผ้าแดง นุ่งแดง เดินขึ้นศาลาเข้ามาหาลุงยุ้ย ฉุดกระชากคุมตัวไว้ ลุงยุ้ยตกใจเพราะไม่รู้เรื่องอะไร จึงถามขึ้นปากคอสั่นยกมือไหว้ทั่วคนด้วยความกลัวว่า “นี่มันเรื่องอะไร จะเอาผมไปไหนกัน ผมมีความผิดอะไรจึงต้องมาคุมตัวอย่างนี้”
พวกคุมตัวพูดว่า “ถึงเวลาแล้ว นายเขาได้สั่งให้มาเอาตัวไปเดี๋ยวนี้ เพราะหมดเวลาที่จะอยู่ในเมืองมนุษย์ต่อไป อย่าให้ใช้กำลัง ไปเสียดีๆ”
ลุงยุ้ยตกใจมาก นึกว่าตัวเองจะต้องตายเพราะหมดอายุแน่แล้ว แต่ด้วยความรักความเป็นห่วงลูกเมีย ที่จะต้องจากไป ก็เสียใจเกือบจะหมดสติ ได้พยายามอ้อนวอนผู้คุม หรือยมทูตอย่างน่าสงสาร ขอให้ประวิงเวลาไว้ก่อนจะได้ไปสั่งลูกสั่งเมีย แต่ชายผู้เป็นยมทูตไม่ยอมฟังเสียงอ้อนวอน โอดครวญอันน่าสงสารของลุงยุ้ย จึงได้คุมตัวไปโดยมียมทูตเดินหน้าสองคนและเดินหลังสอง ลุงยุ้ยก็จำต้องไปด้วยความทุกข์ระทมและเสียใจจนสุดขีด
เมื่อไปถึงสถานที่แห่งหนึ่ง ก็นำตัวเข้าไปหาผู้มีตำแหน่งสูงในที่นั้น พร้อมกับรายงานว่า ได้นำวิญญาณของลุงยุ้ยมาแล้ว ลุงยุ้ยก็ได้พยายามพูดจาอ้อนวอนอย่างน่าสงสารกับหัวหน้ายมทูต นั้นว่า “ขอความกรุณาให้ผมได้มีโอกาสกลับไปพบกับลูกเมีย เพราะเขาไม่รู้เรื่อง ประเดี๋ยวเขาจะเป็นห่วง” หัวหน้าได้ฟังแล้วก็สั่งให้ตรวจบัญชีดูว่า ลุงยุ้ยได้เคยทำความดีอะไรไว้บ้าง ยมทูตผู้เปิดบัญชีดูแล้วก็รายงานว่า ลุงยุ้ยผู้นี้ยังมีจิตใจเป็นกุศล เข้าวัดอยู่ใกล้พระได้ทำบุญบริจาคทาน มีกรรมดีอยู่บ้าง
หัวหน้าได้พิจารณาแล้วบอกว่าเพื่อเห็นแก่กรรมดี จึงได้อนุญาตให้ยืดเวลามีชีวิตออกไปอีก ๓ เดือน เวลาของโลกมนุษย์ ลุงยุ้ยค่อยมีความสบายใจขึ้น คิดว่ายังมีโอกาสกลับไปหาลูกเมีย ทันใดนั้นก็ได้ยินยมทูตรายงานให้หัวหน้าฟังต่อไป
“ต่อไปนี้อีก ๔๐ วัน ถึงกำหนดของนายชั้น บ้านอยู่ตำบลหัวป่า หมู่ที่ ๒ อำเภอพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี จะหมดอายุ ถัดจากนั้นไปอีก ๓๐ วัน กำหนดหมดอายุของนายปลั่ง บ้านอยู่บางขาม อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี”
เมื่อลุงยุ้ยได้ฟังก็ได้จดจำไว้แม่นยำ ยมทูตยังเห็นลุงยุ้ยยืนฟังอยู่ก็บอกว่า เมื่อได้ต่ออายุเพิ่มอีก ๓ เดือนแล้ว ทำไมยังไม่กลับบ้าน จะอยู่ทำไมอีก ลุงยุ้ยได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ ความรู้สึกหมดไป จึงไม่ได้ทราบว่าใครคนไหนจะเป็นเหยื่อของยมทูตต่อไป เมื่อรู้สึกตัวได้กลับมาถึงบ้านด้วยการตื่นจากหลับ แล้วรู้สึกตกใจกลัวจนเหงื่อกาฬแตก รีบปลุกภรรยา เสียงเอะอะกลางดึกของลุงยุ้ยทำให้บุตรสาวและภรรยาตกใจตื่นขึ้น ต่างก็ถามถึงเรื่องราว ลุงยุ้ยก็เล่าความฝันที่ได้พบในยมโลกให้ทราบอย่างละเอียดลออ แต่พอภรรยาได้ฟังกลับหัวเราะแล้วพูดว่า
“นี่ปลุกฉันขึ้นมากลางดึกให้มาฟังเรื่องเหลวไหลอย่างนี้หรือ อย่าไปเอาเรื่องเหลวไหลมาคิดเป็นเรื่องจริงจังอะไรเลย เมืองผีเมืองสาง หรือวิญญาณไม่มีจริงหรอกน่า อย่าไปคิดให้เป็นบ้าไปเลย ท้องไม่ดีก็หายาธาตุกิน แล้วนอนหลับเสียเถิด”
ลุงยุ้ยได้ยินภรรยาพูดเช่นนั้นก็นึกในใจว่า ถ้าเราจะไปเล่าให้คนอื่นเขาฟังใครเขาจะไปเชื่อเรา แม้แต่ลูกเมียผู้อยู่ใกล้ชิดสนิทสนมก็ยังไม่เชื่อ แล้วหัวเราะเยาะเสียด้วยจะให้คนอื่นเขาเชื่อได้อย่างไร และทำให้ลุงยุ้ยไม่กล้าไปเล่าให้ใครฟัง เมื่อมาถูกลูกเมียหาว่าเป็นคนงมงาย เหมือนคนบ้าเพ้อเจ้อเอาเรื่องฝันเหลวไหลมาเป็นเรื่องจริงจัง กลับทำให้ตนเองชักจะสงสัยไม่แน่ใจว่าเรื่องที่ฝันนี้จะเป็นความจริง ซ้ำนึกตำหนิตัวเองที่กลัวไม่เข้าเรื่อง
เมื่ออยู่ต่อมาก็ได้สืบรู้ว่า นายชั้น บ้านที่อยู่หัวป่า หมู่ที่ ๒ อำเภอพรหมบุรี มีตัวจริง และได้ตายลงอย่างที่รู้มาตามกำหนดเวลาในความฝันแล้ว ก็ทำให้ลุงยุ้ยสะดุ้งตกใจกลัว เกิดไม่สบายใจตลอดเวลา คิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลเสียแล้ว ต่อมาก็สืบทราบว่าที่บ้านขาม อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี มีคนชื่อ ปลั่ง เป็นความจริง แต่แล้วลุงยุ้ยก็ต้องตกใจแทบหมดสติ ประสาทหวั่นไหวเพราะความกลัว เมื่อได้ทราบข่าวว่าคนชื่อปลั่งได้ตายลงตามกำหนดเลา
ลุงยุ้ยมีแต่ความกลัว นึกแน่ใจว่า คราวนี้ก็ถึงตัวเองก็คงจะสิ้นอายุแน่ หนีไม่พ้น เพราะวันคืนกำลังจะผ่านไป ถึงกำหนดเวลาที่ได้รับอนุญาต ให้มาอยู่ในเมืองมนุษย์จวนจะครบสามเดือน เป็นธรรมดาของมนุษย์ปุถุชน และสัตว์โลกทั้งหลายย่อมกลัวตาย ลุงยุ้ยก็เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ย่อมหนีไม่พ้นความกลัว ระยะหลังนี้ลุงยุ้ยรู้ตัวว่า ความตายใกล้เข้ามามากแล้ว จึงทำบุญสวดมนต์ภาวนาตลอดมา ยังไม่อยากตาย กลัวการจากของรัก กลัวความดับ
ฉะนั้น พอรู้ตัวว่าความฝันนั้นเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว ความหวาดกลัวทำให้กำลังใจหมดลง กำลังที่เข้มแข็งอ่อนเปียกลง การป่วยเจ็บเข้ามาแทน ลุงยุ้ยป่วยลงไม่นานก็มีอาการทรุดหนัก ทั้งบุตรสาวและภรรยาก็ต้องวิ่งเต้นหาหมอมารักษาพยาบาล แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น ข้าวปลาอาหารเบื่อกินไม่ลง เมื่อป่วยหนักแต่ยังได้สติดีเป็นพักๆ จึงสั่งให้ภรรยาไปนิมนต์ท่านพระครูปลัดจรัญ ที่วัดอัมพวันผู้ที่ลุงยุ้ยเคารพนับถือมาก่อน เพราะคิดว่าไหนๆ ก็จะจากโลกนี้ไปแล้ว เมื่อก่อนจะจากก็จะขอให้ฟังรสพระธรรมเป็นที่พึ่งอันสุดท้ายเพื่อทำจิตให้สงบ เพื่อกำจัดความหวาดกลัวก่อนตายจะได้สติ
เมื่อภรรยากลับมา บอกว่าท่านพระครูปลัดไม่อยู่ มีคนเขานิมนต์ไปและยังไม่มีเวลาเพราะท่านติดงานมาก ลุงยุ้ยก็เศร้า มีความกระวนกระวายใจ เวลาจะจากโลกนี้ไปก็ใกล้เข้ามา ต่อมาท่านพระครูปลัดจรัญ ฐิตธมฺโม ก็มาเยี่ยม ท่านพระครูเห็นลุงยุ้ยป่วยอาการมาก ก็ถามว่า
“โยมป่วยเป็นอะไร อาตมาได้ทราบว่าให้โยมผู้หญิงไปนิมนต์อาตมา บังเอิญ ๒ - ๓ วันนี้อาตมามีงานยุ่งมาก รับนิมนต์ก็หลายแห่ง เพิ่งจะได้มีเวลาปลีกตัวมาเยี่ยมโยมวันนี้แหละ”
ลุงยุ้ยนอนป่วยอยู่ เมื่อเห็นท่านพระครูมาเยี่ยมทักทายปราศรัยก็เกิดมีอาการแช่มชื่นขึ้น ยกมือขึ้นนมัสการท่านพระครูแล้วพูดว่า “ผมป่วยไม่กี่วันอาการทรุดลง หมอก็รักษาไม่ทุเลาขึ้น มีอาการหนักลงทุกวัน ผมรู้ตัวว่าไม่ช้าผมก็ต้องจากโลกนี้ไปแล้ว เมื่อได้พบท่านพระครู ผมรู้สึกเกิดกำลังใจขึ้นมา”
ท่านพระครูให้สติว่า “โยมจงทำใจให้สงบ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมาในโลกไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีใครหนีความตายพ้นได้ เกิดแล้วก็อยู่ได้ตามกำหนดอันสมควรตามกรรมที่สร้างไว้ ไม่ว่ากรรมดีหรือกรรมชั่ว เราก็ต้องรับไว้เป็นมรดกแล้วก็ดับไป เกิดๆ ดับๆ เช่นนี้ไม่สิ้นสุด ความตายนั้นไม่แน่นอนว่าเมื่อใด ที่ไหน อายุเท่าใด แล้วแต่กรรมจะลิขิต คนดีมีศีลธรรมย่อมจะตายตามอายุขัย บุญกุศลสนองสามารถจะต่ออายุให้ยืนยาวไปได้ คนใจชั่วสร้างกรรมทำบาป ย่อมจะตายก่อนกำหนดอายุขัย เพราะความชั่วทอนชีวิตของตัวเองให้สั้นลง
ฉะนั้น เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ ก็ควรจะสร้างความดีไว้เพื่อบารมีในภพหน้าต่อไป ถ้าถึงเวลาเจ็บป่วย รู้ตัวดับจากโลกนี้ไปก็ขอให้พิจารณาถึงสังขารด้วยสติปัญญา เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา ทุกคนก็ต้องพบเหมือนกันหมดจะเสียใจเสียดายชีวิตก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้าใช้ปัญญาก็จะเห็นได้ว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นจากใจของเราเอง ถ้าเรามีอำนาจใจสูงก็สามารถทำลายกิเลสโลภ รัก โกรธ หลง ได้ เราก็หมดทุกข์จะเป็นบารมีติดตามเราไปในโลกหน้า
โยมก็สร้างบุญกุศลประกอบแต่กรรมดี ขอให้ตั้งสติแผ่กุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรเพื่อขออโหสิกรรม กรวดน้ำไปให้ กรรมเก่าเราไม่รู้ว่าเราเคยสร้างอะไรไว้บ้าง ผลบุญที่เราสร้างไว้ในชาตินี้คงจะสนอง ขอให้โยมทำใจให้สงบนิ่ง ตัดความรู้สึกให้หมดสิ้น ไม่ว่าบุญหรือบาป ชั่วหรือดีไม่ต้องคิด หากเรามีบุญบารมีพอ จิตเราก็จะสดใสสะอาดบริสุทธิ์ เมื่อหมดความรู้สึกใดๆ จิตก็ว่างเปล่า เมื่อดับจากโลกนี้ไป อย่างน้อยก็หลุดพ้นจากอบายภูมิ มีนรก อสุรกาย เดรัจฉาน เป็นต้น”
ลุงยุ้ยเมื่อได้ฟังท่านพระครูให้สติ ก็เกิดความปีติเกิดกำลังใจมีความเข้มแข็งขึ้นมา พยุงกายลุกขึ้นได้ แล้วมานั่งกราบท่านพระครู พูดว่า “ผมคอยท่านมานานแล้วหลายเวลา เมื่อได้พบท่านวันนี้ผมมีความสบายใจขึ้นทางความรู้สึก ผมรู้แล้วคนเรากำลังอยู่ที่ใจ จะมีทุกข์หรือมีสุข จะกล้าหรือจะกลัวก็อยู่ที่ใจ ฉะนั้น ผมทำให้ใจเข้มแข็ง ไม่ย่อท้อ ไม่กลัวตาย ผมจะปฏิบัติตามคำของท่านพระครูเมื่อถึงเวลาก็พร้อมที่จะตาย ขอเวลาให้ผมได้กินข้าวกินปลาเสียก่อน ให้มีกำลังเพิ่มขึ้น เพราะกินไม่ลงมาหลายวันแล้ว”
ท่านพระครูเห็นหน้าตาของลุงยุ้ยผ่องใสขึ้นก็ดีใจ พูดขึ้นว่า “ตามสบายเถิดโยม อาตมาคอยได้”
ลุงยุ้ยสั่งลูกและภรรยาหาข้าวมา แล้วก็ลงมือกินอย่างอร่อยคล้ายคนจะหายป่วยหายไข้ ลูกเมียก็พากันดีใจ คิดว่าคราวนี้ลุงยุ้ยคงหายป่วยแน่ เมื่อกินอาหารเสร็จแล้วก็พูดกับท่านพระครูเหมือนคนปกติว่า
“ก่อนที่ผมจะจากโลกนี้ไป ผมมีเรื่องจะฝากท่านพระครูไว้เรื่องหนึ่ง จะฝากคนอื่นหรือลูกเมียก็ไม่ได้ผล เห็นแต่ท่านพระครูองค์เดียวที่ผมนับถือพอที่จะเป็นที่พึ่งจะฝากเรื่องนี้ได้ เพื่อจะเกิดประโยชน์เป็นบุญกุศลแก่ผู้อื่นต่อไป ฉะนั้น ผมจึงคอยท่านพระครูอยู่ด้วยใจกังวล วันนี้ผมได้พบท่านพระครูแล้วผมดีใจมาก เพราะผมจะได้หมดภาระ หมดห่วงตามที่ตั้งใจไว้”
ท่านพระครูยิ้ม พูดให้กำลังใจว่า “อาตมายินดี ถ้าอาตมาช่วยได้แล้วไม่ขัดข้อง โปรดเล่าต่อไปเถิดโยม อาตมาคอยฟังและจดจำบันทึกไว้”
จากนั้นลุงยุ้ยก็เล่าเรื่องที่เกิดจากความฝันให้ฟัง เช่นเดียวกับเล่าให้ภรรยาและบุตรสาวฟังมาแล้ว และต่อท้ายว่า “ผมได้เฝ้าสืบสวนนายชั้นกับนายปลั่งดูก็ทราบว่ามีตัวจริง และได้ตายไปตามกำหนดเวลาในบัญชีของพวกยมทูตแล้ว ผมก็ไม่มีข้อสงสัยอะไรที่เวลานั้นจะไม่มาถึงผมเช่นเดียวกัน ถ้าผมจากโลกนี้ไปแล้ว ขอให้ท่านพระครูจงนำเรื่องของผมเล่าให้ประชาชนฟังด้วย เพื่อจะเกิดประโยชน์ส่วนรวมต่อไป”
ท่านพระครูปลัดจรัญ ได้นิ่งฟังด้วยความสนใจและสงสารลุงยุ้ย เมื่อลุงยุ้ยเล่าจบ ท่านพระครูจึงพูดอย่างไตร่ตรองข้อความที่ลุงยุ้ยเล่าให้ฟังแล้วก็พูดขึ้นช้าๆ และหนักแน่นว่า
“อาตมาขอขอบใจที่โยมได้เล่าเรื่องมหัศจรรย์ให้อาตมาฟัง และเจาะจงคอยจะเล่าเรื่องนี้ให้อาตมาทราบ เพื่อเผยแพร่บอกให้ผู้อื่นที่ยังไม่รู้ให้รู้เรื่องนี้ต่อๆ กันไป อาตมาเชื่อแน่ว่า เรื่องที่โยมเล่ามานี้เป็นความจริง ดีใจที่โยมกลับมีจิตใจเข้มแข็ง เกิดพิจารณาตามหลักธรรม อาตมาขอรับรองกับโยมว่าจะพยายามนำเรื่องนี้บอกๆ กันไปเป็นธรรมทาน เพื่อโยมจะเกิดเป็นกุศลเกิดบารมี เพื่อช่วยโยมให้เกิดความสุขที่ได้นำเรื่องนี้มาถวายเล่าให้อาตมาฟัง อาตมาก็คิดว่าเรื่องนี้คงจะเกิดประโยชน์แก่ญาติโยมทั้งหลายในเรื่องกรรม”
ต่อจากนั้น ท่านพระครูก็ให้ลุงยุ้ยรับศีล ๕ และแสดงธรรมให้ฟังพอสมควร แล้วท่านจึงได้ลากลับวัด หลังจากท่านพระครูออกจากบ้าน อาการป่วยของลุงยุ้ยก็กลับหนักลง นอนหมดสติลงทันที
แต่แล้วในตอนวันรุ่งขึ้น ข่าวสลดใจที่ท่านพระครูได้ทราบก็คือ ลุงยุ้ยได้สิ้นจากโลกนี้ไปด้วยความสงบเมื่อตอนดึกในคืนวันนั้นเอง เพราะวันนั้นเป็นวันกำหนดพอดีสามเดือนนับจากคืนที่ลุงยุ้ยได้ฝัน ท่านพระครูจึงได้นำเรื่องนี้มาเผยแพร่เพื่อให้ตรงตามประสงค์ของลุงยุ้ย ผู้ได้จากโลกนี้ไปแล้วตรงกับความฝันประหลาด
ข้าพเจ้าผู้เรียบเรียงเรื่องนี้จากหนังสือบันทึกของพันเอกวสันต์ พานิช เมื่อเขียนเสร็จแล้วข้าพเจ้าก็ทำจิตใจให้สงบแล้วก็แผ่ส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณของลุงยุ้ย หากท่านผู้ใดอ่านแล้วทำจิตให้สงบ แล้วช่วยกันระลึกถึงบุญกุศลที่เราสร้างไว้ ไม่ว่าจะเป็นอดีตชาติ หรือในปัจจุบันนี้ก็ดี แล้วช่วยกันแผ่กุศล และเมตตาธรรมให้แก่วิญญาณของลุงยุ้ย คิดว่าคงจะเป็นกุศลยิ่งใหญ่ที่สามารถช่วยให้วิญญาณของลุงยุ้ยเข้าสู่สุคติได้ และเราก็คงจะประสบความดีและความฝันดี เป็นสิริมงคลแก่ตัวเราเองตลอดไป เพราะจะพ้นจากฝันร้าย
หากท่านจะมีปัญหาเรื่องเช่นนี้ แม้รู้ตัวว่าจะมีอายุอยู่ในโลกมนุษย์ต่อไปได้ไม่นาน ท่านจะทำอย่างไรหากเรื่องนี้ยังไม่สามารถจะแก้ปัญหาทางใจได้ ก็ขอให้ท่านกลับไปอ่าน อำนาจจิต ในเรื่องที่ ๔๔ ในชุด “กฎแห่งกรรม” หรือ ใครจะอยู่ค้ำฟ้า ในเรื่องที่ ๕๔ บางทีอาจเกิดประโยชน์ได้บ้าง
บัดนี้ข้าพเจ้าได้รับอนุญาตจากพระครูภาวนาวิสุทธิ์ (พระครูปลัดจรัญ) และครอบครัวของลุงยุ้ย ด้วยความกรุณาของพันเอกวสันต์ พานิช ผู้บันทึก และได้กรุณาติดต่อตามที่ข้าพเจ้าผู้เขียนขอร้อง เพื่อขออนุญาตใช้นามจริงของท่านผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้
ข้าพเจ้าขอกราบนมัสการขอบพระคุณ ที่ท่านพระครูภาวนาวิสุทธิ์ (พระครูปลัดจรัญ) ได้กรุณาอนุญาตให้ใช้นามจริงได้ ขอขอบคุณครอบครัวของลุงยุ้ย และขอขอบคุณพันเอกวสันต์ พานิช ผู้บันทึก ได้กรุณาติดต่อในเรื่องนี้จนเกิดประโยชน์ต่อไป
ผู้ปฏิบัติศีลสมาธิวิปัสสนา
มีอภิญญารู้กรรมที่ทำไว้
ดังเช่นลุงยุ้ยผู้นี้หลับฝันไป
เห็นนรกร้อนเป็นไฟในโลกันตร์
เขาทราบวันตายของตนและเพื่อนบ้าน
รีบให้ทานทำบุญทุนจัดสรร
สร้างกรรมดีไว้เป็นทางสว่างพลัน
ยามชีพนั้นดับไปใกล้นิพพาน
ท.เลียงพิบูลย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น