++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ได้เวลา...กินเปลี่ยนโลก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


ในช่วงปีที่ผ่านมา คนไทยแทบทุกคนคงเจอกับความรู้สึกของคำว่า
"วิกฤต" มาด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตด้านเศรษฐกิจ วิกฤตการเงิน
ข้าวของขึ้นราคา วิกฤตในเรื่องของพลังงาน
ที่น้ำมันถีบตัวสูงขึ้นอยู่พักใหญ่ จนถึงวิกฤตสังคมการเมือง

...ทั้งหมดที่กล่าวมาถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการใช้ชีวิตซึ่งกระทบไปยังทุกส่วนตั้งแต่คนระดับชาวบ้านรากหญ้า
จนถึงชนชั้นสูง



กิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา
และหากกล่าวถึง "อาหาร"
คงเป็นเรื่องตลกหากจะบอกว่ามันกำลังเข้าขั้นวิกฤตเช่นกัน แต่สำหรับ
กิ่งกร นรินทรกุล ณ อยุธยา รองผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี
กลับไม่มองเช่นนั้นโดยให้คำอธิบายว่า
คนไทยไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าอาหารเกิดภาวะวิกฤตขึ้น
เพราะปกติเมื่อพูดถึงเรื่องของอาหารการกินหลายคนจะนึกไม่ออกว่า
อะไรที่เรียกว่าเป็นวิกฤต?...

** "อาหาร" กับวิกฤตที่คาดไม่ถึง
"ก็ ในเมื่อเมืองไทยเป็นเมืองที่ไม่เคยขาดแคลนอาหาร
มีความอุดมสมบูรณ์ ไม่เคยประสบกับปัญหาผู้คนอดอยาก หิวโหย
อาหารมีการแบ่งปันกันอย่างเพียงพอ
เมื่อมองในภาพนี้เรื่องของความขาดแคลนจึงเป็นประเด็นที่ไม่มีใครคาดคิด
แต่ทุกวันนี้เราคงต้องตอบคำถามกับตัวเองด้วยว่าในเมื่อมีของกินอย่างอุดม
สมบูรณ์ แต่เรามีสิทธิเลือกกินของดีๆ ที่มีคุณภาพได้จริงๆ
หรือไม่?...ประเด็นนี้ต่างหากที่ถือเป็นวิกฤต" กิ่งกร เปิดประเด็น

ด้วยการเห็นความสำคัญในสิทธิการเลือกกินอาหารของผู้บริโภค
"โครงการกินเปลี่ยนโลก" จึงถือกำเนิดขึ้น
โดยความร่วมมือกันของมูลนิธิชีววิถี, เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือก,
ชุมชนคนรักป่า, และสถาบันต้นกล้า

กิ่งกร เอง ซึ่งรับหน้าที่ในการเป็นผู้ประสานงานโครงการ
ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดของการถูกลิดรอนสิทธิในการเลือกกินของคนไทย
คือ การกินไก่ โดยที่ผลการวิจัยบ่งบอกชัดว่า คนไทยกินไก่ 13
กิโลกรัม/คน/ปี ซึ่งถือเป็นปริมาณที่มาก ขณะที่ไก่มีล้นตลาด ราคาถูก
แต่รสชาติที่ได้รับบอกได้เลยว่าเหมือนกิน "กระดาษทิชชู"
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะการเลี้ยงห่างจากความเป็นธรรมชาติ
คนไทยกำลังเผชิญอยู่กับอาหาร 2 ระบบ คือ 1.อาหารที่ผู้ผลิตใช้ธรรมชาติ
นั่นหมายถึงผู้ผลิตรายย่อย 2.ผู้ผลิตที่ดัดแปลงธรรมชาติ ใช้สารเคมี
ใช้ยาเร่งการเจริญเติบโต คือ การผลิตด้วยระบบอุตสาหกรรม
ซึ่งเป็นสิ่งที่เรากำลังเผชิญ ส่งผลให้ผู้ผลิตรายย่อย
เริ่มล้มหายตายจากไป การผลิตอาหารที่มีความหลากหลายหมดไป
ผู้บริโภคเองจึงต้องยอมรับสิ่งที่ถูกยัดเยียดให้กินเสมอมา

ไก่ที่ปัจจุบันรสชาติแทบไม่ต่างอะไรกับทิชชู่
"ผู้ผลิตรายย่อยมีเงื่อนไขการผลิตที่หลากหลาย พึ่งธรรมชาติ
ขั้นตอนไม่ซับซ้อน ผ่านกระบวนการของเครื่องจักรน้อย
แต่เป็นระบบที่ง่อนแง่นเต็มทน เข้าขั้นวิกฤตได้เลย
ผิดกับระบบอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เน้นจำนวนการผลิต
หยอดอาหาร ยา สารเคมีเพื่อเร่งฮอร์โมน ให้มีขนาดใหญ่ เนื้อเยอะ
มุ่งหวังเม็ดเงินมหาศาล ส่งผลให้รสชาติไม่มีความเป็นธรรมชาติ"

"นอก จากนี้
การผลิตในระบบอุตสาหกรรมยังเบียดเบียนอาหารตามฤดูกาลอีกด้วย เช่น
ผลไม้บางชนิดที่อดีตจะมีให้กินเฉพาะฤดูกาลเท่านั้น แต่ปัจจุบันหลายๆ
ชนิดมีให้กินแทบทั้งปี อย่างมะม่วง ลำไย ทุเรียน
โดยความแตกต่างในเรื่องรสชาติจะชัดเจนที่สุดเพราะหากเป็นของที่เกิดขึ้นตาม
ฤดูกาลจะหวาน อร่อยกว่าของที่ต้องบ่ม เร่งให้สุก
ทั้งนี้การที่เรามีผลไม้ให้กินทั้งปีอย่างน่าแปลกใจ
ฟังดูเหมือนชีวิตจะดีขึ้น
จนลืมนึกไปด้วยว่าระบบการผลิตอย่างนี้ทำให้เราเกิดความเคยชิน
ไม่รู้ว่ากำลังกินของที่ผิดเพี้ยนไปจากธรรมชาติ" กิ่งกร ฉายภาพ

ผักพื้นบ้านที่กำลังถูกมองข้าม
** คิดก่อนกิน แนวทาง "กินเปลี่ยนโลก"
กิ่งกร บอกต่อไปด้วยว่า
การถูกทำให้เชื่อว่ามีแต่ของเพียงอย่างเดียว
เจ้าเดียวเท่านั้นที่ต้องเลือกกิน
ก็กลายเป็นวิกฤตอาหารอีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน
ผู้บริโภคเองเกิดความเคยชินเมื่อนึกอยากจะกินก็เพียงเดินเข้าร้านสะดวกซื้อ
ห้างสรรพสินค้า หยิบอาหารมาเป็นกล่อง เป็นแพ็ค ถึงบ้านก็เอาใส่ไมโครเวฟ
กินได้อย่างสะดวก รวดเร็ว นี่คือ ทางออกของนักบริโภคในปัจจุบัน
โดยที่ทางเลือกในการกินอาหาร
ต้องตกอยู่ในการควบคุมของผู้ผลิตรายใหญ่เพียงไม่กี่ราย
ต้องกินในสิ่งที่เขานำมาป้อนสู้ตลาดเพียงอย่างเดียวไม่มีทางเลือกอื่น

แต่ความจริงแล้วก็ยังมีผู้ผลิตรายเล็กรายน้อยที่หลงเหลืออยู่เช่นกัน
ถึงแม้จะไม่มากก็ตาม
เพราะของพื้นบ้านโดยผู้ผลิตรายย่อยนั้นผู้บริโภคสามารถรู้ถึงที่มาของการ
ผลิต ผิดกับระบบอุตสาหกรรม ที่ผลิตอย่างลับหูลับตา
ไม่สามารถรู้ถึงที่มาของอาหารได้เลย ต่อไปจะทำให้ทั้งผู้ผลิต
และผู้บริโภคไม่รู้จักกัน
อาหารที่กินก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเครื่องจักรเท่านั้น

การเกษตรตามชนบทยังคงไว้ซึ่งความเป็นธรรมชาติอยู่มาก
"สิ่งที่โครงการ กินเปลี่ยนโลกพยายามทำให้เกิดขึ้นคือ
การออกมารณรงค์ให้ผู้บริโภคเลือกกินอย่างถูกต้อง ปรับวิธีการกิน
เริ่มต้นคิดสักนิดก่อนจะกิน ตั้งคำถามถึงที่มาของอาหาร
เพราะเรารู้สึกว่าหากผู้บริโภคช่วยกันตั้งคำถามมากๆ อะไรๆ
ก็นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงได้ เช่น การเอ่ยปากถามแม่ค้าในตลาด
หรือในซูเปอร์มาร์เก็ตว่า มีของชนิดอื่นให้กินอีกมั้ย?
ผักที่ขายปลอดสารพิษหรือไม่? นอกจากไก่ชนิดนี้แล้วมีไก่บ้านขายหรือเปล่า?
เป็นต้น หากคำถามเช่นนี้ถูกถามถึงบ่อยๆ
แล้วคนขายจะไม่พยายามสนองตอบความต้องการของผู้บริโภคเลยหรืออย่างไร
เราต้องปฏิบัติการอย่างจริงจัง"

"ที่ผ่านมา เราส่งเสริมให้ชาวบ้านต่างจังหวัด
ช่วยกันรักษาพันธุกรรมพื้นบ้าน พันธุ์ผัก ผลไม้ หมู ไก่พื้นบ้าน
แต่ก็เป็นเพียงผลผลิตที่มีกินแค่ในหมู่บ้านเท่านั้น
เนื่องจากผลิตออกมาแล้วไม่มีตลาดรองรับ
เพราะตลาดส่วนใหญ่ตั้งขึ้นเพื่อรับการผลิตระบบอุตสาหกรรมเท่านั้น ชาวบ้าน
ผู้ผลิตรายย่อย จึงต้องหันไปเลี้ยงสัตว์ ปลูกพืชผัก
ผลไม้แบบอุตสาหกรรมถึงจะได้ขาย ผู้ผลิตรายย่อยจึงถูกกลืนหายไป
ส่วนผู้ที่รับผลนี้ไปเต็มๆ คือคนเมืองหลวง คนรุ่นใหม่
นี่เองที่อาการหนักสุด เพราะไม่มีโอกาสได้เข้าถึงของดีๆ มีประโยชน์เลย"
ผู้ประสานงานโครงการสะท้อน

ซื้อของตลาดสดอาจช่วยลดวิกฤตอาหาร?
** จู้จี้เรื่องกินสักนิด พาพ้นวิกฤตอาหาร
สำหรับความคาดหวังต่อโครงการกินเปลี่ยนโลกนั้น กิ่งกรบอกว่า
ตอนนี้มีคนเริ่มตระหนักมากขึ้น
โดยคนที่เริ่มหันมาสนใจเรื่องนี้ส่วนใหญ่คือผู้ที่ห่วงใยสุขภาพ
ทำให้มีความรู้ในการพยายามเสาะแสวงหาของกินดีๆ มีประโยชน์
แต่ก็ยังติดข้อจำกัดอยู่ที่เรื่องของตลาด เพราะอาหารเพื่อสุขภาพจริงๆ
จะหากินยากและจัดอยู่ในตลาดของคนที่พอมีฐานะ สิ่งที่อยากเห็นคือของดีๆ
ไม่จำเป็นต้องมีไว้เฉพาะคนมีเงินเท่านั้น คนที่เดินดิน
กินข้าวแกงก็ควรมีโอกาสได้กินอาหารเพื่อสุขภาพด้วยเช่นกัน

อาหารพื้นบ้านที่เต็มไปด้วยคุณประโยชน์
ดังนั้น จึงอยากให้เรื่องนี้ถูกเปิดเป็นประเด็นสาธารณะเพื่อให้คนออกมาตระหนักถึง
วิกฤตอาหาร ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้
ทางโครงการได้เปิดรับสมัครอาสาสมัครให้เข้ามาเรียนรู้
เพื่อนำกระบวนการไปเปลี่ยนความคิดคนรอบตัว ให้เข้าใจถึงวิกฤตที่เกิดขึ้น
เติมความรู้เพื่อให้ผู้บริโภคเลือกเป็นและสร้างทางเลือกให้แก่ตัวเองได้
ผู้บริโภคเองต้องลุกขึ้นมาบอกได้ว่า จะเลือกอาหารที่มาจากอุตสาหกรรม
หรือจากระบบผู้ผลิตรายย่อย เมื่อผู้บริโภคเริ่มมีความตระหนัก
เริ่มมีแนวคิดแล้ว พฤติกรรมง่ายๆ ที่สามารถทำได้ทันทีคือ
การไม่สนับสนุนการผูกขาดสินค้า เลือกหาซื้อสินค้า อาหาร
จากแม่ค้ารายเล็กรายน้อย หาเวลาเดินตลาดสดแทนการเดินห้างสรรพสินค้า
เป็นสิ่งที่ต้องพยายามเรียกร้องให้คนเริ่มคิดให้มากยิ่งขึ้น

"เรา อย่ามักง่าย อย่ารีบ คิดเสาะแสวงหาของดีๆ
ให้เรื่องมากกับการกินเป็นพิเศษ
เพราะเรื่องกินยังถือเป็นเรื่องใหญ่ของคนไทยเสมอมา
ดังนั้นเราต้องสร้างทางเลือกนั้นให้เกิดขึ้น
การที่จะขยายทางเลือกก็ต้องอยู่ที่ผู้บริโภคเองที่ต้องออกมาสร้างปฏิบัติการ
ให้เกิดเป็นผู้บริโภคที่จู้จี้เรื่องกินด้วยเช่นกัน
สิ่งนี้จะช่วยกระตุ้นตลาด ส่งผลดีต่อผู้ผลิตรายย่อย ที่สำคัญที่สุด คือ
ตัวเองได้รับประโยชน์ไปเต็มๆ" รอง ผอ.มูลนิธิชีววิถี ทิ้งท้าย

http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000053477

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น