++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

อย่าแยกในหลวงออกจากประชาชน !

โดย คำนูณ สิทธิสมาน

มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมฟังแล้วไม่ค่อยสบายใจ ไม่พูดไม่เขียน ณ
ที่นี้เห็นจะไม่ได้ เพราะเดี๋ยวจะก่อให้เกิด "มายาคติ"
เรื่องใหม่ขึ้นมาในสังคมไทย
คือการกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ในทำนองที่ว่าเราต้องหยุดยั้งการกระทำ
และคำพูดที่เป็นการจาบจ้วงล่วงละเมิด
ในขณะเดียวกันก็ต้องหยุดอ้างอิงหรือหยุดการใช้เป็นข้ออ้างเพื่อประโยชน์ทาง
การเมืองด้วย

เรื่องหยุด "อ้างอิง" หรือหยุด "ใช้เป็นข้ออ้าง"
นี่แหละที่เป็นประเด็นสำคัญ

เพราะแม้แต่นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็ยังใช้ประโยคนี้ !

เหมือนจะเกรงกลัวการกล่าวหาโจมตีด้วยข้อหา 2
มาตรฐานหรือดับเบิ้ลสแตนดาร์ด ก็เลยพยายามจะเป็นกลางกันจนตัวลีบ

พูดออกมาแล้วดูเท่ดูเก๋และดูเป็นกลางดี แต่ในทางความเป็นจริง
การพูดออกมาเช่นนี้ก็เหมือนกับสื่อให้ประชาชนเห็นว่ามีคนพวกหนึ่งกระทำการ
จาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ กระทั่งพยายามโค่นล้ม
แต่ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มักจะหยิบยกประเด็นจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันพระมหา
กษัตริย์มาเป็นเป้าหมายในการเคลื่อนไหวทางการเมือง

คนกลุ่มหลังนี้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยดูจะตกเป็นเป้า

โดยเฉพาะคุณสนธิ ลิ้มทองกุลผู้ริเริ่มสวมเสื้อสีเหลืองสกรีนคำ
"เราจะสู้เพื่อในหลวง" ตั้งแต่เมื่อเดือนกันยายน 2548

รวมทั้งผม ที่อภิปรายในสภานิติบัญญัติไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง,
ในวุฒิสภาอีกอย่างน้อย 1 ครั้ง --
โดยเป็นญัตติขอให้วุฒิสภามีมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาติดตามการ
บังคับใช้กฎหมายและมาตรการในการพิทักษ์สถาบันพระมหากษัตริย์, พูดใน ASTV
นับครั้งไม่ถ้วน ไม่นับการเขียน ณ พื้นที่นี้มากกว่า 3 ครั้ง

คนผู้มีภาพใกล้ชิดกับราชสำนักบางคนพยายามสื่อว่าการพูดถึงพระเจ้าอยู่หัวนั้นไม่บังควร

ข้อหานี้ถูกนำมาใช้ตั้งแต่ครั้งที่
อ.ส.ม.ท.บอกเลิกรายการเมืองไทยรายสัปดาห์เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2548
แล้ว !

คนผู้มีภาพใกล้ชิดกับราชสำนักคนนั้นยอมรับว่าพระราชอำนาจของพระมหา
กษัตริย์นั้นมีอยู่จริง มีทั้งที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
และที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่อยู่ภายในเงื่อนไข 2 ประการ หนึ่ง
เป็นเรื่องภายในระหว่างรัฐบาลกับพระมหากษัตริย์ และสอง
โดยธรรมเนียมประเพณี ไม่ว่าของประเทศไทยหรือประเทศอังกฤษ
เป็นเรื่องที่ทั้งรัฐบาลและพระมหากษัตริย์จะต้องไม่เปิดเผย
ซึ่งหมายความว่าบุคคลอื่นก็ไม่ควรกล่าวอ้าง

คนผู้มีภาพใกล้ชิดกับราชสำนักคนนั้นยังบอกอีกว่าสิ่งที่คุณสนธิ
ลิ้มทองกุลพูดในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์นั้นไม่จริง
แต่ตัวเธอก็ไม่อยู่ในฐานะซึ่งจะบอกรายละเอียดทั้งหมด
เพราะมันผิดธรรมเนียมราชเสวกที่ดี
หรือเป็นข้าราชการและคนที่มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ในระบอบ
ประชาธิปไตยจะพึงกระทำ

ไอ้คำว่า "ผิดธรรมเนียม" และ
"คนที่มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยจะพึงกระทำ"
นี่แหละครับคือประเด็น !!

ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมว่ามีส.ส.พรรคเพื่อไทยคนหนึ่งเสนอร่างพระราช
บัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มีเนื้อหาสาระว่า
ใครที่รู้ถึงเหตุกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
แล้วออกมาพูดจาเผยแพร่ต่อสาธารณะก่อนโดยยังไม่มีการนำไปแจ้งความ
ให้ถือว่ามีความผิดเฉกเช่นผู้กระทำความผิดตามมาตรา 112
ต้องระวางโทษเท่ากัน

จริง ๆ ก่อนหน้าจะมีการเสนอแก้ไขกฎหมายที่ว่านี้ คุณสนธิ
ลิ้มทองกุลก็เคยถูกแจ้งความดำเนินคดีมาแล้ว 2 คดี หลุดไปแล้วหนึ่ง
ยังเหลืออีกหนึ่ง

ผมเองจากข้อเขียนบทท้าย ๆ ในหนังสือ "ปรากฏการณ์สนธิ :
จากเสื้อสีเหลืองถึงผ้าพันคอสีฟ้า" ก็มีคนไปแจ้งความไว้ที่สน.ดุสิต

การอ้างอิงสถาบันฯรวมทั้งใช้สถาบันเป็นเหตุผลในการเคลื่อนไหวทางการเมืองนั้นไม่เหมาะสมแน่นอน

แต่ต้องตีกรอบคำว่า "อ้างอิง" และ "ใช้เป็นข้ออ้าง" ให้ชัด !

มิฉะนั้นจะกลายเป็นการปิดปากผู้จงรักภักดีและรู้เห็นการกระทำที่เป็นการทำลายสถาบันฯไป
!!

คน หูไวตาไวเห็นโจรานุโจรกำลังตระเตรียมอาวุธรวมตัวกันจะเข้าปล้นบ้านแล้วร้อง
ตะโกนบอกคนอื่นให้ร่วมกันปกป้องต่อสู้ แตกต่างกับ "เด็กเลี้ยงแกะ" นะ

ต้องจำแนกแยกแยะอย่าเหมารวมไปหมด !

เราไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับแนวคิดที่เห็นว่าการกล่าวถึงพระเจ้าอยู่หัวเป็นสิ่งมิบังควร

ผมไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการยึดหลักตายตัวว่าการใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทย
เป็นเรื่องภายในกับรัฐบาลเท่านั้น

โดยหลักการแล้ว
ระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภาของตะวันตกนั้นเกิดจากการใช้กำลังบังคับพระมหา
กษัตริย์ และมีวิวัฒนาการมายาวนานจนก่อให้เกิดวัฒนธรรมประชาธิปไตยในระดับสำคัญ
ต่างกับระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภาในประเทศไทยที่เกิดจากการยินยอมพร้อมสละ
พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ให้แก่ประชาชน
แม้คณะราษฎรผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ยอมรับในข้อนี้

ระบอบประชาธิปไตยในประเทศไทยเพิ่งมีวิวัฒนาการมาเพียงเกือบจะ 77
ปีเท่านั้น กว่าครึ่งหนึ่งตกอยู่ภายใต้ระบบเผด็จการทหาร
วัฒนธรรมประชาธิปไตยยังไม่เกิดขึ้นสมบูรณ์
สำนึกประชาธิปไตยของประชาชนยังไม่เกิดขึ้นสมบูรณ์
การเลือกตั้งโดยภาพรวมแล้วไม่อาจกล่าวได้ว่าสะท้อนความต้องการที่แท้จริงของ
สังคมไทย ไม่อาจกล่าวได้ว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งสะท้อนความเป็นตัวแทนของ
ประชาชนได้โดยบริสุทธิ์ยุติธรรม

หลักนิติธรรมทางรัฐธรรมนูญของประเทศไทยในส่วนพระมหากษัตริย์ก็แตกต่างกับประเทศอื่น

การกระทำใด ๆ
ที่มีแนวโน้มไปในทางพยายามแยกพระมหากษัตริย์ไทยออกจากประชาชนของพระองค์จึงมิบังควร

รวมทั้งการเสนอหลักการในทำนองที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้ว่าประชาชนไม่ควรพูดถึงพระมหากษัตริย์
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด

และอีกหลักการหนึ่งที่ว่าการใช้พระราชอำนาจเป็นเรื่องระหว่างพระองค์กับรัฐบาลเท่านั้น

3 ปีที่ผ่านมานี้ หากคนไทยทุกคน -
รวมทั้งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย - ยึดมั่นในหลักการที่ว่า
"ประชาชนไม่ควรพูดถึงพระมหากษัตริย์",
"การใช้พระราชอำนาจเป็นเรื่องระหว่างพระองค์กับรัฐบาล" และ
"การใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์เป็นเรื่องภายในระหว่างพระองค์กับ
รัฐบาล จะเปิดเผยมิได้" ว่าเป็นสัจธรรมที่ถูกต้องที่สุดแล้วละก็...

ผมคงไม่ต้องพูดว่าสถานการณ์บ้านเมืองเราจะเป็นอย่างไร

นายกฯอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะท่านใช้ถ้อยคำอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงข้อหาดับ
เบิ้ลสแตนดาร์ดนั้นเข้าใจได้ครับ ไม่ด่วนว่าอะไรท่านมากไปกว่านี้

แต่อย่า "เกร็ง" เสียจนกลายเป็นพวกลัทธิเป็นกลางลัทธิสมานฉันท์ดาด
ๆ จนเสียงานใหญ่ก็แล้วกัน


ที่มา http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000051918

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น