++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2554

นิทานสอนใจ : กล่องกระดาษของพ่อ

มีพ่อ ลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ ที่ชายป่า พ่อมีอาชีพปลูกผักและเก็บไปขายในเมือง ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบมีหน้าที่สำคัญคือไปโรงเรียนและตั้งใจศึกษาหาความรู้

ลูกชาย ของคนปลูกผักเป็นเด็ก เรียนดีมีมารยาท เป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์และ ผู้ใหญ่ที่พบเห็น แต่มาในระยะหลัง ผู้เป็นพ่อสังเกตเห็นว่า ลูกมักจะกลับมาบ้าน ด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง เหมือนมีเรื่องขุ่น มัวในใจ จึงเรียกเข้ามาคุยด้วยในเย็นวันหนึ่ง

"ลูกรัก ระยะหลังมานี้พ่อ รู้สึกว่าลูกไม่ค่อย มีความสุขนัก หน้าตาของลูกบึ้งตึงไม่ชวนมอง โดยเฉพาะเวลาที่กลับ จากโรงเรียน มีอะไรเกิดขึ้นกับลูก บอกความจริงกับพ่อมา เถิด"

ลูกชาย ไม่คิดปิดบังพ่อของ เขาอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาเห็นว่า พ่อเหนื่อยเพราะทำงาน หนัก จึงไม่อยากรบกวนให้ต้องมากังวลด้วยเรื่องของตนอีก แต่เมื่อพ่อเอ่ยปาก ถามมาเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป

"ที่ ห้องของผมมีนักเรียน ย้ายมาใหม่ครับ เขาเป็นลูกคนมีเงิน แต่ชอบดูถูกคน และมักรังแกเพื่อนที่อ่อนแอกว่าเสมอ เมื่อเขาเห็นว่าผมสอบ ได้คะแนนดีและได้รับ คำชมจากครูบ่อย ๆ เขาก็มักพูดจาถากถาง และคอยกลั่นแกล้งผม อยู่ตลอดเวลา" ลูกชายระบายให้พ่อของเขาฟังอย่างคับแค้นใจ

"แล้ว ลูกทำอย่างไรเมื่อโดน เขาแกล้ง" ผู้เป็นพ่อถามต่อ

"ผม พยายามไม่สนใจ แต่เขาก็ไม่ยอมลดละ ผมคิดว่าผมคงทนเขาไปได้อีกไม่นานหรอกครับพ่อ สักวันผมจะต่อยเขา เอาให้เลือดของเขาไหลออกมาล้างปากเสีย ๆ ของเขาบ้าง"

พูดจบ ผู้เป็นลูกก็ตกใจวูบขึ้นมาทันที เพราะนึกได้ว่าตนเอง เผลอใช้คำพูดที่ รุนแรงออกไป เขาเหลือบมองหน้าพ่อ คิดว่าพ่อจะต้องโกรธ มากแน่ ๆ เพราะพ่อสอนเขาให้เป็นผู้ชายที่สุภาพบุรุษ ไม่ทำตัวเกกมะเหรก เกเร หาเรื่องชกต่อยกับใคร

ทว่า พ่อของเขากลับไม่ได้พูดหรือแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา ลูกชายชั่งใจดูท่าทีของพ่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า

"ผมรู้ ว่าพ่อไม่ชอบให้ผม ก้าวร้าว แต่ผมทนไม่ไหวแล้วครับ ผมอยากให้ไอ้คนที่ทำ กับผมรู้จักความเจ็บ ปวดและอับอายบ้าง มันจะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง"

ผู้เป็น พ่อมองหน้าลูกชายแล้ว ยิ้มน้อย ๆ เขาบอกแก่ลูกด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยว่า

"อีกสาม วันจะเป็นวันเกิดครบ สิบเอ็ดขวบของลูก ตัวพ่อเองก็ยากจน ไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่ พ่อจะให้ของขวัญแก่ ลูก"

ลูกชาย รู้สึกงุนงงที่จู่ ๆ พ่อก็พูดเรื่องนี้ ขึ้นมา อย่างไรก็ตามเขารู้สึกดีใจมาก และเฝ้านับวันรอให้ วันเกิดในอีกสามวันมา ถึงเร็ว ๆ

ครั้น เมื่อถึงวันเกิดของ ลูกชาย คนปลูกผักก็นำของขวัญมามอบให้แก่ลูกชายของเขาตามสัญญา เป็นกล่องกระดาษสีขาว และสีดำ ขนาดใหญ่ อย่างละ 1 กล่อง

"พ่อค รับ ทำไมต้องให้ของขวัญแก่ผมตั้งสอง ชิ้นล่ะครับ ถึงผมจะอยากได้ของ ขวัญจากพ่อ แต่แค่ชิ้นเดียวก็น่าจะพอแล้ว" ลูกชายกล่าวด้วยความ เกรงใจ ด้วยรู้ว่าพ่อขายผักแต่ละครั้งได้เงินไม่มากนัก

"ลูกรัก พ่อตั้งใจมอบของขวัญ ให้ลูกเช่นนี้เอง เพราะมันจำเป็นแก่ตัวลูกทั้งสองกล่อง จงรับไปจากพ่อเถิด"

ลูกชาย ก้มลงกราบเท้าพ่อและ กล่าวคำขอบคุณอย่าง ซาบซึ้งใจ จากนั้นเขาจึงลงมือแกะเชือกที่ผูกกล่องกระดาษสีขาวออก แต่ก็พบว่า ในกล่องสีขาวนั้น ไม่มีอะไรอยู่เลย ขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงคำถาม

"เปิด กล่องสีดำด้วยสิลูก รัก" พ่อของเขากล่าวแทนคำตอบ

ลูกชาย รีบแกะเชือกที่ผูก กล่องสีดำออก แต่ในกล่องสีดำก็ไม่มีอะไรเลยเช่นเดียวกับกล่องสีขาว นอกจากรูขนาดใหญ่ที่ ถูกเจาะเอาไว้ตรงก้น กล่องเท่านั้น

"พ่อค รับ ไม่มีอะไรอยู่เลยนี่ครับ" ลูกชายบอกกับพ่อของ เขา "พ่อลืมใส่ของลงไปหรือเปล่าครับ หรือเพราะว่ากล่อง กระดาษสีดำก้นรั่ว ของที่พ่อใส่ไว้ก็เลยหล่นหายไปโดยที่พ่อไม่รู้ครับ"

ผู้เป็น พ่อยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ ลูกชายพร้อมกับบอกว่า

"พ่อคง ให้ของขวัญแก่ลูกได้ แค่กล่องกระดาษสองใบ นี้ แต่ของที่อยู่ข้างใน ลูกะต้องเป็นผู้ใส่ มันลงไปเอง กล่องกระดาษสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข ต่อไปนี้ เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับสิ่งดี ๆ หรือเรื่องที่ทำให้ลูกมีความสุข ขอให้ลูกเขียนมันลงไป ในเศษกระดาษและนำมา ใส่ไว้ในกล่องสีขาว ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์ ไม่ว่าอะไรที่ทำให้ จิตใจของลูกเป็นทุกข์ มัวหมอง ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน"

แม้จะ ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อ จะต้องให้ทำเช่นนี้ แต่ลูกชายก็ยอมทำตามคำขอของพ่อแต่โดยดี ทุก ๆ วันเขาจะนำเศษกระดาษมากมายที่เขียน เรื่องราวดี ๆ ในชีวิตหย่อนลงไปในกล่องสีขาว และเอาเศษกระดาษอีก มากมายที่เขียนเรื่อง ราวไม่ดีหย่อนลงไป กล่องสีดำ โดยผู้เป็นพ่อคอยเฝ้ามองการกระทำนี้อยู่เงียบ ๆ

สาม เดือนผ่านไป เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับมาจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยิ่งกว่าวันไหน ๆ เขาโยนกระเป๋านักเรียนลงบนเก้าอี้ด้วยความกราดเกรี้ยว และทำท่าจะผลุนผลัน ออกจากบ้านไปอีกครั้ง แต่คนปลูกผักสังเกต เห็นก่อน เขาปราดเข้าไปยุดตัวลูกชายไว้และสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

"ผมทน ไม่ไหวแล้วครับพ่อ ไอ้คนเลวคนนั้นมันดูถูกพวกเรา มันว่าพ่อเป็นแค่คนปู กผักยากจน มันว่าเราสองคนเป็นคนชั้นต่ำไม่มีเกียรติ แล้วมันยังขโมย หนังสือเรียนของผมไป ทิ้งในถังขยะด้วย ผมจะไปจัดการมัน จะทำให้มันเจ็บและจำไปจนตายเลยที่มันบังอาจมาดูถูกพ่อ"

คนปลูก ผักไม่ได้โกรธตามลูก ชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า "วันนี้ลูกเขียน เรื่องสุข และทุกข์ใส่ในกล่องสีขาวและกล่องสีดำหรือยัง"

ลูกชาย ประกาศเสียงกร้าว ทันทีว่า "ผมจะไปจัดการไอ้คนนั้นก่อน ให้มันรู้ว่าเราจะไม่ ยอมให้มันมาดูถูกเรา ได้อีก"

"ลูก ต้องไปเขียนก่อน" พ่อบอกเสียงเรียบ "เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน"

ลูกชาย มองหน้าพ่ออย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้เปิดกล่องพÃกนั้นในเวลานี้ด้วย แต่เขาไม่ใช่เด็กดื้อ จึงยอมข่มอารมณ์โกรธ ลงชั่วคราวแล้วทำตาม ที่พ่อบอก

หลังจาก หย่อนกระดาษความสุข ความทุกข์ลงในกล่อง กระดาษสีขาวสีดำเรียบ ร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อจึงบอกให้ลูกชายยกกล่องกระดาษสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน

"โอ้โห แค่สามเดือนที่ผมใส่ เศษกระดาษลงไป ผมไม่คิดเลยว่าจะทำให้กล่องสีขาวหนักได้ขนาดนี้" ลูกชายอุทานอย่างคาด ไม่ถึง

ผู้เป็น พ่อยิ้ม และบอกว่า "ทีนี้ลูกไปยกกล่องสีดำมาวางตรงนี้ด้วยสิ"







"กล่อง สีดำน่าจะหนักกว่านี้ อีกนะครับ เพราะว่าผมใส่เรื่องไม่ดีของคนที่ชอบแกล้งผมเอาไว้มากทีเดียว"

แต่ ทันทีที่ลูกชายยก กล่องกระดาษสีดำ ขึ้นจากที่ตั้งเดิม ของมัน เศษกระดาษมากมายที่เคยอัดแน่นอยู่ภายในก็ร่วงพรูออกมาจากก้นกล่อง บัดนี้ กล่องกระดาษสีดำก็เบาหวิวไร้น้ำหนัก เพราะไม่มีอะไรคง เหลืออยู่ในนั้น แล้ว

ลูกชาย หันไปมองหน้าพ่อ

"ผมลืม ไปเสียสนิทเลยครับว่า กล่องใบนี้มีรูอยู่ ด้วย เดี๋ยวผมจะเก็บเศษกระดาษพวกนี้ไปใส่กล่องใบใหม่นะครับ"

แต่ ผู้เป็นพ่อบอกว่า "เก็บไปทำไมล่ะลูก เมื่อมันร่วงออกมา จากกล่องแล้วมันก็ คือขยะ ใส่กลับเข้าไปไม่ได้อีก ลูกไปเอาไม้กวาด มากวาดมันทิ้งไปให้ หมดเถิด ต่อไปกล่องแห่งความทุกข์ของลูกจะได้ว่างเปล่า ไม่มีความขุ่นข้อง หมองใจเหลืออยู่อีก ในขณะที่กล่องแห่ง ความสุขของลูกจะ เต็มไปด้วยความสุข ตลอดเวลา"

"อัน ที่จริง เมื่อลูกบอกพ่อว่า ลูกทนคนที่กลั่น แกล้งทำร้ายลูกไม่ ไหวนั้น พ่อก็ไม่เห็นว่าทำไมลูกจะต้องทนเขาด้วย เพราะเรื่องนี้ไม่ มีอะไรต้องทนเลย เพียงแค่ลูกไม่เก็บเอาสิ่งแย่ ๆ ที่เขาทำกับลูกมาขังไว้กับตัวเอง ไม่ต้องไปทำความ รู้จักมัน ความทุกข์นั้นก็ระรานหัวใจของลูกไม่ได้ ดูในกล่องสีขาวสิ ลูก ความสุขความภูมิใจของลูกตั้งมากมายก็อัดแน่นอยู่ในนั้น ทำไมลูกถึงมองข้าม ไป ละทิ้งความทุกข์ซึ่งไร้ประโยชน์กับชีวิตของลูก แล้วอยู่กับสิ่งที่ ทำให้ลูกเป็นสุขไม่ ดีกว่าหรือ"

ลูกชาย มองหน้าพ่ออย่าง อัศจรรย์ใจ เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของกล่องกระดาษสองใบนั้นอย่างแจ่มชัดในวันนี้เอง ความโกรธขึ้งที่มีต่อ เพื่อนคนนั้นค่อย ๆ จางหาย หัวใจผ่อนคลายไม่บีบรัดเหมือนเมื่อครู่ ความเปลี่ยนแปลงนี้ เกิดขึ้นได้ก็เพราะ กล่องแห่งความทุกข์ ของเขาว่างเปล่าแล้ว นั่นเอง

บท สรุปของผู้แต่ง

ช่างน่าฉงนจริง ๆ ที่คนเรามักจะจดจำเรื่องราวที่ทำให้ตนเองเจ็บปวดได้แม่นยำ และยาวนานกว่าความสุขอีกตั้งมากมาย ที่เราเคยรู้จัก สิ่งที่คนปลูกผักมอบให้เป็นของขวัญแก่ลูกชาย ไม่ใช่แค่กล่องกระดาษสีขาวหรือ สีดำ แต่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข ด้วยการละทิ้งความ ทุกข์ แล้วทำความรู้จักกับความสุขที่มี ให้มากกว่าเดิม เพียงการให้ที่แสนจะธรรมดาครั้งเดียวนี้ก็ทำให้ลูกของเขารู้จักความสุขไปจนตลอดชีวิต

เราอาจจะเลี่ยงคนสกปรก ที่ชอบโยนขยะ และความโสโครกใส่หน้าบ้านเรา ไม่ได้ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ก้มลงเก็บมันเข้ามาไว้ในบ้าน และกวาดมันทิ้งไปอย่างไม่แยแสได้ แน่นอนว่าการรับมือกับคนพวกนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าเราทำได้ ต่อไปความสกปรกก็จะหายไปจากหน้าบ้านของเราเองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย

ขอบคุณ นิทานดี ๆ จากหนังสือด้วยรักบันดาล นิทานสีขาว เล่าเรื่องโดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ค่ะ



--
"สิ่งใดไม่เปลี่ยนแปลงไม่มี เป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น