++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

นักการเมืองหรือรธน. : เหตุแห่งอนาธิปไตย

โดย สามารถ มังสัง

ในขณะที่ความแตกแยกทางการเมืองยังคงอยู่
และรอวันที่จะเกิดความรุนแรงขึ้นอีกครั้งได้ทุกเมื่อตราบเท่าที่ต้นเหตุแห่ง
ความแตกแยกยังคงอยู่ แนวคิดในการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อนิรโทษกรรมให้บุคคล
และกลุ่มบุคคลอันเป็นต้นเหตุแห่งความแตกแยกกำลังก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างภาย
ใต้ชื่อ กรรมการปรองดองและแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ตามที่ประธานรัฐสภาได้ดำริให้ตั้งขึ้นตามข้อเรียกร้องของ ส.ส.กลุ่มหนึ่ง

ถ้าดูผิวเผินเพียงชื่อ
โดยไม่ลงลึกถึงเจตนาที่ซ่อนเร้นในการเสนอตั้งกรรมการชุดนี้
ก็เชื่อได้ว่าผู้คนในสังคมที่ไม่ค่อยสนใจและใฝ่รู้ในเรื่องการเมืองมากนัก
ประกอบกับเป็นคนที่อยากเห็นบ้านเมืองสงบ
ก็คงจะเห็นด้วยกับการตั้งกรรมการชุดนี้

แต่ถ้าลงไปในรายละเอียดของเนื้อหาข้อเรียกร้องในการแก้รัฐธรรมนูญ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมาตรา 190 และ 237
แล้วก็ทำให้เกิดข้อกังขาในหลายประการ ซึ่งพออนุมานได้ดังต่อไปนี้

1. นับจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475
เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่มาแล้วหลายฉบับ
แต่ไม่ปรากฏว่าการเมืองไทยดีขึ้น ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ
ที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่เราลอกเลียนแบบอย่างแห่งการปกครองเขามา
อันได้แก่ ประเทศฝรั่งเศส และอังกฤษ
อันถือได้ว่าเป็นต้นแบบแห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
จึงเกิดข้อกังขาว่า ถ้ามีการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ในครั้งนี้แล้ว
ประเทศไทยจะประชาธิปไตยเพิ่มขึ้นจริงหรือ

2. รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ซึ่งมีผลบังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน
ถ้าดูโดยเนื้อแท้แล้วก็คืออนุบัญญัติหรือบัญญัติเพิ่มเติมของรัฐธรรมนูญปี
2540 ในส่วนที่เห็นว่าบกพร่อง
และเป็นช่องว่างให้นักการเมืองถือโอกาสหาประโยชน์ทางการเมืองได้

ดังนั้น การที่รัฐธรรมนูญไม่เปิดโอกาสให้นักการเมืองใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหา
ประโยชน์ทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมาตรา 190 และ 237
อันเป็นการปกป้องความเสียหายอันจะเกิดขึ้นแก่ประเทศชาติโดยรวม
ถือว่าไม่เป็นประชาธิปไตยหรือ

3. ถ้ามีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อนิรโทษกรรมให้นักการเมืองที่ต้องเว้นวรรคทาง
การเมืองตามมาตรา 237
และเปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องเว้นวรรคทางการเมืองลงสู่สนามเลือกตั้งได้ก่อน
กำหนด จะช่วยให้ประชาธิปไตยสมบูรณ์ขึ้นได้จริงหรือ

จากข้อกังขา 3 ข้อดังกล่าวข้างต้น
ในทัศนะส่วนตัวของผู้เขียนแล้วเห็นว่าไม่น่าจะช่วยให้ความเป็นประชาธิปไตยดี
ขึ้นด้วยการแก้รัฐธรรมนูญ ด้วยเหตุปัจจัยในเชิงตรรกะดังต่อไปนี้

1. กฎหมายรัฐธรรมนูญถึงแม้จะเป็นแม่บทให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยก้าวเดิน
ไปได้ แต่ก็มิได้หมายความว่าการมีรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาเป็นประชาธิปไตยอย่าง
สมบูรณ์เพียงอย่างเดียว
โดยไม่คำนึงถึงความมีธรรมาธิปไตยของนักการเมืองควบคู่ไปพร้อมๆ กัน
จะทำให้การปกครองมีความเป็นประชาธิปไตยได้อย่างสมบูรณ์

2. กฎหมายรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นจากการร่างของคน
ถ้าคนที่ทำการร่างกฎหมายไม่มีคุณธรรมกำกับในการร่างกฎหมาย
ก็จะให้ความมั่นใจไม่ได้ว่ากฎหมายที่ออกมามีผลบังคับใช้จะให้ความเป็นธรรม
แก่ผู้ที่อยู่ภายใต้กฎหมาย

3. ถึงแม้ว่าผู้ร่างกฎหมายมีความเป็นธรรม
และกฎหมายที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญจะมีเนื้อหาเพียบไปด้วยความถูกต้อง
และเป็นธรรม แต่ถ้าผู้ใช้กฎหมายตามกระบวนการยุติธรรมไม่มีคุณธรรม
ก็ใช่ว่าสังคมที่ถูกปกครองด้วยกฎหมายที่ว่านี้จะได้รับความเป็นธรรม

ด้วยเหตุแห่งปัจจัย 3 ประการดังกล่าวแล้วจึงสรุปได้ว่า
กฎหมายจะมีความถูกต้องเป็นธรรมให้กับผู้คนในสังคมโดยเสมอภาคกันได้ก็ต่อ
เมื่อผู้ร่างกฎหมาย ผู้ใช้กฎหมายมีความเป็นธรรมเท่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเป็นปัญหาว่า
ภายใต้การบังคับใช้ของรัฐธรรมนูญปี 2550
ได้ก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมอะไร และกับใคร จึงจะต้องรีบแก้ไข ทั้งๆ
ที่มีการบังคับใช้มาเพียงระยะเวลาปีกว่าๆ เท่านั้น
และที่สำคัญประเด็นที่มีการเรียกร้องให้แก้ เช่น มาตรา 190
อันว่าด้วยการให้การทำสนธิสัญญาระหว่างรัฐกับรัฐต้องผ่านความเห็นชอบจากสภา
ซึ่งได้ก่อความเดือดร้อนให้แก่รัฐบาลในยุคของนายสมัคร สุนทรเวช มีมติ
ครม.ให้ทำข้อตกลงกับประเทศกัมพูชายินยอมให้ประเทศนี้เสนอปราสาทพระวิหารเป็น
มรดกโลก และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา
190 และมีผลให้รัฐมนตรีต่างประเทศมีอันต้องพ้นจากตำแหน่งไป และมาตรา 237
อันว่าด้วยกรรมการบริหารพรรคทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง
กรรมการพรรคทุกคนต้องรับผิดชอบด้วย และในขณะเดียวกันพรรคต้องยุบด้วย
ดังที่เกิดขึ้นกรณีของพรรคไทยรักไทย และพรรคชาติไทยมาแล้ว

จากความผิดที่เกิดขึ้นตามมาตรา 190 และ 237
จะเห็นได้ว่าเกิดจากการกระทำผิด และความเสียหายได้เกิดขึ้นแก่สังคมโดยรวม
ทั้งยังทำให้การเมืองโดยรวมไม่พัฒนาเพราะมีนักการเมืองกระทำผิด
จึงไม่น่าจะมีเหตุผลใดมาหักล้างว่าสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาตรา 190 และ 237
คือจุดบ่งบอกถึงความไม่เป็นประชาธิปไตยที่ตรงไหน

ตรงกันข้าม ถ้ามีผู้กระทำผิดกฎหมาย
และก่อให้เกิดความเสียหายแก่สังคมโดยรวม
และกระบวนการยุติธรรมได้ดำเนินการลงโทษคนกระทำผิดอย่างตรงไปตรงมา
และเป็นธรรมกับผู้คนในสังคมส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบ
ก็น่าจะเป็นเหตุให้พูดได้ว่าประเทศไทยมีความก้าวหน้าในการออกฎหมาย
และการบังคับใช้กฎหมายเพื่อสังคมโดยรวม
อันถือได้ว่าเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศและเป็นต้นเหตุให้การปกครองในระบอบ
ประชาธิปไตยเจริญก้าวหน้าด้วย

ในทางกลับกัน ถ้ามีผู้กระทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ
และได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่สังคมโดยรวมแล้ว
ต่อมามีความพยายามจะแก้ไขเพื่อให้คนทำผิดพ้นผิด
น่าจะเรียกได้ว่าเป็นตัวถ่วงมิให้ระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยก้าวหน้า
หรือถ้าจะพูดให้ตรงไปตรงมาก็คือ ทำให้ประชาธิปไตยถอยหลังนั่นเอง

เมื่อ เป็นเช่นนี้ คนไทยที่รักประชาธิปไตย
และต้องการเห็นกฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์
และเป็นที่พึ่งของคนในสังคมได้อย่างเป็นธรรมโดยเสมอภาคกัน
ก็ควรออกมาแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้เพื่อให้คนที่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญได้
รับรู้ว่าไม่ต้องการให้แก้
และที่สำคัญให้คนที่ต้องการแก้แต่ไม่ต้องการให้ทำประชามติ
โดยอ้างว่าประชาชนไม่รู้กฎหมายที่มีอยู่ถึง 299 มาตรา
อันเป็นการพูดที่ขัดกันเอง ด้วยเหตุว่าต้องการแก้แค่ 2
ทำไมจึงต้องทำประชามติทั้งหมด ทำเพียงแค่ 2 ก็น่าจะพอ
และดูเหมือนตรงประเด็นดีด้วยซ้ำไป


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000049903

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น