++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

ห่านทองคำ

ห่านทองคำ


ห่านทองคำเป็นนิทานที่แต่งขึ้นโดยสองพี่-น้องตระกูลกริมม์ เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มคนทึ่มที่มีร่างกายที่อ่อนแอคนในครอบครัวของเขาทุกคน ว่าเขาโง่เขลาที่สุดในบ้านและพากันหัวเราะเยาะล้อเลียนอยู่เสมอ ๆ แต่การที่เขา เป็นคนที่มีจิตใจดี รู้จักเผื่อแผ่และมีน้ำใจ ดังนั้นเขาจึงโชคดีได้เป็นเจ้าของห่านทองคำ ผู้คนที่จะพยายามจับต้องห่านทองคำต้องมีอันติดแน่นอยู่กับปีกห่านเหมือนผูกติดเชื่อม เอาไว้ เป็นนิทานที่ให้ความสนุกสนานเบาสมองดีเรื่องหนึ่ง .


กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายซึ่งมีอาชีพเป็นคนตัดไม้ในป่าอยู่ผู้หนึ่ง เขามีลูกชายอยู่ ทั้งหมดสามคน และคนทั้งหมดซึ่งก็หมายความถึงคนในครอบครัวของเขาทุกคน ก็มองว่าน้องชายคนเล็กสุดที่มีร่างกายผ่ายผอมตัวเล็กนิดเดียวนั้น เป็นคนอ่อนแอ ที่ทึ่มและโง่เขลาที่สุดในบ้าน ดังนั้นพวกเขาทุกคนจึงพากันหัวเราะเยาะล้อเลียนอยู่ เสมอ ๆ พี่ชายคนโตสุดเป็นคนที่มีร่างกายใหญ่โตและแข็งแรง ดังนั้นผู้เป็นพ่อจึงไว้ วางใจ และมักจะสั่งให้เขาเข้าไปตัดไม้ในป่าแทนอยู่เสมอ ๆ และก่อนที่จะออกไป จากบ้าน แม่ของเขาก็จะเตรียมแพนเค้กชิ้นโต ๆ จำนวนหนึ่งกับเหล้าองุ่นหนึ่งขวด ใหญ่ ให้เขานำเอาติดตัวไปกิน และดื่มระหว่างที่ทำงานในทุกครั้งเสมอมา


วันหนึ่งเมื่อเขาเข้ามาถึงที่ในป่าแล้ว ขณะที่พี่ชายคนโตกำลังจะลงมือตัดไม้อยู่นั้น เขาก็พบว่าได้มีชายชราหนวดยาวหน้าตาเศร้าหมองแต่งตัวเหมือนฤษีคนหนึ่ง เข้ามาทักทายบอกอรุณสวัสดิ์กับเขา แล้วพูดว่า " แบ่งแพนเค้กในกระเป๋าของท่าน ให้ข้าสักหน่อยสิ แล้วก็แบ่งเหล้าองุ่นให้ข้าดื่มสักจิบหนึ่งด้วย เพราะข้านั้นทั้งหิวโหย และกระหายอย่างเหลือเกิน " แต่ชายหนุ่มพี่ชายคนโต ซึ่งคนทั้งหลายมองว่าเขาเป็น คนที่เฉลียวฉลาด แต่กลับตอบอย่างไม่มีน้ำใจว่า " อะไรนะ ! แบ่งแพนเค้กกับเหล้า องุ่นของข้าให้กับเจ้าน่ะเหรอ หากข้าแบ่งให้เจ้า ข้าก็คงจะมีไม่พอกินน่ะสิ ไม่ได้หรอก แล้วก็ถอยออกไปให้พ้นทางเสียด้วยข้าจะทำงาน ถอยออกไปให้ไกล ๆ เดี๋ยวนี้เลยนะ ! " แล้วเขาก็หันมาทำหน้ามุ่ยด้วยความไม่พอใจที่ชายแก่ร่างแคระ หน้าตาเศร้าหมองคนนั้นมาขัดจังหวะการตัดต้นไม้ของเขา


ชายชราหนวดยาวหน้าตาเศร้าหมองคนนั้นจึงเดินผละจากไป และชายหนุ่มพี่ชาย คนโตก็ลงมือตัดต้นไม้ของเขาต่อตามปกติ แต่ในทันใด ! เขาเกิดพลั้งมือ ขวานจึง หลุดมือและพลาดไปถูกเอาเข้ากับแขนของตนเอง ผลก็เลยเป็นว่าเขาต้องได้รับบาด เจ็บสาหัส ดังนั้นเขาจึงต้องหยุดการตัดต้นไม้ที่ได้รับหน้าที่มาวันนั้น แล้วเดินทางกลับ บ้านเพื่อที่จะไปเยียวยาบาดแผลที่เกิดขึ้น...และการพลั้งพลาดของเขาครั้งนี้ ก็มีสาเหตุ มาจากชายชราร่างเล็ก ๆ หน้าตาเศร้าหมองผู้นั้นอย่างแน่นอน...


เช้าตรู่วันต่อมา พี่ชายคนที่สองจึงเข้าป่าเพื่อไปตัดไม้บ้าง และก็แน่นอนซึ่งแม่ของเขา ก็ได้เตรียมเค้กกับเหล้าองุ่นหนึ่งขวดให้กับเขาเหมือน ๆ กันกับพี่ชายคนที่หนึ่งเช่นกัน และเมื่อเขาเข้ามาถึงที่ในป่าขณะที่กำลังจะทำการตัดต้นไม้อยู่นั้น เขาก็พบกับชาย ชราร่างเล็กคนเดิมคนเดียวกันกับคนที่มาขอแบ่งปันอาหารกับพี่ชายคนโตเมื่อวันวาน และคราวนี้ก็มาขอแบ่งปันเค้กกับเหล้าองุ่นจากเขาอีกเหมือนกัน แต่ชายหนุ่มพี่ ชายคนที่สองได้ตอบอย่างหยาบคายว่า " ทำไมข้าจะต้องแบ่งให้เจ้าด้วยล่ะ จะบ้าหรือ ไงมาขออะไรกันง่าย ๆ แบบนี้ ไป ! ออกไปให้พ้นทางข้า...แล้วก็เดี๋ยวนี้เลยด้วยนะ ! "


เขาผละจากชายชราร่างเล็กหน้าเศร้าหมองคนนั้น ที่ถอยห่างเขาออกไป แล้วไปยืน ดูเขาอยู่ที่ข้างทางโดยไม่พูดว่าอะไรและคิดที่จะตอแยอะไรกับเขาอีกต่อไป พี่ชายคน ที่สองก็ลงมือทำงานของเขาทันที ในไม่ช้าก็ดูเหมือนว่าเขาต้องได้รับโทษทัณฑ์จาก การที่เป็นคนไม่มีน้ำใจ เช่นเดียวกันกับพี่ชายคนที่หนึ่ง เพราะขณะที่กำลังที่จะ ใช้ขวานฟันต้นไม้ได้เพียงไม่กี่ครั้ง เขาก็มีอันได้พลั้งมือ และฟันถูกเอาเข้ากับหน้าแข้ง ของตัวเองโดยแรงจนด้ามขวานหักออกเป็นสองท่อน ดังนั้น เขาเลยมีอันต้องเดิน กระโผลกกระเผลกกลับบ้านไปด้วยความเจ็บปวดสาหัส


แล้วน้องชายคนทึ่ม ซึ่งไม่มีใครในครอบครัวให้ความสนใจ มาแต่ไหนแต่ไร ก็พูดกับ พ่อว่า " ฉันขอเข้าไปตัดไม้ในป่าสักครั้งเถิดนะ " แต่พ่อกลับตอบว่า " ไม่ได้หรอก ขนานว่า พี่ชายทั้งสองของแกยังต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับมาอย่างนั้น แกหรือมีแต่ที่จะพบ กับสภาพที่เลวร้ายมากกว่า เพราะแกไม่รู้จักวิธีตัดไม้เลยแม้สักน้อยนิด " แต่เด็กหนุ่มไม่ ยอมแพ้ยังคงรบเร้าและวิงวอน กระทั่งในที่สุดผู้เป็นพ่อก็เลยต้องจำยอม " ถ้าแกอยาก ไปก็ไปเถอะ แต่พ่อคาดว่า แล้วแกจะได้รับบทเรียนราคาแพงกลับมา " แต่อย่างไรก็ตาม แม่ของเขาก็เตรียมเพียงแพนเค้กธรรมดา ๆ ชิ้นหนึ่งซึ่งทำจากแป้งผสมน้ำ แล้วอบใน ขี้เถ้า กับเบียร์เปรี้ยวหนึ่งขวด แล้วให้เขานำติดตัวไปอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเขามาถึงที่ ในป่า คนแคระชราร่างเล็กหน้าเศร้าหมองคนเดิมก็ออกมาปรากฏตัวอีกครั้ง หลังจาก ทักทายเด็กหนุ่มคนทึ่มอย่างอ่อนโยนแล้ว


ชายชราร่างเล็กก็พูดว่า " แบ่งเค้กกับเครื่องดื่มของเจ้าให้ข้าบ้างสิ เพราะข้าทั้งหิว และกระหายอย่างเหลือเกิน " " โอ " เด็กหนุ่มกล่าว " ข้ามีเพียงเค้กที่อบในขี้เถ้า กับเบียร์ เปรี้ยวเพียงขวดเดียว แต่ถ้าท่านหิวเป็นอย่างมากอย่างนั้น ข้าก็ยินดีที่จะแบ่งปันให้กับ ท่านผู้น่าสงสาร...มานี่สิ เรามานั่งลงและดื่ม-กินด้วยกันเถอะ " ดังนั้น ทั้งสองจึงพากันมานั่งลงที่ขอนไม้ และพอเมื่อเด็กหนุ่มเปิดถุงที่ใส่อาหารออกมา เขา ก็ต้องตกใจที่ได้พบว่าเค้กก้อนที่เขาคิดว่าไม่น่าจะอร่อยของเขานั้น ตอนนี้มันได้กลาย มาเป็นขนมปัง และอาหารที่เลอเลิศน่าอร่อยไปอย่างน่าอัศจรรย์เสียแล้ว รวมถึงเบียร์ เปรี้ยวขวดนั้นก็ได้กลายมาเป็นเหล้าองุ่นที่รสเลิศ " เห ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้ล่ะ...อย่างนี้ มันก็ดูเหมือนกับว่าข้าได้พูดโกหกและหลอกลวงท่านเสียแล้วสิ.... "


ชายชราร่างแคระก็ได้พูดขึ้นว่า " มันไม่ใช่ว่าเป็นการหลอกลวงหรือโกหกหรอกนะพ่อหนุ่ม อาหารที่เลอเลิศน่าอร่อยนี่น่ะ มันเปลี่ยนแปลงมาได้จากการเป็นคนดีและมีน้ำใจ ของพ่อหนุ่มเองทั้งนั้นแหละ... " หลังจากที่พวกเขาดื่ม-กินกันจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ชายชราร่างแคระก็พูดขึ้นอีกว่า " เพราะว่าเจ้านั้นมีจิตใจอันดีงาม ไม่คิดหวงแหนแบ่งปัน อาหารให้กับข้า ดังนั้นข้าจะบันดาลให้เจ้าได้ประสบกับโชคลาภในสิ่งทั้งหลายที่เจ้า ทำในอนาคต ฟังให้ดีนะเจ้าหนุ่มน้อยผู้มีน้ำใจของข้า " ชายชราชี้มือไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง " ที่ตรงนั้นคือต้นไม้เก่าแก่ เจ้าจงโค่นมันลงมา แล้วเจ้าจะพบกับสิ่งที่น่าพิศวงอยู่ ที่ต้นของมัน "


เมื่อชายชราร่างแคระกล่าวคำอำลา และแยกทางกับชายหนุ่มไปแล้ว เขา ก็หันมาลงมือตัดต้นไม้ต้นที่ชายชราร่างแคระชี้บอกให้กับเขาในทันที ในไม่ช้าไม่นาน เขาก็สามารถโค่นต้นไม้นั้นลงมาได้ แล้วตอนนั้นเขาก็ต้องประหลาดใจ และมหัศจรรย์ ใจรวมถึงให้เป็นดีใจเป็นอย่างที่สุด เมื่อเขาได้พบห่านตัวหนึ่งซึ่งมีขนเป็นทองคำบริสุทธิ์ อยู่ที่ต้นไม้ต้นนั้น เขาร้องออกมาอย่างดีใจจนเสียงหลงเลยว่า " ห่าน ! ห่าน ! ห่านทองคำ ! " และด้วยความดีใจเขารีบอุ้มมันขึ้นมาแล้วกอดมันเอาไว้เสียแน่น เลยทีเดียว

ตอนแรกก่อนอื่นใดเขาหมายที่จะกลับไปบ้านเพื่อจะนำห่านทองคำ ตัวที่เขาได้มัน มาอย่างโชคดีตัวนี้ไปอวดพ่อและพวกพี่ ๆ ของเขาเป็นสิ่งแรก ดังนั้นเขาจึงอุ้มห่าน ทองคำวิ่งมุ่งหน้าไปตามทางที่จะกลับไปบ้าน แต่เมื่อวิ่งอุ้มห่านทองคำผ่านมาถึง ตรงที่มีแม่น้ำ แล้วตรงนั้นก็คงอาจจะเป็นด้วยเพราะความดีใจ และตื่นเต้น นั่นเองเขาจึงรู้สึกเหมือนกับว่าได้เกิดมีความกระหายเป็นยิ่งนัก และไม่สามารถ ที่จะอดใจไว้ต่อไปได้อีก ดังนั้นเขาจึงหยุดวิ่ง แล้ววางห่านทองคำตัวสำคัญของเขา เอาไว้ที่ก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง จากนั้นเขาก็เดินลงไปนั่งลงที่ริมแม่น้ำ และดื่มน้ำ ในแม่น้ำสายนั้นอย่างกระหายหิวเป็นยิ่งนัก


เมื่อเวลาผ่านไปได้สักพัก แล้วตรงนั้นก็ได้มีสามสาวพี่น้องลูกชาวนา เดินมาเพื่อจะมาตักน้ำ ที่แม่น้ำสายนั้นเข้าพอดี เด็กสาวทั้งสามคนเมื่อมองเห็นห่านทองคำที่ยืนนิ่งอยู่บนก้อน หินก็ให้เป็นตกใจ " อาร้า...ห่านอะไรตัวนี้น่ะขนสวยจังเลย ดูสิ " พี่สาวคนโตพูดขึ้น ด้วยความตื่นเต้น เพราะตั้งแต่หล่อนเกิดมายังไม่เคยพบหรือเคยเห็นห่านอะไรที่สวยงาม มากมายเพียงนี้มาก่อน และปรารถนาที่จะได้ขนของมันสักอัน " อา " พี่สาวคนโตนึกในใจ " ฉันอยากจะดึงขนของมันออกมาให้ได้เพื่อไว้เป็นที่ระลึกสักอันหนึ่ง " แล้วตรงนั้น ด้วยความคิดอันนี้ของหญิงสาวนี่เอง เหตุการณ์อันมหัศจรรย์ก็ได้เกิดเริ่มขึ้น... พี่สาวคนโตเดินตรงเข้าไปหาห่านตัวนั้นทันที แล้วคว้าปีกของมันไว้โดยทันใด แต่แล้ว ทั้งนิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือของหล่อนก็ติดแน่นอยู่กับปีกห่านเหมือนผูกติดเชื่อมเอาไว้ ด้วยกาวดี ๆ นั่นเลยทีเดียว....


สักครู่ต่อมา น้องสาวคนรองก็เข้ามาที่ใกล้ ๆ และก็ด้วยความหวังเปี่ยมล้นเหมือนกันกับ พี่สาวคนโตที่จะได้เป็นเจ้าของขนของห่านทองคำสักอันหนึ่งเหมือนกัน แต่ทันทีที่หล่อน สัมผัสกับร่างของพี่สาวคนโต ซึ่งก็ด้วยเธอหมายที่จะผลักพี่สาวออกไปให้พ้นจากห่านตัว นั้น มือของเธอก็ติดแน่นอยู่กับเสื้อผ้าของพี่สาวไปด้วยอีกคนหนึ่ง และทั้งสองพี่-น้องก็ ไม่อาจที่จะดึงให้มือหลุดออกมาได้ ในที่สุด น้องสาวคนเล็กซึ่งก็มีความตั้งใจอย่างเดียว กัน " ออกไปให้พ้น ออกไปให้พ้น "... พี่สาวทั้งสองแผดเสียงร้องเตือน " ในนามของสวรรค์จงออกไปให้พ้น " ... แต่น้องสาวคนเล็กไม่เข้าใจว่า เหตุใดหล่อนจึงจะต้องออกไปให้พ้น ในเมื่อพี่สาวทั้งสองก็เข้าไปใกล้ห่านตัวนั้นได้ทั้งสอง คน แล้วทำไมหล่อนจึงจะเข้าไปใกล้บ้างไม่ได้ ดังนั้นหล่อนจึงกระโดดเข้าไปคว้าพี่สาว คนรองไว้ และในทันทีที่ทำเช่นนั้น หล่อนก็ต้องตกเป็นเชลยไปด้วยอีกคนหนึ่งเสียแล้ว... เมื่อตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น หญิงสาวทั้งสามจึงร้องกันขึ้นด้วยเสียงอันดังเพราะความตกใจ และเสียงร้องอันดังลั่นของพวกเธอนี่เอง ชายหนุ่มคนทึ่มเจ้าของห่านทองคำตัวงาม จึงรู้สึกตัวขึ้น และเมื่อวิ่งมาถึงตรงที่ตนเองได้วางห่านทองคำเอาไว้เมื่อสักครู่ เขาก็ต้องตกใจและเกิดความโมโหฉุนเฉียวขึ้นมาเป็นอย่างมาก


ชายหนุ่มด้วยเป็นคนทึ่ม แล้วก็ออกจะเป็นคนที่ไม่ชอบใช้ความคิดเสียด้วย เมื่อเขา มองเห็นดังนั้น ก็โมโหฉุนเฉียวขึ้นมาในทันที " นี่! ..อะไรกันเธอทั้งสามคน คิดจะขโมย ห่านของข้าอย่างนั้นหรือ เดี๋ยวนี้เลยนะ ! เร็ว ๆ ด้วย ปล่อยห่านของข้าเดี๋ยวนี้เลย เจ้าพวกหัว ขโมย " เด็กหนุ่มไม่พูดปล่าวยังตรงเข้าไปที่ห่าน แล้วอุ้มมันขึ้นไว้ในวงแขน เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรอีกแล้ว...ออกวิ่งดุ่ม ๆ โดยที่มีพี่-น้องสามสาววิ่งติดตามมา ด้วยที่ข้างหลังของเขาอย่างใกล้ชิด และเมื่อเขาก้าวเท้าวิ่งให้เร็วขึ้น พวกหล่อนทั้งสาม ก็จำต้องวิ่งตามเขามาติด ๆ ไม่ทางซ้ายก็ทางขวา แล้วแต่ว่าเขาจะย้ายห่านมาอุ้มไว้ ทางแขนข้างใด ชายหนุ่มวิ่งไปข้างหน้าไม่ยอมหยุดยั้ง ปากก็โกนบอกกับสามสาว ว่า " โอ้ย บอกให้ปล่อยห่านของข้าเดี๋ยวนี้นะ..ยังไม่ยอมปล่อยอีก จะบ้าเหรอพวกเธอนี่ " ฝ่ายข้างหญิงสาวทั้งสามคนที่วิ่งตามก็ร้องตอบมาว่า " อยากจะปล่อยจ๊ะ แต่ปล่อยไม่ได้... โอ้ย..หยุดวิ่งสิ กรุณาหยุดเถิด " แต่ชายหนุ่มคนทึ่มนั้นด้วยความโมโหที่มีคน คิดจะมาขโมยห่านตัวสำคัญของเขานั่นเอง หูเลยตึงไปชั่วขณะ...ว่าอย่างนั้นคือไม่ได้ยิน...เขา วิ่งไปสะบัดตัวไปหวังให้ห่านหลุดออกมาจากหัวขโมยให้ได้อย่างเดียว ดังนั้นจึงไม่ยอม ที่จะหยุดวิ่งว่าอย่างนั้น....


เมื่อทั้งหมดวิ่งเป็นขบวนมาถึงที่กลางทุ่งนา คนทั้งหมดก็พบกับพระประจำตำบลรูปหนึ่ง ซึ่งจ้องมองขบวนแถวที่กำลังเข้ามาใกล้ด้วยความประหลาดใจ " พวกหล่อน ไม่ละอายใจ บ้างหรือ?? "... พระร้องถาม " พวกหล่อนกำลังทำอะไรอยู่ ผู้หญิงไร้ยางอาย มาวิ่งตาม ผู้ชายในทุ่งนาเช่นนี้ได้อย่างไร ? พวกหล่อนรีบกลับบ้านไปให้หมด เดี๋ยวนี้นะ ! "... แล้วพระก็ยังไม่พูดเปล่ายังเอื้อมมือไปคว้าตัวน้องสาวคนเล็กสุด หมายจะดึงหล่อนเอาไว้ แต่ทันทีที่พระแตะต้องตัวหล่อน พระก็เป็นอันต้องติดแน่นเข้าไปด้วยอีกคน และจำต้อง เดินหรือวิ่งตามคนทั้งหมดไปด้วยอย่างที่ใครก็ช่วยอะไรไม่ได้เสียอีกด้วยสิ


อีกไม่กี่นาทีต่อมา มีเสมียนผู้หนึ่งผ่านมาพบคนเหล่านั้น และเมื่อเขามองเห็นว่าพระ กำลังวิ่งตามหญิงสาว เขาก็นึกประหลาดใจเป็นยิ่งนัก และร้องทักว่า " ท่านสาธุคุณกำลัง จะรีบร้อนไปทางไหนหรือ ท่านลืมแล้วหรือว่า วันนี้จะต้องไปประกอบพิธีให้ศิล " เมื่อ ขบวนเหล่านั้นไม่ยอมหยุด เขาจึงวิ่งตามไป แล้วคว้าเสื้อคลุมของพระเอาไว้ แต่ในทันใดนั้น เขาก็ต้องพบว่ามือของตนถูกยึดเอาไว้จนติดแน่น แล้วจะเป็นยังไงเสมียนก็เลยจำต้องวิ่ง ตามคนอื่น ๆ ไปด้วยอีกเสียแล้ว...ถึงเวลานี้ คนทั้งห้าก็ต้องวิ่งตามหลังกันและกันไป แล้วในเวลาเดียวกันนั้น ก็ได้มีชาวนาสองคนแบกเคียวเดินกลับจากทุ่งนาผ่านมา พระ จึงร้องเรียกให้คนทั้งสองมาช่วยปล่อยตนกับเสมียนให้เป็นอิสระ ชาวนาทั้งสองรีบรุด เข้ามาหา และพยายามจะช่วยเหลือ แต่แล้วก็ต้องประสบผลอย่างเดียวกันไปตามระเบียบ ว่าอย่างนั้น


แล้วคนทั้งหมดก็ติดแน่นอยู่ด้วยกันอย่างที่เรียกว่าหมดท่าหมดทาง.. เจ้าทึ่มพร้อมกับ ห่านทองคำที่เดินแกมวิ่งอยู่ที่ข้างหน้าพร้อมกับสะบัดตัวไปมาเพื่อให้ห่านหลุดอย่างสุดชีวิต แล้วมีอีกเจ็ดคนที่จำต้องวิ่งตามติดมาที่ข้างหลัง...มันเป็นภาพที่แสนจะทุรักทุเรพิลึกพิลั่น และโกลาหนเป็นยิ่งนัก คนทั้งเจ็ดที่วิ่งตามมาที่ข้างหลังนั้นก็ร้องบอกให้คนที่อยู่ข้างหน้า หยุดวิ่งเสียทีกันให้ระงม ส่วนทางฝ่ายเจ้าหนุ่มคนทึ่มที่อยู่ข้างหน้าสุดก็ร้องบอกว่าให้ปล่อย ให้ปล่อยห่านของเขาเสียที ไปตลอดทาง และดูเหมือนว่าการวิ่งเรียงคิวครั้งนี้จะไม่จบสิ้นลง อย่างง่าย ๆ เพราะเมื่อวิ่งมาได้สักพักเจ้าหนุ่มน้อยคนทึ่มเมื่อหันหน้าไปมองที่ข้างหลังของเขา ก็ได้เห็นว่ามีพวกหัวขโมยที่คิดจะขโมยห่านทองคำของเขาเพิ่มมากขึ้นกว่าเก่าตั้งมากมาย จึงยิ่งเพิ่มความโมโหฉุนเฉียวขึ้นมาจนสุดที่จะระงับ เขากระตุกห่านไปข้างหน้าอย่างแรง จนสุดกำลังเพื่อให้ห่านหลุด ผลจะเป็นยังไงล่ะ...ดังนั้นพวกที่อยู่ที่ข้างหลังทั้งหมดจึงต้องมี อันเป็นต้องล้มระเนระนาดกันไปทั้งหมดทั้งแถว แล้วยังไม่พอยังต้องโดนได้ของแถมที่ไม่ อยากได้ต่ออีกคือโดนลากให้ต้องวิ่งกันต่อไปอีกเรื่อย ๆ


และต่อมาไม่นานจากนั้น คนทั้งหมดก็วิ่งกันมาจนมาถึงนครใหญ่นครหนึ่ง ซึ่งนครแห่ง นี้ปกครองโดยพระราชาที่ออกจะแหนหวงพระธิดาที่แสนสวยเป็นอย่างมากองค์หนึ่ง พระ ธิดาของพระราชานั้น เหมือนได้รับกรรมมาตั้งแต่เธอประสูตรออกมาดูโลกคือเธอตกอยู่ ในสภาพที่เรียกว่าซึมเศร้าและไม่เคยหัวเราะเหมือนกับบุคคลธรรมดาคนอื่นทั่วไปทั้งหลาย จน กระทั่งพวกเขาทั้งหมดเกือบจะพูดกันได้ว่าไม่มีผู้ใดหรอกที่จะสามารถทำให้พระธิดาหัวเราะ ได้ ดังนั้นพระราชาจึงทรงประกาศ ทั้งยังทรงออกคำสั่งให้พวกมหาดเล็กส่งสารไปให้ทั่ว ทุกแว่นแคว้นซึ่งมีใจความว่า " หากมีผู้ใดสามารถที่จะทำให้เจ้าหญิงหัวเราะได้ ก็จะได้สม รสกับเธอในทันที " ถึงเวลานี้ เมื่อเด็กหนุ่มคนทึ่มได้วิ่งนำขบวนอันโกลาหนพิลึกพิลั่นของ เขาผ่านมาจนถึงที่นครใหญ่แห่งนี้แล้วและเวลานั้น

ซึ่งก็เป็นเวลาที่พอดิบพอดีกันกับที่เจ้าหญิงผู้เลอโฉมกำลังทรงประทับอย่างซึม เศร้าอยู่ที่ตรงหน้าต่างในพระราชวังเข้าพอดี และภาพอันพิลึกพิลั่นของขบวนอันโกลาหล ของเจ้าหนุ่มคนทึ่มที่ปรากฏต่อสายตาของพระองค์ ทำให้เจ้าหญิงระเบิดเสียงหัวเราะ ออกมาด้วยความขบขันจนสุดที่พระองค์จะทรงระงับใด้ " ฮ่า ๆๆๆ ช่าง น่าประหลาดพิลึกพิลั่น และน่าขันเสียสิ้นดี ขบวนพิลึกพิลั่นอะไรนี่น่ะ...ฮ่า ๆๆๆ " เจ้าหญิงทรงหัวเราะและการหัวเราะครั้งนี้ก็เป็นการหัวเราะครั้งแรกตั้งแต่ประสูตรออกมา ของพระองค์เอง จนกระทั่งผู้คนคิดว่าเธอคงไม่มีวันหยุดหัวเราะได้แน่ ๆเลยคราวนี้ และ เมื่อพระราชาที่แอบมองดูเธออยู่ในขณะนั้น และเห็นว่าเจ้าหญิงพระธิดาคนงาม ของพระองค์หัวเราะได้เข้าอย่างนั้น ก็ให้ทรงปิติเป็นยิ่งนัก ทรงสั่งให้ทหารไปตามเอาตัว ของเจ้าหนุ่มน้อยคนทึ่มที่อุ้มห่านและเป็นหัวหน้าขบวนพิลึกพิลั่นนั่นให้มาพบในทันที


และเหมือนเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์เป็นยิ่งนัก เพราะในขณะที่เจ้าหญิงทรงหัวเราะขึ้นใน ทันทีทันใดตอนนั้น พวกคนในขบวนของเจ้าหนุ่มคนทึ่มที่วิ่งต่อหลังกันมานานแสนนาน จนพวกเขาทั้งหลายคิดว่า พวกเขาจะเป็นยังไงกันต่อไปล่ะนี่ หรือว่าจะต้องวิ่งกันอยู่อย่างนี้ ไม่มีที่สิ้นสุดจนต้องมีใครต้องได้ตายจากกันไปข้างหนึ่งแน่เสียแล้วหรือเปล่า.. แล้วอยู่ ๆ ฉับพลันทันใด...ก็เกิดมีอันได้แยกออกจากกันในทันทีเหมือนกันอย่างน่ามหัศจรรย์ ต่อมาทหารพวกมหาดเล็กของพระราชาก็มาถึงในที่ที่ตรงนั้น แล้วบอกกันเจ้าหนุ่มคนทึ่มว่า " ท่านจะได้สมรสกับพระธิดาเจ้าหญิงของนครนี้ ขอแสดงความดีใจด้วย แล้วจงตาม พวกเรามา พระราชามีรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้าโดยด่วน.."


จากนั้นเด็กหนุ่มคนทึ่มจึงตามทหารพวกมหาดเล็กไปเข้าเฝ้าพระราชา ตามคำรับสั่งของ พระองค์ แต่พระราชาเมื่อได้มองเห็นรูปร่างและหน้าตาของเจ้าหนุ่มคนทึ่มเข้า ก็ให้เป็น ทรงวิตกขึ้นมาว่า เจ้าหนุ่มคนนี้คงจะไม่เหมาะสมที่จะได้สมรสกับพระธิดาผู้เลอโฉมของ พระองค์ ทรงคิดไม่ยินดีที่จะรับเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นบุตรเขย ดังนั้น พระองค์จึง รับสั่งว่า ก่อนที่จะยินยอมให้มีการเสกสมรสกันขึ้นนั้น ชายหนุ่มจะต้องไปหาผู้ที่สามารถ ที่จะดื่มเหล้าองุ่นทั้งหมดที่มีอยู่ในห้องใต้ดินของพระองค์มาให้ได้เสียก่อน


เจ้าหนุ่มคนทึ่มจึงต้องเดินทางเข้าไปในป่าอีกครั้ง และที่นั่น เขาก็ได้พบกับคนแคระชราหน้า ตาเศร้าหมองซึ่งเขาเคยแบ่งเค้กให้แต่คราวนี้ ได้มีชายผู้หนึ่งที่มีร่างกายที่ใหญ่โตมากยืนเคียง ข้างชายชราอยู่ด้วย " อา "ชายหนุ่มคนทึ่มเอ่ยขึ้น" หากจะมีใครสักคนที่สามารถที่ จะช่วยข้าได้ก็เห็นจะเป็นแต่ท่านคนเดียวเท่านั้นแหละ " ชายชราร่างแคระจึงพูดว่า " อย่าทุกข์ใจไปเลยพ่อหนุ่มคนมีน้ำใจของข้า ก่อนอื่นเจ้าลองฟังความทุกข์ของชายคน ที่ข้าพามาด้วยนี่เสียสิ แล้วรับรองว่าเจ้าจะหมดปัญหาที่เจ้าทุกข์ใจอยู่ขณะนี้แน่นอน" ชายร่างใหญ่โตผู้นั้นมีสีหน้าที่โศกเศร้ามากเด็กหนุ่มจึงถามเขาว่า เหตุใดจึงมีสีหน้าทุกข์ โศกเช่นนั้น " โอ " ชายผู้นั้นตอบ " เพราะข้าต้องทุกข์ทรมานจากความกระหาย น้ำ กระทั่งดูเหมือนว่าไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถมาระงับความกระหายของข้าได้ แม้แต่น้ำเย็น ก็ไม่อาจที่จะช่วยได้ ข้าดื่มเหล้าองุ่นหมดไปสองถังแล้ว แต่นั่นเหมือนน้ำเพียงหยดเดียวที่รด ใส่ก้อนหินร้อน ๆ ก็ไม่ปาน "" ข้าสามารถช่วยท่านได้ " เด็กหนุ่มรีบตอบ " มากับข้าสิ ข้าสัญญาว่า แล้วท่านจะได้ดื่มให้สมกับความต้องการของท่านเลยที เดียว "


เด็กหนุ่มพาชายผู้นั้นเข้าไปที่ห้องใต้ดินของพระราชา และที่นั่นชายผู้กระหาย เปิดเหล้าองุ่นถังแล้วถังเล่า แล้วดื่มเข้าไปกระทั่งตัวเองรู้สึกปวดหลัง และก่อนที่ วันนั้นจะสิ้นสุดลง ห้องใต้ดินของพระราชาก็อยู่ในสภาพที่ว่างเปล่า... และเมื่อพระราชาและทหารมหาดเล็กทั้งหลายมองเห็นก็รู้สึกพิศวงมาก และพระองค์ ไม่อาจที่จะปฏิเสธที่จะยกพระธิดาให้เขา พระองค์ทรงตรัสว่า " ช่างไปหาคนแบบนี้มาจน ได้นะเจ้าหนุ่มน้อย โฮ..โฮ...มหัศจรรย์มากถูกใจข้าเสียจริง ๆ ตกลงเราเต็มใจที่จะให้เจ้า อภิเสกสมรสกับเจ้าหญิงธิดาของเราได้แล้วตามสัญญา "


ดังนั้นจึงมีการเฉลิมฉลองงานสมรสอย่างยิ่งใหญ่ และหลังจากพระราชาสิ้นพระชนม์ เจ้าคนตัดไม้ธรรมดาสามัญก็ได้ขึ้นครองราชเป็นพระราชา และปกครองพระราชอาณาจักร สืบต่อไป...เรื่องจึงเอวังแต่กาลละฉะนี้...ว่าอย่างนั้น

1 ความคิดเห็น: