++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554

ธรรมบทนิทาน ๔: เรื่องความเกิดขึ้นของนางกาลียักษิณี, ดับเวรด้วยเมตตาหาใช่จองเวร

น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ
อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโนฯ


ในกาลไหนทั่วพื้นผืนพิภพ หวังจะลบจบเวรด้วยเข่นฆ่า
เวรระงับดับได้กระไรนา ต้องเข่นฆ่ากรรมก่อกันต่อไป
ในกาลไหนทั่วพื้นผืนพิภพ จะสงบลบถอยเวรน้อยใหญ่
ก็ต้องด้วยเมตตาและอภัย ธรรมนี้ไซร้ของเก่าเล่ากันมาฯ

พระศาสดาเมื่อทรงประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภเรื่องหญิงหมันคนใดคนหนึ่ง จึงทรงตรัสพระคาถานี้

ได้ยินว่าในเมืองสาวัตถี มีตระกูลของกุฏุมพี(คนมีขุมทรัพย์:เศรษฐี)อยู่ตระกูลหนึ่ง ฝ่ายบิดานั้นได้ทำกาละกิริยา(ตาย)ไปเสียก่อน ทิ้งไว้แต่เพียงลูกชายและภริยาและทรัพย์สินมหาศาลไว้เบื้องหลัง ชายหนุ่มเลี้ยงดูมารดาที่เหลืออยู่คนเดียวหลังจากบิดาตายอย่างดี และยังดูแลกิจการทั้งในไร่นาสวนอย่างบริบูรณ์ มารดาเห็นเขาลำบาก จึงบอกว่า

ลูกเอ๋ย บัดนี้เจ้าก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว สมควรมีภริยากับเขาได้แล้ว

แม่ ท่านพูดอะไรกัน ตัวฉันนี้จะดูแลแม่จนกว่าชีวิตจะหาไม่

แม่ก็ยังพูดบ่อยๆ จนเขาเฉยเสีย วันหนึ่งแม่ของเขาตระเตรียมตัวเพือออกเดินทางไปสู่ขอกุมาริกาให้เขาหลังจากพูดมาหลาย
ครั้ง เขาถามว่า

ท่านจะไปขอลูกสาวของตระกูลไหนอย่างนั้นหรือ ท่านแม่

ตระกูลชื่อโน้นจ๊ะลูก

เขาห้ามแล้วบอกชื่อตระกูลที่เขาชอบ มารดาได้ไปสู่ขอสตรีของตระกูลนั้นมาเป็นภริยาของเขา

แต่ข่าวร้ายสำหรับคนแต่งงานก็คือ

สตรีนางนั้นดันเป็นหมัน ไม่สามารถมีลูกได้

ชะตาฟ้าดินช่างกลั่นแกล้ง

วันหนึ่งมารดานั่งปรึกษากับลูกชายในห้องลับๆว่า

ลูกแม่ เจ้าให้แม่ไปขอสตรีที่เจ้าถูกใจมาเป็นภริยา บัดนี้นางก็เป็นหมันเสีย ขึ้นชื่อว่าสกุลที่ไม่มีทายาทนั้นไม่นานจะย่อยยับ ถ้าอย่างไรแม่จะไปหาสตรีคนใหม่มาให้เจ้า

พูดอะไรกันท่านแม่ ลูกไม่เห็นด้วย

มารดาพูดย้ำอยู่อย่างนั้น แต่หารู้ไม่ว่าหญิงหมันนั้นแอบฟังอยู่ หญิงหมันคิดว่า

ธรรมดาว่าลูกฝ่าฝืนคำของมารดาไม่ได้ แม่ผัวจะนำผู้หญิงอื่นที่มีลูกได้มา อีกหน่อยเราก็ต้องกลายเป็นทาสีไม่ต่างจากหมาหัวเน่า ถ้ากระไรเราพานางกุมาริกามาเองจะดีกว่า

จึงรีบบึ่งไปหาตระกูลที่รู้จักกันตระกูลหนึ่ง สู่ขอกุมาริกาของตระกูลนั้นกับพ่อแม่ของนาง

เจ้าพูดบ้าอะไรกันเนี่ย ใครจะไปยอมยกลูกสาวให้ไปเป็นเมียน้อยของผัวเจ้า

พ่อแม่หญิงสาวตวาด แต่หญิงหมันมีชั้นเชิง กล่าวว่า

ฉันเป็นหญิงหมัน ไม่สามารถมีลูกได้ ถ้าลูกสาวพวกท่านมีลูกกับสามีฉัน อีกไม่นานทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลเราจะต้องตกเป็นของพวกท่านอย่างแน่นอน

พ่อแม่หญิงสาวได้ยินคำว่า ทรัพย์สมบัติก็หูผึ่ง จึงตกลงยกลูกสาวให้ สตรีนางนั้นก็ใช้ชีวิตร่วมกันแบบสามคนผัวเมีย แต่ใจของสตรีนั้นเล่าใครจะไปรู้ว่าใจเธอนั้นปรวนแปรไม่แน่นอนได้ทุกขณะ ตอนนั้นเข้าตาจนนางจึงคิดแบบนั้น แต่พอกลับเป็นปกติหญิงหมันก็เริ่มคิดใหม่ คงไม่มีหัวใจหญิงใดจะยอมแบ่งสามีให้หญิงอื่น นางหญิงหมันคิดว่า

ต่อไปภายหน้าถ้าลูกนางเมียน้อยเกิดมา ก็จะได้ทรัพย์สมบัติทั้งหมด ไม่ได้ เรายอมไม่ได้

ด้วยความวิตกกังวลปนวิตกจริต ผสานด้วยเพลิงหึงไฟแค้น นางหญิงหมันจึงไปหายาแท้งมา บอกกับนางกุมาริกาว่า

ถ้าเธอมีครรภ์เมื่อใดจงบอกฉัน

จ๊ะ นางรับปากโดยหารู้ไม่ว่าอสรพิษกำลังหาโอกาสฉกนางอยู่

ปกติแล้วหญิงหมันจัดข้าวปลาอาหารให้นางกุมาริกา พอตั้งครรภ์แล้วนางจึงบอก หญิงหมันแอบหยอดยาให้ทาน ครรภ์แรกก็หลุดไปอย่างน่าเสียดาย แต่ทุกคนคิดว่าท้องแรกของผู้หญิงนั้นแท้งได้ จึงเริ่มกันใหม่ ครั้งที่สองก็เหมือนเดิม

ความรู้สึกตะหงิดๆในใจก่อตัวในหัวใจใครหลายๆคน

เป็นไปไม่ได้ที่จะแท้งถึงสองหน

ครั้งที่สาม

เพื่อนของนางกุมาริกาแวะมาเยี่ยมที่บ้าน หลังจากทักทายกันแล้ว เพื่อนสนิทถามว่า

นางเมียหลวงนั้นมันทำร้ายแกบ้างรึเปล่า

นางเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟังอย่างละเอียด

ปัดโธ่ อีโง่เอ๊ย แกไม่รู้รึไงว่าอีเมียหลวงมันกลัวแกมีลูกแล้วอีกหน่อยมันจะเป็นหมาหัวเน่า มันเลยฆ่าลูกแกไปสองหนแล้ว อย่าบอกมันอีกนะ

เมื่อตั้งครรภ์ครั้งที่สามนางจึงไม่ได้บอกจนกระทั่งสามเดือนท้องเริ่มโต นางหญิงหมันเห็นเข้าก็ถามว่า

ทำไมเธอไม่บอกฉันว่าเธอท้อง

แกนำฉันมาในเรือนนี้ แล้วยังฆ่าลูกฉันตายไปสองคน ยังไม่สาแก่ใจอีกเหรอ เรื่องอะไรฉันจะต้องบอกแก

หญิงหมันสะดุ้งแต่ก็กลบเกลื่อน นางกุมาริกาเองก็ไม่อยากเอาความเพราะถึงอย่างไรลูกก็ตายไปแล้ว แต่นางหญิงหมันเป็นวัวสันหลังหวะ กลัวความผิดจึงคิดหาทางกำจัดเด็กในครรภ์ให้ได้ และก็ได้โอกาสเมื่อท้องโตแล้ว

แต่เด็กในท้องโตเกินไปจึงขับออกไม่ได้

เด็กเน่าตายในท้อง

นางกุมาริกานอนพะงาบๆอยู่บนเตียง ใกล้สิ้นลม ในใจนึกถึงความแค้นทั้งหมด ตั้งจิตว่า

แกพาฉันมาที่นี่ ฆ่าลูกฉันไปสาม ตอนนี้ก็จะฆ่าฉันอีก ชาติหน้าฉันใดขอให้ฉันเป็นยักษ์ ฉันจะได้กินแกกับลูกสามครั้งบ้าง

คิดได้เพียงเท่านี้โลหิตเป็นพิษตีกลับขึ้นสมอง หัวใจหยุดเต้น ฝ่ายสามีรู้สึกสงสัย แล้วได้ฟังความจริงทั้งหมดจากปากเมียรักก่อนตาย ความรักที่เคยมีต่อหญิงหมันมลายหายกลายเป็นความแค้น

ผัวะๆๆๆๆๆๆ

พี่ฟังฉันก่อน

ไปอธิบายกับเมียน้อยในนรกเถอะ

หมัดเท้าเข่าศอกสหบาทาสามัคคีใส่หญิงหมันจนกระอักเลือด ตายคาที่ด้วยโทสะ จิตหลุดลอยออกจากร่างไปเกิดในท้องแม่ไก่ ส่วนนางกุมาริกาไปเกิดในท้องนางแมว ปฏิบัติการทวงแค้นระห่ำล่าข้ามชาติ ระหว่างเมียหลวงและเมียน้อยกำลังจะเริ่มต้น
...............................................................................

จองกรรม...จองเวร

ในชาติใหม่นี้ เมียน้อยได้มาเกิดเป็นแมว ส่วนเมียหลวงนั้นได้มาเกิดเป็นแม่ไก่ ทั้งสองเติบโตขึ้น

และเวรกรรมที่อธิษฐานไว้ก็เริ่มปฏิบัติการ

แม่แมวแอบมากินไข่ในขณะที่แม่ไก่ออกไปหากิน

แม่ไก่เป็นเดือดเป็นแค้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จึงเฝ้าระวังไม่ให้เกิดครั้งที่สอง

แต่เมื่อเผลอออกไปหาข้าวเปลือกกิน แม่แมวก็ดอดมากินไข่อีกจนได้

แม่ไก่หัวใจแทบสลายเมื่อไข่ที่เฝ้าฟักนั้นโดนแมวกินเหลือแต่เปลือก

ครั้งที่สามตัดสินใจเป็นไงเป็นกัน จึงนั่งเฝ้ากกไข่อยู่อย่างนั้น

แม่แมวที่หิวโหยเพราะไม่ค่อยมีอะไรจะกิน ประกอบกับเพลิงแค้นแต่อดีตชาติ เมื่อแม่ไก่ไม่ออกไปหากินสักที หิวจนตาลาย จึงกระโจนเข้าไปที่เล้าไก่ กัดคอแม่ไก่กร้วม แม่ไก่ก่อนจะตายอธิษฐานว่า

ชาตินี้มันกินเราพร้อมกับลูกสามหน เกิดมาชาติหน้าเราขอกินมันพร้อมกับลูกสามหนเหมือนกัน

จากนั้นแม่ไก่กับไข่ก็กลายเป็นอาหารแมว เหลือแต่ขนและเศษเปลือกไข่ในเล้าเท่านั้น

เมื่อแม่แมวตายลง ก็ไปเกิดเป็นเนื้อทราย ส่วนแม่ไก่ไปเกิดเป็นแม่เสือโคร่งรอท่าอยู่ก่อนแล้ว

เมื่อแม่เนื้อทรายตกลูก แม่เสือโคร่งได้กลิ่นเลือดก็มาตะปปกินลูกเนื้อทราย ส่วนแม่เนื้อทรายกระโดดหนีไปทัน รอดตายหวุดหวิด จากนั้นแม่เสือโคร่งก็คอยตามรอยแม่เนื้อทราย เมื่อตกลูกครั้งที่สอง แม่เสือโคร่งก็มาตะปปกินลูกอีก

ครั้งที่สาม แม่เนื้อทรายไม่ทันระวังตัว แม่เสือโคร่งกระโดดมากัดที่คองับแน่น ก่อนจะตาย แม่เนื้อทรายอธิษฐานว่า

เกิดมาชาติหน้าฉันใด ขอให้เราได้กินมันกับลูกมันสามครั้งด้วยเถิด

แล้วก็กลายเป็นดินเนอร์ของแม่เสือโคร่งทั้งตัวและลูก หลังจากแม่เนื้อทรายตายไปแล้วก็ไปจุติในครรภ์ของนางยักษิณีในป่าหิมพานต์ บริวารของท้าวเวสสุวรรณ ส่วนแม่เสือโคร่งนั้นกลับมาบังเกิดเป็นกุลธิดาในเมืองสาวัตถี ในยุคพุทธกาลพอดี

เมียหลวงหญิงหมันและเมียน้อยบัดนี้ผ่านการเวียนว่ายตายเกิดมาสามชาติ จองเวรกันด้วยการกินตัวเองและลูกมาแล้วคนละครั้ง แต่เพลิงแค้นในใจแม้ผ่านกาลเวลาก็หาได้ดับลงไปไม่ มีแต่เพิ่มเพลิงแค้นยิ่งกว่าเดิม เมื่อใดเวรกรรมของพวกนางจึงจะสิ้นสุด
....................................................................

จองเวรชาติสุดท้าย

นางกุลธิดาหรืออดีตหญิงหมันในสามชาติก่อนหน้านั้น หลังจากมาเกิดเป็นคน เติบโตขึ้นมาแล้วเป็นหญิงงาม ได้ออกเรือนเมื่อมีอายุราวๆสิบหกปี ต่อมาได้ตั้งครรภ์ขึ้น ด้วยอำนาจผูกเวรและแรงแค้นข้ามภพข้ามชาติ นางยักษิณที่บัดนี้ก็ได้เติบโตขึ้นมาเช่นกัน ได้มาจากป่าหิมพานต์ จำแลงร่างเป็นเพื่อนสนิทของนางกุลธิดา ทำทีเป็นถามหานางกุลธิดา

เธอเพิ่งคลอดลูก นอนพักอยู่ในห้องโน่นแน่ะ

คนในบ้านบอก นางยักษิณีบอกว่า

เพื่อนฉันคลอดแล้ว เธอคงต้องการคนไปเยี่ยม ฉันจะดูหน่อยว่าเพื่อนฉันคลอดเป็นหญิงหรือชาย

เสร็จแล้วก็เดินเข้าไปในห้อง เมื่อแม่เด็กเห็นอยู่นั่นเองก็จัดการจับทารกชูขึ้น ยัดใส่ปากเคี้ยวกร้วมๆๆเหมือนเคี้ยวขนม ขณะที่นางกุลธิดากำลังช็อคอยู่ก็หายวูบไป ทิ้งไว้เพียงเสียงคร่ำครวญของนางกุลธิดาที่เสียลูกที่เพิ่งคลอดไป

ครั้งที่สอง

เมื่อนางกุลธิดาคลอดลูก คนในบ้านระแวดระวังกันมาก เฝ้ายามตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบไม่ให้คลาดสายตา แต่มนุษย์ปกติไม่อาจต้านทานอำนาจยักษิณีได้ นางยักษิณีจึงแอบดอดมาในกลางดึก แปลงเพศเป็นคนเฝ้ายาม คว้าลูกของนางกุลธิดาหายวับไป

หัวใจพ่อแม่แตกสลายไปสองครั้ง ไม่มีความเจ็บปวดใดๆของพ่อแม่จะเจ็บมากไปกว่าการสูญเสียลูกอีกแล้ว แม้จะป้องกันอย่างไรก็ไม่อาจต้านทานนางยักษิณีได้ ได้แต่อยู่อย่างหวาดกลัว

โดยไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดนางยักษิณีถึงได้จองเวรนางกุลธิดากับลูกถึงเพียงนี้

ไม่มีใครรู้ว่านางยักษิณีที่จริงแล้วก็คืออดีตเมียน้อยที่โดนนางเมียหลวงหญิงหมันวาง
ยาฆ่าตายในสามชาติที่แล้ว

และบัดนี้นางกลับมาแล้ว มาเพื่อล้างแค้นให้หมดสิ้น

ครั้งที่สาม

เมื่อนางกุลธิดาตั้งครรภ์อีกครั้ง นางบอกกับสามีว่า

พี่ เราอยู่ที่นี่ไม่ดีแน่ๆ เราป้องกันอย่างไรก็ไม่อาจจะป้องกันนางยักษิณีตนนี้ได้ เห็นทีคงต้องหลบไปคลอดลูกที่บ้านพ่อแม่ของฉัน

สามีตกลง สองสามีภรรยากลับไปอยู่บ้านเดิมของนางกุลธิดาเพื่อรอคลอดลูก

แต่พวกเขาไม่รู้ว่า ด้วยอำนาจแรงกรรม ต่อให้หนีไปสุดขอบจักรวาฬ หนีไปบนฟ้า หรือหนีไปอยู่ใต้สมุทร นางยักษิณีก็จะตามไปกินนางและลูกในครั้งนี้อยู่ดี

โชคดีเข้าข้างนางกุลธิดากับสามีอยู่บ้าง

เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่นางยักษิณีได้รับเวรตักน้ำไปถวายท้าวเวสสุวรรณ จ้าวแห่งยักษ์และมวลภูติผีปีศาจ ประจำทิศตะวันตก โดยยักษิณีแต่ละตนจะได้รับเวรตักน้ำคนละสามสี่เดือนหรือมากกว่านั้น ยักษิณีบางตัวทนบอบช้ำไม่ไหว ตายไปเลยก็มี

แต่ไม่ใช่กับนางกาลียักษิณีตนนี้

ด้วยแรงแค้นเผาผลาญ นางตักน้ำไปนึกถึงความแค้นไปทุกวี่ทุกวันทุกชั่วโมงทุกนาที คอยนับถอยหลังเพื่อจะเตรียมไปกินนางกุลธิดากับลูกทุกลมหายใจ

และแล้วเวลาแห่งการรอคอยก็มาถึง

นางยักษิณีพ้นเวรแล้ว และบัดนี้นางกำลังมุ่งหน้ามาจากป่าหิมพานต์อย่างรวดเร็ว

ฝ่ายนางกุลธิดา ได้คลอดลูกเป็นที่เรียบร้อย หลังจากฟักฟื้นแล้วจึงเดินทางกลับ นางยักษิณีไม่รู้ว่านางกุลธิดาหนีไปบ้านเดิม จึงจำแลงเพศเป็นคนรู้จัก เข้าไปถามคนในเรือนว่า

นางกุลธิดาไปไหนเสียล่ะ

แม่เอ๊ย เจ้าไม่รู้รึไงว่า มีนางยักษิณีมากินลูกของนางกุลธิดาสองครั้งแล้ว นางเลยหลบไปคลอดลูกที่บ้านเดิม

อย่างนั้นรึ

นางยักษิณีคำรามในใจว่า ต่อให้แกหนีไปสุดขอบจักรวาฬ ฉันก็จะตามไปกินแกให้ได้

แล้วก็วิ่งตรงดิ่งไปหานางกุลธิดาทันที

หน้าวัดเชตวัน

นางกุลธิดาให้สามีอุ้มลูกไว้ ส่วนตัวเองลงไปสระสนานตัวที่สระโบกขรณีหน้าวัด อันดาดาษไปด้วยดอกบัว ส่งกลิ่นหอมจรุงใจ หลังจากอาบน้ำแล้วก็อุ้มลูกไว้ให้สามีลงไปอาบบ้าง

ตึงๆๆๆๆๆ

เสียงดังสั่นสะเทือนมาแต่ไกล นางกุลธิดาหันไปมอง ที่ไกลลิบๆมีเพื่อนของนางวิ่งมา แต่นางรู้ว่าเพื่อนคนนี้ไม่ใช่เพื่อนเพราะมีตาแดง ไม่กระพริบตาแถมไม่มีเหงื่อสักหยดขนาดวิ่งมาไกลๆ และที่สำคัญไม่มีเงาบนพื้น

พี่ นางยักษิณีแปลงกายตามมากินลูกเราแล้ว

สามีรีบกลับขึ้นฝั่ง แต่นางกุลธิดาเห็นว่าไม่ทันแน่ๆ ทั้งสองนางจึงวิ่งไล่กวดกัน นางกุลธิดากรีดร้อง รีบอุ้มลูกวิ่งเข้าในเชตวันมหาวิหาร ขณะที่พระพุทธเจ้ากำลังทรงแสดงธรรมอยู่ วางลูกไว้แทบบาทพระศาสดา ร้องไห้สะอึกสะอื้น กราบทูลว่า

ข้าแต่พระพุทธเจ้า ลูกของหม่อมฉันคนนี้หม่อมฉันถวายแก่พระองค์ ขอพระองค์โปรดช่วยลูกหม่อมฉันด้วย

ฝ่ายนางยักษิณก็วิ่งไล่ตามแต่เข้าวัดเชตวันไม่ได้ เนื่องจากว่าวัดเชตวันมีแต่เทวดาสิงสถิตอยู่เต็มไปหมด รวมทั้งเทพเทวะ มหาพรหม มาร และพญายักษ์ พญาอสูร ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าเหาะมาฟังธรรมเต็มไปหมด นางจึงไม่อาจจะเข้าไปได้ นอกจากนี้สุมนเทพบุตรได้ยืนถือพระขรรค์กันอยู่ที่ซุ้มประตู นางจึงได้แต่ยืนถลึงตามองอยู่ที่หน้าประตูนั่นเอง
.....................................................................

สะสางความแค้น

พระพุทธศาสดาให้พระอานนท์เรียกนางยักษิณที่ยืนอยู่หน้าประตูวิหารให้เข้ามาภายใน นางกุลธิดาทูลว่า

ข้าแต่พระผู้มีพระภาค นางยักษิณีกำลังมา

นางยักษิณีจงมาเถิด เธออย่าได้ร้องไปเลย

พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับสตรีทั้งสอง ที่บัดนี้นั่งอยู่เฉพาะพระพักตร์ จองเวรจองกรรมกันมาอย่างโหดเหี้ยมอำมหิต ว่า

เหตุใดพวกเธอจึงได้ทำแบบนั้น หากว่าพวกเธอไม่ได้มาสู่พระพักตร์ของพระพุทธเจ้าผู้เหมือนกับเราแล้ว เวรกรรมของพวกเธอจะต้องดำรงอยู่ตลอดกัปป์ ผลัดกันกินตัวเองและลูกคนละสามครั้ง เหมือนเวรของงูเห่ากับพังพอน เหมือนเวรของกากับนกเค้า เหมือนเวรของหมีและไม้ตะคร้อ เวรนั้นระงับด้วยการไม่จองเวร ไม่ใช่ระงับด้วยการสร้างเวรตอบแก่กันและกัน และทรงภาษิตพระคาถานี้ว่า

น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ
อเวเรน จ สมฺมนฺติ เอส ธมฺโม สนนฺตโนฯ


ในกาลไหนทั่วพื้นผืนพิภพ หวังจะลบจบเวรด้วยเข่นฆ่า
เวรระงับดับได้กระไรนา ต้องเข่นฆ่ากรรมก่อกันต่อไป
ในกาลไหนทั่วพื้นผืนพิภพ จะสงบลบถอยเวรน้อยใหญ่
ก็ต้องด้วยเมตตาและอภัย ธรรมนี้ไซร้ของเก่าเล่ากันมาฯ

ในเวลาจบเทศนา นางยักษิณีได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว เทศนาได้มีประโยชน์แก่ชนเป็นอันมากอื่นๆด้วย

พระศาสดาตรัสว่า

เธอจงให้ทารกแก่นางยักษิณีเถิด

กุลธิดาทูลว่า

ข้าแต่พระผู้มีพระภาค หม่อมฉันย่อมกลัว

เธออย่ากลัวไปเลย นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป นางยักษิณีจะไม่ทำร้ายใครอีก จงส่งทารกให้นางยักษิณีไปเถิด

นางกุลธิดาส่งทารกให้นางกาลียักษิณ นางกาลียักษิณีรับทารกมาแล้วกอดจูบแล้วส่งคืนให้มารดา นั่งร้องไห้อยู่ที่นั้น

อะไรนี่ พระศาสดาทรงตรัสถาม

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อก่อนหม่อมฉันสำเร็จชีวิตโดยไม่เลือกทาง ยังไม่อาจหาอาหารให้อิ่มท้องได้ บัดนี้หม่อมฉันจะสำเร็จชีวิตได้อย่างไร

พระศาสดาตรัสเรียกนางกุลธิดามา ตรัสว่า

เธอจงนำนางยักษิณีนี้ไปที่เรือน จงเลี้ยงดูด้วยข้าวต้มและข้าวสวยอย่างดี

นางกุลธิดานำนางยักษิณีไปไว้ที่โรงตำข้าว ปรนนิบัติด้วยข้าวต้มและข้าวสวยแล้ว
...................................................
กำเนิดความแค้นของกากับนกเค้า

มีเรื่องเล่าว่าในยุคแรกเริ่มปฐมกัปป์ มนุษย์คัดเลือกราชาให้ปกครองเหล่ามนุษย์ เหล่าจตุบาทคัดเลือกราชสีห์ให้เป็นจ้าว เหล่ามัจฉาและสัตว์น้ำคัดเลือกพญาปลาทั้งห้ามีปลาอานนท์ให้เป็นเจ้า ส่วนเหล่าวิหคสกุณีนั้นยังไม่ได้คัดเลือกกัน อยู่มาวันหนึ่งเหล่าวิหคทั้งนกหากินกลางวันและกลางคืนได้นัดประชุมพลกัน เพื่อคัดเลือกจ้าวแห่งปักษา

เหล่านกกลางคืนเสนอนกเค้าแมวให้เป็นเจ้า สัญลักษณ์แห่งภูมิปัญญา ความสงบและสมถะ

เหล่านกกลางวันเสนออีกาให้เป็นเจ้า สัญลักษณ์แห่งความว่องไว ปราดเปรียว

และก็ถึงคราวลงมติ แต่ปรากฏว่าตกลงกันไม่ได้

ฝ่ายอีกาก็บอกว่า

พวกท่านจงดูนกเค้าแมว ตามันโปนโต ใครเห็นเข้าคงได้ตกใจ พวกท่านจะเลือกมันเป็นเจ้าแห่งนกจริงๆรึ

ฝ่ายอีกาก็ว่า

พวกท่านจงดูอีกา พวกมันขี้ขโมย ตัวเหม็นสาป หากแม้นเลือกมันเป็นเจ้าแห่งนกแล้วใครรู้เข้าคงได้ฮากลิ้ง

แล้วทั้งสองฝ่ายก็ยกพลเข้าห้ำหั่นกัน ทั้งเสื้อดำและเสื้อหม่น รัฐสภานกก็เลยนองไปด้วยเลือดและขนของทั้งสองฝ่าย พวกนกพลังเงียบต่างปรึกษาหารือกันว่า

พวกท่านดูเอาเถิด ทั้งสองฝ่ายต่างทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่คู่ควรจะมาเป็นผู้นำของเรา

จึงตกลงใจคัดเลือกหงษ์ ผู้ไม่มีทิฐิมานะ มีแต่ความอ่อนน้อมให้เป็นจ้าวแห่งนกตั้งแต่นั้น

ส่วนอีกาและนกเค้า จนบัดนี้ก็ยังไม่เลิกทะเลาะกัน เจอกันไม่ได้เป็นต้องเลือดสาด
.....................................................................
ตำนานสลากภัตร

เวลาตำข้าว สากปรากฏเหมือนกับเคาะหัวนางยักษิณ นางยักษิณีกล่าวว่า

เวลาตำข้าว สากปรากฏเหมือนตีหัวของฉัน ฉันไม่อาจอยู่ที่นี่ได้ จงให้ฉันอยู่ที่อื่นเถิด

แม้ในที่อื่นคือ ข้างตุ่มน้ำ ริมเตาไฟ ริมชายคา ริมกองหยากเยื่อ ริมประตูบ้าน

แม้ในที่เหล่านั้นนางยักษิณีก็บอกว่า

ที่ข้างตุ่มน้ำพวกเด็กๆย่อมเล่นน้ำกัน ที่ริมเตาไฟ ฝูงสุนัขย่อมมานอน ที่ริมชายคาเด็กย่อมทำสกปรก ที่ริมกองหยากเยื่อนี้ พวกคนย่อมเอาขยะมาทิ้ง ที่ริมประตูบ้าน พวกเด็กๆย่อมมาเล่นพนันคะแนนกัน

นางกุลธิดานำนางยักษิณีไปไว้ในที่สงัดแห่งหนึ่งนอกบ้าน ปรนนิบัติด้วยข้าวต้มแลข้าวสวย นางยักษิณีนี้คิดว่า

หญิงสหายนี้อุปการะมากแก่เรา เราจะทำอุปการะตอบแทนแก่นาง

ดังนี้แล้วจึงบอกว่า

ปีนี้ฝนจะดี เธอจงทำนาในที่ดอน ปีนี้ฝนจะแล้งเธอจงทำนาในที่ลุ่ม

ปรากฏว่านางกุลธิดาทำนาได้ผลดีทุกปี ส่วนชาวบ้านทำนาแล้วเจ๊งกันทั้งบ้านทั้งเมืองเพราะน้ำท่วมบ้าง น้ำแล้งบ้าง จึงเกิดความสงสัยว่า นางกุลธิดามีดีอะไร จึงถามว่า

แม่ เธอรู้ว่าปีนี้ฝนจะดี ฝนจะแล้งหรือ

นางบอกว่า

นางยักษิณีหญิงสหายของฉัน ย่อมรู้ฝนดีฝนแล้ง พวกท่านไม่เห็นสักการะที่เราทำแก่นางยักษิณีตนนั้นหรือ แม้พวกท่านจงทำสักการะแก่นาง นางจักบอกฝนดีและฝนแล้งแก่พวกท่าน

พวกชาวเมืองทำสักการะแก่นางยักษิณอย่างยิ่งใหญ่ นางยักษิณีบอกความที่ฝนดีและฝนแล้งแก่ชาวเมือง ตั้งแต่นั้นเมืองสาวัตถีก็อุดมไปด้วยข้าวกล้าอันสมบูรณ์ ต่อมาเมื่อภัตรมีมากขึ้นนางยักษิณีประสงค์จะทำบุญจึงเริ่มตั้งสลากภัตร นิมนต์พระมารับโดยการจับสลาก และสลากภัตรนั้นชาวบ้านก็ยังถวายกันจนถึงทุกๆวันนี้
.....................................................................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น