++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

จะพูดกันให้รู้เรื่อง หรือจะฆ่ากันต่อให้เลือดนองแผ่นดิน

โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ


ผมอยากให้ท่านผู้อ่านช่วยกันถามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคเพื่อไทย
และส.ส.พรรคอื่นใดก็ได้รวมทั้งเสนาะ
เทียนทองที่แปรพักตร์แต่ไม่ยอมกลายพันธุ์จากไทยลักไทย

ถามว่า พวกเขาจะมีปัญญา สมาธิ
และความกล้าหาญพอที่จะพูดกันให้รู้เรื่องสมกับความเป็นคนไทยในยามวิกฤตหรือ
ไม่ เรื่องคนไทยกลายเป็นคนป่าเที่ยวห้ำหั่นฆ่าฟันกัน
ทำลายภาพลักษณ์ประเทศ ล้มการประชุมสุดยอดคุกคามชีวิตนายกฯ
และเลขาธิการนายกฯ ปิดทางจราจรกั้นอนุสาวรีย์ชัย
ก่อจลาจลทำลายชีวิตชาวบ้าน และเกือบจะเผาผลาญกรุงเทพฯ
และชีวิตคนไทยนับไม่ถ้วนโดยระเบิดรถบรรทุกแก๊ส เป็นต้น
มีมูลเหตุเกี่ยวพันกับการที่พวกเขาและทักษิณติดยึดและดื้อดึงต้องการนิรโทษ
กรรม กลับมามีอำนาจใช่หรือไม่

ถ้าพวกเขาตอบว่ารู้แล้ว บัดนี้พวกเขาหูตาสว่างแล้ว
ลำพังแต่พวกเขาที่เหลืออยู่ไม่มีปัญญาจะรับใช้บ้านเมืองได้เลยรึไง
หากไม่มีทักษิณกับนักโทษ 111+109 แล้ว
บ้านเมืองจะฉิบหายวายป่วงจริงก็ให้มันรู้ไป
เขาจะบอกทักษิณกับเดนการเมืองพวกนั้นเองว่า หยุดได้แล้ว

แต่ความหวังเรื่องนี้ผมว่าชาติหน้าตอนบ่ายๆ
เพราะพฤติกรรมอย่างต่อเนื่องของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่วันที่
7-14 เมษายน 2552 นี้ได้ประจานตนเองจนล่อนจ้อนแล้ว ว่าต้องทำตามคำสั่ง
ไม่ได้ด้วยเล่ห์เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์เอาด้วยคาถา
ไม่ได้ด้วยศรัทธาเอาด้วยหลอกลวงโกหก บ้านเมืองจะเสียหาย ผู้คนจะล้มตาย
เศรษฐกิจจะล้มละลาย ช่างหัวมัน

ที่ น่าทุเรศที่สุด และพรรคประชาธิปัตย์ขานรับ
โดยจะหวังอย่างสุจริตใจหรือจะซื้อเวลาก็มิทราบ ก็คือ
การแต่งตั้งคณะกรรมการโดยนายชัย ชิดชอบ 2 คณะ คือ
คณะกรรมการการตรวจสอบข้อเท็จจริง เหตุการณ์การเมืองระหว่างวันที่ 8-15
เมษายน และคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ผมเขียนถึงสภาผู้แทนฯ ชุดนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ล่าสุดใน
ASTVผจก.และผจก.ออนไลน์อีก ดังนี้ สภาจกเปรต (22 มี.ค.) สภาผู้แทนในฝัน
(26 , 29 มี.ค. 26, 30 เม.ย.) ปลดล็อก 111 ศพ (23 เม.ย.) สรุปรวมความว่า
สังคมไทยหวังอะไรกับสภาผู้แทนฯ นี้ไม่ได้

สภาผู้แทนฯ ชุดนี้มีปัญหาหลักในด้านโครงสร้าง องค์ประกอบ
และพฤติกรรม โดยย่อดังต่อไปนี้

ยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์ที่มีสภาพเป็นพรรคการเมืองครึ่งเป็นแก๊งเลือกตั้ง
ครึ่ง ทุกพรรคเป็นแก๊งเลือกตั้งที่ตั้งขึ้นมาเพื่อรับใช้หัวหน้า
หรือเพื่อขายตัวขายหัวพรรคทั้งหมด
ถึงแม้จะเคยรวมตัวกันอยู่ภายใต้ไทยลักไทย แต่สภาพก็เป็นเพียง
"คนคุกบรรดาศักดิ์" อย่างที่ เสนาะ เทียนทอง บอก
ซ้ำร้ายพรรคเหล่านี้เมื่อตั้งขึ้นหรือเปลี่ยนทะเบียนใหม่
ไม่มีพรรคใดปฏิบัติครบขั้นตอนของกฎหมายว่าด้วยพรรค
ในเรื่องที่มิได้ยกเว้นไว้ในบทเฉพาะกาล เช่น
เรื่องที่ว่าด้วยการรับบุคคลเข้าเป็นสมาชิกหรือส่งให้เข้าสมัครรับเลือกตั้ง
การหย่อนความสามารถและบกพร่องในหน้าที่ของ กกต.
เท่านั้นที่ช่วยให้แก๊งเหล่านี้
ดูเหมือนจะมีสภาพเป็นพรรคการเมืองขึ้นมาได้

ผมได้เตือนไว้แล้วว่าหากรีบเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2551
แทนที่จะเลื่อนให้พรรคต่างๆ จัดสภาพให้เรียบร้อย
จะเกิดคดีความและการต่อสู้ระหว่างพรรค
การกระทำผิดกฎหมายล่อแหลมต่อการถูกยุบพรรค
การเติมเชื้อเพลิงให้เกิดการต่อสู้กันระหว่างพรรค
โดยกลุ่มในระบอบทักษิณจะต่อสู้ทุกวิถีทางเพื่อปลดปล่อยตนเองให้หลุดพ้นความ
ผิด อันจะนำไปสู่การต่อสู้เผชิญหน้ากันอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเกิดสงครามกลาง
เมือง

นอกจากนั้น พรรคการเมืองบรรดาที่แปรสภาพมาจากไทยลักไทย ทั้งๆ
ที่มีเสียงข้างมาก และจัดตั้งรัฐบาลถึง 2 รัฐบาลคือ สมัคร และสมชาย
แต่พรรคการเมืองดังกล่าวซึ่งมีเสียงข้างมากโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
"พลังประชาชน" ที่ถูกยุบเปลี่ยนหัวเป็น "เพื่อไทย"
มีพฤติกรรมที่ทำลายสถาบันนิติบัญญัติอย่างเป็นระบบดังนี้

1. สภามิได้ทำหน้าที่ควบคุมฝ่ายบริหารในการบริหารราชการแผ่นดินเลย
ดีแต่ทำตนเป็นเปรตขอส่วนบุญ แย่งกันแบ่งสรรตำแหน่ง งบประมาณละโครงการ

2. สภามิได้ทำหน้าที่นิติบัญญัติหรือการออกกฎหมายเลย
ในการประชุมสภาสมัยสามัญทั้ง 2 สมัย
สภาไม่ได้ผ่านพ.ร.บ.ใหม่ของตนเองหรือของรัฐบาลแม้แต่ฉบับเดียว

3. สภามิได้ทำหน้าที่ควบคุมฝ่ายบริหารในการปฏิบัติหน้าที่ระหว่างประเทศ
โดยปล่อยให้ฝ่ายบริหารไปลงนามข้อตกลง
ซึ่งศาลวินิจฉัยว่ามีลักษณะเป็นสนธิสัญญาต้องผ่านความเห็นชอบสภาเสียก่อน
การลงนามกับเขมรอาจทำให้ประเทศเสียบูรณภาพเหนือดินแดนในกรณีเขาพระวิหาร

4. ที่สำคัญที่สุด
ส.ส.ของพรรคพลังประชาชนหรือเพื่อไทยและพรรคบริวารไม่รักษาความเป็นอิสระ
ทำตนเหนืออาณัติใดๆ กลับพากันวิ่งเต้นรับคำสั่งและเงินจากทักษิณ
กลับมาปลุกระดมเคลื่อนไหวเพื่อให้มีการแก้รัฐธรรมนูญเปิดทางให้ทักษิณกับ
เพื่อน 111 ศพ

5. ระบอบทักษิณก็ทิ้งไพ่ใบสุดท้ายระหว่างวันที่ 7 ถึง 14 เมษายน
2552 ประเทศไทยเกือบจะพังทั้งประเทศ
และแม้นายกรัฐมนตรีก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอด
แต่ผลที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้ามกับความหวังของระบอบทักษิณโดยสิ้นเชิง
ขณะนี้ขบวนการเสื้อแดงกำลังแพ้ในสมรภูมิสื่อและกับมวลชนทั่วโลกและทั่ว
ประเทศ

6. ในการต่อสู้ตามข้อ 5 นั้น
ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยจำนวนไม่น้อยได้ขึ้นเวทีปราศรัยกล่าวคำอาฆาตมาดร้ายยุยง
มวลชนให้ใช้กำลังฆ่าฟัน ทำลายล้างรัฐธรรมนูญ การปกครอง และรัฐบาลโดยกำลัง
ตลอดจนเข้านำมวลชนปิดถนน ปิดสะพานข้ามแดนระหว่างประเทศ
และบุกเข้ายึดโรงแรมทำลายการประชุมสุดยอดอาเซียน
ตลอดจนการก่อจลาจลทำลายทรัพย์สินและชีวิตประชาชน
อันเป็นความผิดทางอาญาร้ายแรงขึ้นไปจนถึงการเป็นกบฏ ซ้ำ
ส.ส.พรรคนี้ยังมาเปิดอภิปรายใส่ร้ายทหารและรัฐบาลด้วยการโกหกและสร้างข้อมูล
เท็จ ปลอมแปลงเอกสารและวัตถุพยานนานัปการ
นับเป็นจุดด่างและทำลายภาพลักษณ์ของสภาฯ
อย่างร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์

7. การจัดตั้ง 2
คณะกรรมการประกอบด้วยบุคคลดังกล่าวนี้จึงเป็นความสมยอมที่น่าอัปยศที่สุดของ
สภาฯ เป็นการแก้เกี้ยวตลบหลังและตลบตะแลง เพื่อจะทำให้เกิดการนิรโทษกรรม
สมานฉันท์และแก้รัฐธรรมนูญตามใบสั่งของทักษิณ เพื่อทักษิณ และซากศพ
111+109 อย่างแจ้งชัด โดยเอาความสามัคคีปรองดองในชาติมาอ้าง
ในขณะที่คนพวกนี้ขาดความชอบธรรม ขาดจริยธรรม และขาดข้ออ้างใดๆ
ทั้งสิ้นที่จะมาตั้งกรรมการ
มาเป็นกรรมการเหมือนกับโจรที่ไปปล้นฆ่าหรือข่มขืนลูกเมียเขา
แล้วกลับมาแอบอ้างศีลธรรม และอโหสิกรรมบังหน้า

8. สำหรับเหตุการณ์และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นระหว่าง 7-14 เมษายน
เป็นเรื่องสาหัสเกินกว่าที่รัฐบาลจะปัดความรับผิดชอบได้
แทนที่จะไปหลบซุกอยู่ในผ้าคลุมเปื้อนเลือดของสภาฯ
รัฐบาลจะต้องใช้อำนาจหน้าที่สืบสวนสอบสวนและจับบุคคลที่กระทำผิดมาลงโทษให้
ได้ ไม่ต้องคอยพึ่ง ชัย ชิดชอบ

9. จากพฤติกรรมทั้งหมดของ
ส.ส.กลุ่มใหญ่พรรคเพื่อไทยและการปลุกระดมในรูปแบบต่างๆ นอกสภาฯ
ดังที่ปรากฏโจ่งแจ้งแล้ว
กลลวงเรื่องการตั้งกรรมการจะมิใช่ความหวังครั้งสุดท้าย
ผมเชื่อว่าหลายคนในกลุ่มนี้มีจิตใจอำมหิต และอาจจะฝันเงียบๆ
คอยให้อะไรเกิดขึ้นก็ได้ที่จะทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุด
ลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 182 วงเล็บ (1) ผู้สนใจโปรดไปอ่านเอาเอง
เมื่อนั้นการซาวเสียงในสภาฯ
ครั้งใหม่จะทำให้การกลับมาของระบอบทักษิณมีโอกาสสูงยิ่ง

ทั้งหมดที่ผมพูดมานี้มีทางแก้ และสามารถทำได้ในสภาฯ เอง
ส.ส.ที่ดีๆ ของพรรคเพื่อไทยเองก็จะได้ประโยชน์ อานิสงส์จะตกทอดไปสู่ซากศพ
111+109 เป็นรายๆ ไป โดยไม่ต้องแก้รัฐธรรมนูญหรือนิรโทษกรรม นั่นก็คือ

(1) ให้ส.ส.นำมาตรา 271 และมาตรา 270 ในรธน.มาใช้เพื่อปลด
ส.ส.ที่ "จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย
หรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง" นั่นก็คือ
นิ้วไหนร้ายตัดทิ้งเสียเพื่อความอยู่รอดของสภาฯ และ

(2) แก้กฎหมายประกอบฯ เพื่อมิให้ผู้สมัครต้องสังกัดพรรค
ซึ่งจะนำไปสู่การแก้ รัฐธรรมนูญมาตรานั้นๆ
ซึ่งจะทำให้ข้ออ้างเรื่องการยุบพรรคตกไป วิญญาณของพวก 111+109
ก็อาจมีโอกาสไปผุดเกิด
โดยไม่ต้องมาหลอกหลอนทวงบุญคุณจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างคนในพรรค
เพื่อไทย

รายละเอียดเป็นอย่างไร ท่านผู้อ่านก็ช่วยกันคิดได้
หรือจะให้ผมอธิบายต่อก็ยินดี

ที่มา http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000051999

เราไม่เคยมีเวทีให้สองฝ่ายเผชิญหน้ากันด้วยเหตุผล ในรัฐสภาก็มีแต่นักพูด
นักประท้วงหรือไม่ก็นักยกมือ ปัญญามันไม่ถึง
มีน้อยครั้งที่มาออกทีวีร่วมกัน ในเวลาเดียวกัน
แต่ก็ส่วนมากเป็นเพียงนักวิชาการขาประจำ
พิธีกรก็ไม่สามารถคาดเค้นความจริงให้ออกมาได้

ที่ จริงบ่นไปก็ไร้ค่าเพราะฝ่ายนช.แม้วเองก็ไม่กล้าออกมาเผชิญหน้าอยู่แล้ว
มีแต่เห่าแล้ววิ่งหนี
หรอว่าเห่าแต่ในบ้านดังนั้นก็รอดูการนองเลือดในถนนต่อไป
เมื่ออีกฝ่ายมันไม่มีเหตุผลจริงๆ ก็ต้องใช้กลยุทธ์ เห่าแล้วหลบ
และเอาทรัพยากรมาปั่นมวลชนดีกว่า
เพื่อน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น