++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

การเมืองยังไม่นิ่ง

โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช

เราเคยมีความภูมิใจว่าคนไทยไม่ชอบความรุนแรง
แต่บัดนี้ได้เห็นกันอย่างโจ่งแจ้งแล้วว่า
การเมืองเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความรุนแรง ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม
2519 เราเห็นการที่ทหารและตำรวจใช้ความรุนแรงในการปราบปรามประชาชน
แต่ก็มีประชาชนได้รับการปลุกระดมเข้าร่วมด้วย

ในครั้งนั้นเป็นการต่อสู้ระหว่างคอมมิวนิสต์กับคนไทยทั่วไป
แต่ครั้งนี้ไม่มีเรื่องอุดมการณ์มาเกี่ยวข้อง ผู้มาชุมนุมเป็นผู้สนับสนุน
พ.ต.ท.ทักษิณ

ในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณนั้น
นอกจากพรรคการเมืองแล้วก็ยังมีการจัดตั้งแนวร่วมอย่างเอาจริงเอาจัง
แนวร่วมที่จัดตั้งมีทั้งในชนบทและในเมือง
ในชนบทมีการจัดตั้งทั้งในเขตเทศบาลและรอบนอก กลไกที่สำคัญคือวิทยุชุมชน
ส่วนในเมืองได้แก่คนในชุมชนแออัด และกลุ่มแท็กซี่

กลุ่มแท็กซี่เป็นกลไกในการเผยแพร่ข่าวสารที่ต้องการสื่อไปยังประชาชน
ทั่วไป แต่ที่น่าสังเกตก็คือ ทั้งทางวิทยุชุมชน
และแท็กซี่ได้มีการแพร่ข่าวและความคิดที่วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย

ดังนั้น การเคลื่อนไหวมวลชนในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ
จึงมีลักษณะแตกต่างไปจากการเคลื่อนไหวมวลชนทางการเมือง
เพราะมีมิติของการกระทบสถาบันพระมหากษัตริย์เข้ามาเกี่ยวด้วย

การปฏิรูปทางการเมืองที่พูดๆ กันอยู่
คงไม่กล้าพูดถึงสถาบันองคมนตรี และสถาบันพระมหากษัตริย์
แต่ในทางพฤติกรรมเราปฏิเสธไม่ได้ว่า
สถาบันพระมหากษัตริย์กำลังตกเป็นเป้าของการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

เหตุใดจึงมีความคิดเช่นนี้
ผมเคยได้ยินทัศนะเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับ
ประชาธิปไตยว่าจะเป็นไปในรูปใด
พ.ต.ท.ทักษิณเองในที่สุดก็ให้สัมภาษณ์พาดพิงบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ใน
สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง

การเมืองแบบมวลชนนำไปสู่การสร้างบารมีของผู้นำ
ในสังคมไทยนักการเมืองจะแสวงหาอำนาจอิทธิพลในระดับหนึ่งเท่านั้น
แต่จะไม่มุ่งยกระดับให้ตนเองเป็นผู้นำมวลชน
นโยบายประชานิยมเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความนิยมให้แก่ผู้นำ
และก็เป็นผล ประชาชนในต่างจังหวัดมีความนิยม พ.ต.ท.ทักษิณ มาก
เพราะการดำเนินนโยบายประชานิยม
ส่วนในเมืองกลุ่มแท็กซี่ก็ได้รับการช่วยเหลืออย่างไม่เคยได้รับมาก่อน

ไม่ว่าเราจะแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร
ความขัดแย้งทางการเมืองก็ยังจะรวมศูนย์อยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ
ซึ่งก้าวต่อไปก็คือ การต่อสู้จากภายนอก
แต่การตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นคงเป็นไปได้ยาก
เพราะพลาดโอกาสจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ไม่สามารถก่อให้เกิด
รัฐประหารได้ จึงต้องเปิดแนวรบภายในระบบรัฐสภาต่อไป

ผมไม่เห็นว่าการนิรโทษกรรมให้ผู้กระทำความผิดทางการเมือง
จะก่อให้เกิดความปรองดองในชาติได้อย่างไร
ความผิดทางการเมืองต่างจากความผิดทางอาญา
การมีโทษจึงเป็นการตัดสิทธิทางการเมืองซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นความผิดเฉพาะ
ตัวที่ตนเองเป็นผู้ก่อ แต่ถ้าคนในพรรคเป็นผู้กระทำ
พรรคก็ต้องรับผิดชอบด้วย นอกจากนั้น ความผิดนี้ก็เป็นที่รับรู้กันทั่วไป
และใช้บังคับกับทุกพรรคอย่างเสมอหน้ากัน

การนิรโทษกรรมไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ คงมีการประท้วงไม่เห็นด้วย
ในที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ก็จะต้องถอย
แม้ว่ามูลเหตุจูงใจในการรวมขั้วการเมืองใหม่จะเป็นการนิรโทษกรรมก็ตาม
ผู้นำพรรคประชาธิปัตย์มีความคิดแตกแยกเป็นสองฝ่าย
และนายอภิสิทธิ์เองก็ไม่เห็นด้วย

ปัญหาของการเมืองไทยที่จะบั่นทอนการพัฒนาประชาธิปไตยก็คือ
การเคลื่อนไหวนอกสภาซึ่งมีการจัดตั้ง
และการใช้สื่อตลอดจนการสร้างสถานการณ์สร้างข่าวเท็จบั่นทอนเสถียรภาพของ
รัฐบาล

กลุ่มพันธมิตรฯ มีความระมัดระวังรอบคอบ
และประเมินสถานการณ์ได้ถูกต้อง แม้ว่ากลุ่มพันธมิตรฯ
ยังไม่ตั้งพรรคการเมือง
แต่การจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่องก็เท่ากับเป็นการเตรียมความพร้อม
และการเทความสนับสนุนให้พรรคการเมืองพรรคหนึ่งพรรคใด
ก็มีความหมายมากสำหรับการเลือกตั้ง

หากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเปิดโอกาสให้มีการสมัคร
ส.ส.โดยไม่สังกัดพรรคได้ สมาชิกของกลุ่มพันธมิตรฯ
จำนวนหนึ่งก็คงลงสมัครเป็นผู้สมัครอิสระ
เท่ากับเป็นการบุกเบิกทางไปสู่การรวมตัวกันจัดตั้งพรรคการเมืองในอนาคต
แต่ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไปร่วมหอลงโรงกับพรรคร่วมรัฐบาลในการออก
พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
หรือมีบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการนิรโทษกรรมกลุ่มพันธมิตรฯ
ก็จะพบกับสถานการณ์กดดันให้ต้องตั้งพรรคการเมือง
เพราะจะต้องไม่สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์อีกต่อไป

จะ อย่างไรก็ตาม การเมืองไทยก็จะไม่นิ่งไปอีกนาน พ.ต.ท.ทักษิณ
ก็จะอาศัยระบบรัฐสภาสนับสนุนพรรคการเมืองของตนให้เอาชนะการเลือกตั้งอย่าง
เด็ดขาดให้ได้ ดังนั้น อย่าหวังเลยว่าเราจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ในระยะเวลา
2-3 ปีข้างหน้านี้

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000049539

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น