++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

วันพระพุทธเจ้า...บอกอะไรแก่มนุษย์?

โดย สิริอัญญา

วันวิสาขบูชากำลังจะมาถึงอีกครั้งหนึ่งแล้ว ในปีนี้จะตรงกับวันศุกร์ที่ 8
พฤษภาคม 2552 ซึ่งเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เป็นวันคล้ายวันประสูติ
ตรัสรู้ และปรินิพพานของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระบรมศาสดาของชาวพุทธ

ดังนั้นจึงเป็นอันว่าเทศกาลวิสาขบูชาก็มาถึงแล้ว
ในฐานะชาวพุทธจึงควรที่จะได้น้อมรำลึกถึงวันสำคัญนี้
เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการที่วันสำคัญเช่นนี้เวียนมาบรรจบครบรอบในอีกปี
หนึ่ง

และ ประโยชน์ที่ว่านี้ ความจริงก็มิได้มีเฉพาะแก่ชาวพุทธเท่านั้น
หากเผื่อแผ่กว้างออกไปถึงมวลมนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ศาสนา
หรือถิ่นฐานใด เพราะต่างก็เป็นผู้ที่ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งสิ้น

เมื่อมนุษย์เป็นเพื่อนผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้นแล้ว
ถึงแม้จะมีความต่างกันบ้างในเรื่องอื่นๆ ก็เป็นเรื่องเล็กๆ
เป็นเรื่องอดิเรก เป็นเรื่องปลีกย่อย
หาได้มีเนื้อหาหรือนัยสำคัญทางความเป็นจริงเลย
เป็นแค่สิ่งที่สมมติและยึดถือกันจนทำให้มองข้ามความสำคัญที่สุดของชีวิต
คือความเป็นเพื่อนผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งสิ้น

จึงควรที่เราท่านทั้งผองจะได้ทำใจน้อมรำลึกว่าวันสำคัญยิ่งใหญ่ที่ได้เวียนมาถึงนี้ได้บอกอะไร
และให้ประโยชน์อะไรแก่มวลมนุษย์บ้าง

เพราะเมื่อทราบและเข้าใจสิ่งที่วันสำคัญยิ่งใหญ่นี้ได้บอกกล่าวป่าว
ประกาศก้องไปทั้งโลก
และเห็นถึงประโยชน์อันยิ่งใหญ่ที่จะบังเกิดมีแก่ทุกชีวิตแล้ว
ก็ย่อมน้อมรับเอาประโยชน์นั้นมาไว้กับชีวิตของตน และผู้คนแวดล้อม
ตลอดจนสังคมหมู่มากได้อีกด้วย

วันวิสาขบูชาเป็นวันรำลึกถึงวันประสูติ ตรัสรู้
และปรินิพพานของพระตถาคตเจ้า
ซึ่งทั้งสามเหตุการณ์นี้ล้วนเกิดขึ้นในวันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 6
ในขณะที่พระจันทร์โคจรอยู่ในกลุ่มดาววิสาขะ จึงได้ชื่อว่าเป็นวันวิสาขะ
และวันวิสาขบูชาคือการบูชาเนื่องในวันวิสาขะนั้น

ชาว พุทธโดยทั่วไปถือกันว่าวันวิสาขะคือวันของพระพุทธเจ้า
เพราะเป็นวันที่ตรงกับวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน
ในขณะที่ถือกันว่าวันอาสาฬหบูชาคือวันของพระธรรม
เพราะเป็นวันที่พระบรมศาสดาประกาศพระธรรมเป็นครั้งแรกในโลก
และถือกันว่าวันมาฆบูชาคือวันของพระสงฆ์
เพราะเป็นวันที่พระบรมศาสดาทรงประชุมพระอรหันตสาวกครั้งใหญ่ในโพธิกาล
และประกาศโอวาทปาติโมกข์ตามประเพณีของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

ทุกปีย่อมมีวันวิสาขบูชาเวียนมาถึง ชาวพุทธต่างก็ทำบุญ ทำการกุศล
มีการให้ทาน ทำบุญตักบาตร ถือศีลและปฏิบัติธรรม
รวมทั้งการทำบุญตามประเพณี มีการเวียนเทียน เป็นต้น
ซึ่งถือว่าเป็นพิธีกรรมตามแบบปฏิบัติที่ถือกันมาแล้วก็ถือกันไป

แต่อย่างน้อยที่สุดพิธีกรรมเช่นนั้นก็มีส่วนช่วยในการทำให้คนละบาป
ห่างไกลจากบาป และถือศีลฟังธรรม ซึ่งถือว่าเป็นมงคลอย่างหนึ่งของชีวิต
ที่ย่อมยังประโยชน์แก่ผู้ประพฤติปฏิบัติโดยไม่เลือกหน้า

แท้ จริงแล้ว วันวิสาขบูชาซึ่งเป็นวันของพระพุทธเจ้านั้น
ได้บอกอะไรอีกหลายอย่างที่เราท่านมองข้ามกันไป ดังนั้นในมหามงคลสมัยนี้
จึงสมควรที่จะได้ตั้งใจสดับถึงความสำคัญที่วันวิสาขบูชาหรือวันของพระ
พุทธเจ้าที่ได้ป่าวประกาศบอกกล่าวแก่ชาวโลกสักครั้งหนึ่ง

วันของพระพุทธเจ้าได้บอกกล่าวอะไรแก่ชาวโลกบ้าง ที่สำคัญๆ
เห็นจะมีดังต่อไปนี้

ประการแรก
เป็นการประกาศแบบอย่างของความเสียสละที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์
ซึ่งถือกำเนิดมาในขัตติยะตระกูล
เป็นมกุฎราชกุมารที่มีโอกาสเสวยราชย์ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์
ในศากยวงศ์แห่งกรุงกบิลพัสดุ์
ที่ถือว่าเป็นสุดยอดของความเป็นปุถุชนผู้ยังคราคร่ำอยู่ด้วยกิเลส
แต่พระตถาคตเจ้าผู้ทรงเห็นภัยอันยิ่งใหญ่ของมวลมนุษย์คือความทุกข์
และปรารภที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้พ้นจากภัยอันยิ่งใหญ่นั้น
จึงทรงสละทุกสิ่งทุกอย่าง มีราชบัลลังก์ เป็นต้น เพื่อแสวงหาโมกข์ธรรม
อันจะช่วยให้มวลมนุษย์ล่วงพ้นจากความทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง

แล้วมนุษย์รุ่นหลังอย่างเราท่านซึ่งเป็นแค่ลูกหลานชาวบ้าน
ไฉนเล่าจึงไม่ดำเนินตามรอยพระบาทแห่งพระบรมศาสดา
ปรารภความเสียสละเพื่อประโยชน์และความสุขของชนหมู่มากในโลก
ซึ่งจะเป็นหนทางสร้างสันติและความเจริญรุ่งเรืองของมนุษยชาติ
ซ้ำร้ายผู้คนจำนวนหนึ่งไม่เพียงแต่ไม่น้อมนำความเสียสละให้บังเกิดในตน
กลับแสวงหากอบโกยเอาจากบ้านเกิดเมืองนอนและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
เหมือนกับคนบ้าหอบฟางที่ได้มากมีมากเท่าใดไม่รู้จักพอฉะนั้น

ประการที่สอง
เป็นการประกาศต่อชาวโลกตั้งแต่อดีตจวบปัจจุบันและอนาคตว่า
สรรพสิ่งหาจีรังยั่งยืนไม่ ย่อมผันแปรเปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่หยุดยั้ง
มีความเกิดขึ้นแล้ว ย่อมมีความเสื่อมและความดับไปเป็นธรรมดา
ไม่มีใครจะหลีกหนีล่วงพ้นกฎเกณฑ์นี้ไปได้เลย ไม่ว่าจะเป็นยาจกเข็ญใจ
หรือฐานะสูงส่งประการใด แม้กระทั่งพระผู้เป็นศาสดาเอกของโลก
ก็ย่อมอยู่ภายใต้สัจจะนี้ด้วยกันทั้งสิ้น

ตลอดพระชนมชีพของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ทรงตรัสสอนเป็นอันมากว่าสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน
สิ่งทั้งหลายมีความเกิดแล้ว
มีความเสื่อมไปและมีความดับเป็นที่สุดด้วยกันทั้งสิ้น
แม้พระองค์เองก็ทรงเป็นประจักษ์พยานแห่งธรรมสัจจะนี้ว่าแม้ทรงกำเนิดเป็น
มกุฎราชกุมารอันสูงส่ง ทรงตรัสรู้บรมธรรมอันประเสริฐของโลก
ในที่สุดก็ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน เช่นเดียวกับทุกสิ่งและทุกชีวิต

เมื่อเป็นเช่นนี้
ความจริงของโลกก็คือสรรพสิ่งไม่ใช่สิ่งอันควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวกู
ของกู ล้วนแต่มีความเป็นไปตามธรรมดาธรรมชาติของมันทั้งสิ้น
เมื่อเป็นดังนี้ก็จะเห็นถึงการสละละวางทำให้เกิดความเบาความสบาย
และถึงซึ่งความเป็นอิสระสูงสุด

ประการที่สาม เป็นการประกาศธรรมสัจจะต่อชาวโลกว่า
สิ่งที่ทุกชีวิตหรือมนุษย์พึงปรารถนา
อันมีชื่อสมมติว่าสุขหรือความสุขนั้น แท้จริงแล้วเป็นแค่สมมติ
ไม่มีความสุขที่แท้จริงอยู่เลย สิ่งที่มีอยู่จริงก็คือความทุกข์
แล้วทำอย่างไรมนุษย์จึงจะล่วงพ้นความทุกข์ได้เล่า

ความตรัสรู้ของพระองค์ได้ประกาศต่อชาวโลกว่าความจริงอันยิ่งมี 4
ประการ คือทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และหนทางแห่งความดับทุกข์
หรือหากกล่าวโดยย่อก็คือเรื่องทุกข์และความดับทุกข์นั่นเอง

ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์
ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ ความประสบกับสิ่งที่ไม่รักเป็นทุกข์
ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
ความโศกเศร้าอาดูรเหี่ยวแห้งใจก็เป็นทุกข์ โดยรวมก็คือขันธ์ 5
อันประกอบด้วยกายกับจิตนี้แหละเป็นตัวทุกข์หรือเป็นกองทุกข์

เมื่อจะล่วงพ้นทุกข์หรือดับทุกข์เสียให้สนิทสิ้นเชิงก็ต้องดับที่
ขันธ์ 5 นั่นแหละ
นั่นคือดับที่ความปล่อยปละละวางจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวงอย่างสิ้นเชิง
ก็จะถึงซึ่งความอิสระเสรีอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด

หน ทางแห่งความดับทุกข์สิ้นเชิงย่อมมีมรรควิถีดังที่ทรงประกาศแล้ว
คือความเห็นอันไกลจากกิเลส ความตั้งใจที่ไกลออกไปจากกิเลส
การพูดจาที่ไกลจากกิเลส การกระทำที่ไกลจากกิเลส การดำรงชีพที่ไกลจากกิเลส
ความพยายามเพื่อไกลจากกิเลส การมีสติที่ว่างจากกิเลส
และการมีจิตที่ตั้งมั่นโดยปราศจากกิเลส

อริยมรรคอันมีองค์ 8 ซึ่งขึ้นต้นด้วยคำว่า "สัมมา"
และนิยมแปลกันว่า "ชอบ" นั้น ในที่นี้ขอแปลโดยความหมายว่า "ไกลจากกิเลส"
ตามที่ศิษย์เอกของพระอาจารย์ชารูปหนึ่งได้แปลไว้
เพราะเห็นว่าจะช่วยให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนได้ง่ายขึ้น
ขอท่านผู้เคร่งครัดอยู่ในถ้อยคำภาษาได้กรุณายกโทษให้ด้วย

ประการที่สี่
เป็นการประกาศแบบอย่างของการตายอย่างมีสติสมบูรณ์ที่สุดต่อชาวโลก
เป็นการตายอย่างสงบ อย่างมีการวางแผนและอย่างควบคุมได้โดยสมบูรณ์
ไม่ใช่การตายแบบทุรนทุราย แบบวุ่นวายกระสับกระส่าย
หรือประกาศความทุกข์ทรมานที่ทำให้คนอื่นเป็นทุกข์ตามไปด้วย

ความตายของพระตถาคตเจ้าหรือที่เรียกว่าปรินิพพานนั้น
ทรงกำหนดวันเวลาและสถานที่ล่วงหน้า ทรงกำหนดการต่างๆ ไว้ล่วงหน้า
เป็นการตายอย่างเรียบง่ายที่สุด และเป็นธรรมชาติมากที่สุด คือบนผืนดิน
ใต้ต้นไม้ ในที่อันไม่มีการประดับประดาใดๆ

เป็นความตายที่เกิดขึ้นหลังจากภารกิจทั้งหลายหมดจดสิ้นเชิงแล้ว
ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
พุทธกิจที่ทรงอุบัติมาเป็นอันเสร็จสมบูรณ์แล้ว
พระธรรมคำสอนทรงประกาศบริสุทธิ์ บริบูรณ์แล้ว
พระธรรมวินัยทรงสถิตสถาพรแล้ว
และทรงประกาศให้พระธรรมวินัยเป็นศาสดาแทนพระองค์ หลังจากทรงปรินิพพานแล้ว

ทรง ทิ้งมรดกอันล้ำค่าไว้แก่มวลมนุษย์ด้วยปัจฉิมโอวาทว่า
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วย่อมเสื่อมและดับไปเป็นธรรมดา
พวกเธอจงถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด.


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000049554

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น