++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2552

สิ่งที่ “มาร์ค” ไม่ควรทำซ้ำรอย “แม้ว” 2 : อย่าฉ้อราษฎร์บังหลวง ดูดประโยชน์เป็นของตัว

โดย ไทยทน     22 ธันวาคม 2551 20:28 น.


มีสัญญาณแห่งความสุข เมื่อเราได้นายกรัฐมนตรีท่านใหม่ ท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผมไม่คิดว่า เป็นเพราะท่านอายุเยาว์ หล่อเหลา พูดจาโวหารดี แต่ผมว่า เพราะเมื่อท่านกล่าวสุนทรพจน์ ท่านได้แสดงวิธีคิดเบื้องลึกและตัวตนจริงของท่าน ท่านได้แสดงความสามารถที่ทำให้คนไทยรู้สึกว่า เรามีผู้นำที่ไม่น้อยหน้าใคร ท่านได้ยกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นศูนย์กลางจิตใจของคนไทยทั้งชาติเหน ือความขัดแย้งทั้งปวง ไม่ให้ใครนำมาใช้เป็นประเด็นความขัดแย้งใดๆ ในบ้านเมือง
      
       ท่านไม่พูดจาให้คนแตกแยก เป็นพวกเกลียด หรือพวกรัก ท่านยืนยันที่จะดูแลทุกคน ไม่ว่าจะใส่เสื้อสีใด ไม่ว่าจะอยู่ภาคไหนอย่างเท่าเทียมกัน ท่านไม่พูดจาแบบปกปิดความจริง และแสดงความเท็จ ใส่ร้ายป้ายสี ทำให้เรารู้สึกว่าได้กลับมาอยู่ในทางสว่าง หลุดพ้นจากทางมืดเสียที
      
       อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ท่านมาร์คพึงระวังชีวิตไว้ ก็คืออย่าเดินผิดทาง และรวบรวมบทเรียนถึง สิ่งที่ “มาร์ค” ไม่ควรทำ ซ้ำรอย “แม้ว” ได้แก่ การลุอำนาจต้องการยึดชาติเป็นของตัว การฉ้อราษฎร์บังหลวงดูดประโยชน์เป็นของตัว และการลดมาตรฐานความชอบธรรมความถูกต้องเพื่อปกป้องตัว ด้วยความเป็นธรรมของชีวิต หากท่านเลือกจะทำคล้ายๆ กัน ท่านก็คงจะประสบกับจุดจบคล้ายๆ กัน
      
       ไทยทนเชื่อว่า มีสิ่งที่ “มาร์ค” ไม่ควรทำ ซ้ำรอย “แม้ว” ในประการที่ 2 คือ “ราษฎร์บังหลวงดูดประโยชน์เป็นของตัว” หลายประการ ดังนี้
      
       1. อย่าวางตัวเหนือกฎหมาย และรัฐธรรมนูญ : ระบอบทักษิณมักถือว่า ประชาธิปไตยเป็นวิถีทาง เข้าสู่อำนาจด้วยการลงทุน เป็นเจ้าของ และแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนและพวกพ้อง เมื่อเป็นผู้คุมกฎหมายเอง คุมหน่วยราชการแล้ว กลับกล้าทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ ใช้เล่ห์อุบายต่างๆ ไม่เกรงกลัวอาญาใดๆ
      
       รัฐธรรมนูญห้ามถือหุ้น โดยเฉพาะกิจการสัมปทาน ท่านก็เอาไปให้ลูก และคนใกล้ชิดถือแทน ตลอดจนแอมเพิลริช และวินมาร์ค
      
       ตัวอย่างหลักฐานง่ายที่สุดคือ เมื่อท่านแม้ว-หญิงอ้อ โอนหุ้นให้ลูกโอ๊ค มูลค่า 733.95 ล้าน โดยทำตั๋วสัญญาใช้เงิน ในวันที่ 1 กันยายน 2543 แต่กลับต้องทำตั๋วสัญญาใช้เงินเพิ่มพิเศษอีก 4,500 ล้านบาท ลงวันที่ 31 สิงหาคม 2543 เพียง 1 วัน ก่อนวันโอนหุ้น ซึ่งไม่เคยบอกได้ว่าเป็นภาระหนี้ค่าอะไร ? มีที่มาอย่างไร ? ซึ่งภาระหนี้ดังกล่าว เป็นช่องทางในการจ่ายคืนเงินปันผลกลับมาให้คุณหญิงพจมาน
      
       และเมื่อโอ๊คและพวกขายหุ้นให้เทมาเส็กแล้ว ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2549 มีเงินจำนวนหนึ่งโอนผ่านประไหมสุหรี ไปให้ท่านซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอล ก็แสดงว่า ที่ผ่านมา การโอนหุ้นให้บุตร และคนใกล้ชิด ก็เป็นเพียงนอมินี เมื่อพ้นตำแหน่งแล้ว ก็โอนสมบัติเหล่านั้นกลับมาให้ท่านใช่หรือไม่? ด้วยหากติดตามข่าวแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แล้ว ไม่ปรากฏว่า นอมินีของท่านเป็นผู้ซื้อหุ้นสโมสรแต่อย่างใด มีแต่ชื่อของท่านเท่านั้น
      
       2. อย่า “ฉ้อราษฎร์” และอย่า “บังหลวง” : เพียง 3-4 เดือนหลังเป็นนายกฯ ทศท ก็เกิดอาการ ลดค่าส่วนแบ่งรายได้โทรศัพท์ระบบพรีเพด จาก 25-30% เหลือเพียง 20% ทำให้กิจการของตนต้องได้เปรียบคู่แข่งตลอดไป เมื่อเปลี่ยนกติกาให้มีการจ่ายภาษีสรรพสามิต ก็กลับให้ ทศท ซึ่งมีส่วนแบ่งธุรกิจน้อยอยู่แล้ว ต้องรับภาระทั้งหมด สภาพการสัมปทานแบบ Build-Transfer-Operate (BTO) ก็คล้ายการที่การรถไฟ หรือหน่วยงานรัฐอื่นๆ จะให้สิทธิการเช่า 30 ปีให้ภาคเอกชนลงทุน แม้จะโอนมาเป็นของ ทศท ตั้งแต่ต้น แต่ก็ให้สิทธิเอกชนใช้ประโยชน์ 30 ปี และต้องคืนกลับมาเป็นของรัฐ (ทศท) เมื่อครบ 30 ปี แต่เมื่อท่านมาเป็นผู้วางตัวเป็นเจ้าของอำนาจรัฐ กลับมีแนวโน้มจะยึดไว้เป็นของตัว หรือหากจะคืนภาครัฐ ก็อาจจะเหลือแต่ซากของสมบัติเท่านั้น ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของสัมปทาน 30 ปีแต่อย่างใด
      
       ด้วยอำนาจรัฐของท่าน ต่อกิจการโทรคมนาคม จึงถือได้ว่า เป็นทั้งการ “ฉ้อราษฎร์” และ “บังหลวง” ด้วยกิจการด้านเทคโนโลยีเหล่านี้ มีการพัฒนาให้ถูกลง และดีขึ้นตลอดเวลา หากมีการแข่งขันที่เป็นธรรม ราษฎรผู้บริโภคก็แน่ใจได้ว่า ไม่ถูกเอาเปรียบ และกลไกตลาด ก็จะทำให้ต้นทุนที่ลดลงผ่านไปยังผู้บริโภค ซึ่งขณะนี้ แม้อาจจะเห็นการแข่งขันอยู่บ้าง ก็ดูราวกับเป็นละคน เพราะมีผู้ได้เปรียบ เก็บกำไรส่วนต่างเข้ากระเป๋าได้ตลอดเวลา การให้อำนาจผู้ขาดเอกชนให้สามารถเอาเปรียบผู้บริโภคได้จึงเป็นการ “ฉ้อราษฎร์”
      
       การลดส่วนแบ่งรายได้ให้ภาครัฐ การให้ภาครัฐซึ่งได้รับส่วนแบ่งน้อยอยู่แล้ว ต้องรับภาระภาษีสรรพสามิตเกินสัดส่วน ตลอดจนกรณีอื่นๆ เช่น การให้ธนาคารเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้พม่าเพื่อกิจการดาวเทียม การให้ประโยชน์ภาษีลงทุนเอื้อดาวเทียม เครือข่าย 3 จี หรือเครื่องบินของไทยแอร์เอเชีย ทั้งที่เป็นการนำเข้าทั้งนั้น จึงไม่มีผลใดๆ ต่อ GDP และกรณีดาวเทียมดวงหลังๆ ก็ไม่เหตุผลด้านความจำเป็นและความมั่นคงของชาติอีกต่อไป นโยบายเอื้อประโยชน์เหล่านี้ ก็จัดเป็นการ “บังหลวง”
      
       3. อย่าทำเป็นไม่รู้เรื่องกับ “ความขัดกันของประโยชน์” : ตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) มาตรา 100 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐรวมทั้งคู่สมรสเป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียใน สัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ในฐา นะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี” แต่ท่านแม้วเป็นนายกฯ กองทุนฟื้นฟูฯ ก็เป็นกิจการภายใต้การกำกับดูแล โดยภาครัฐ ท่านกลับทำเป็นไม่เข้าใจ ให้ภรรยาประมูลที่ดินรัชดา และดังที่ศาลวินิจฉัย ก็เห็นพิรุธหลายเรื่อง เช่น การวางมัดจำ 3 รายๆ ละ 10 ล้านบาท แต่กลับไม่ยื่นประมูลในรอบแรก และเมื่อจัดครั้งที่ 2 ยกเลิกราคากลาง 870 ล้านบาทไป กลับเพิ่มมัดจำจาก 10 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาท ทำให้มีเพียงผู้ประมูลคนกันเอง และเมื่อภรรยาเป็นเจ้าของแล้ว กลับเปลี่ยนนโยบายการจำกัดความสูงของอาคาร
      
       เหล่านี้ จึงเป็นหลักฐานแห่งความขัดกันของประโยชน์ เพราะภาครัฐย่อมอยากได้ราคาสูง ด้วยขาดทุนมากอยู่แล้ว โดยหนี้จากสมัยเอราวัณทรัสต์นั้นสูงกว่า 2 พันล้านบาท ย่อมอยากได้ราคาสูง เพื่อลดภาระขาดทุน และภรรยาท่านในฐานะผู้ซื้อก็ย่อมอยากได้ของถูก กฎหมาย ป.ป.ช. (ป้องกันการทุจริต) มาตรา 100 จึงห้ามรายการประเภทนี้ไว้ชัดเจน แต่ท่านแม้ว-อ้อ ก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง ส่งจดหมายไปต่างประเทศ ก็บอกแค่ว่า คงเพราะเป็นที่อิจฉาในความนิยมของตัว “แค่ภรรยาซื้อที่ดินก็มีความผิด” หรือสื่อสารในกลุ่มพรรคพวกท่านว่าเผชิญ กระบวนการยุติความเป็นธรรมลักษณะว่า “ซื้อที่ดิน ติดคุก” ซึ่งเป็นการไม่บังควรเป็นอย่างยิ่ง
      
       4. อย่าดูดเงิน ซ่อนเงิน และฟอกเงิน : แหล่งเงินแปลกๆ เช่น วินมาร์คซื้อหุ้นจากท่านแม้วและภรรยา ในวันที่ 1 สิงหาคม 2543 จำนวน 5-6 บริษัท ที่ราคาพาร์ทุกบริษัท ท่านเปลี่ยนแผนในการซื้อสนามกอล์ฟอัลไพน์ แทนที่จะเป็น เอสซี แอสเสท กลายเป็นกลุ่มคนรถและคนรับใช้ เงินที่คนรับใช้ของท่านใช้ซื้อหุ้นถือแทนท่าน ฯลฯ ทำให้เชื่อได้ว่า มีกระบวนการดูดเงิน ซ่อนเงิน และนำมาฟอกเงินดังกล่าว
      
       การ “ดูดเงิน” อาจจะเริ่มตั้งแต่การกำไรค่าเงินบาท ดังที่ท่านเสนาะ เทียนทองได้เปิดโปงบนเวทีพันธมิตรฯ เมื่อต้นปี 2549 การ “ซ่อนเงิน” จึงอาจจะเก็บที่บัญชี วินมาร์ค, VAF, VIF, OGF, ODF หรือ อื่นๆ การ “ฟอกเงิน” ก็คือการจ่ายเงินจากแหล่งซุกซ่อนเหล่านี้เข้ามา ทำให้ดูเหมือนว่า ท่านได้เงินจากการขายหุ้นอย่างสะอาด
      
       การจ่ายเงินซื้อหุ้นสโมสรฟุตบอลไปประมาณ 80 ล้านปอนด์ หลังจากนั้น มีการ “เติมเงิน” ซื้อตัวนักกีฬาแพงๆ เพิ่ม และผู้จัดการระดับ สเวน แล้วขายออกไปได้เงินกลับมา 150 ล้านปอนด์ เงินที่เอามาจ่ายเพิ่ม เอามาจากไหน ? หากเป็นการเอาเงินซ่อนมาซื้อ แล้วขายเป็นเงินที่ดูสะอาด เท่ากับเป็นการฟอกเงินใช่หรือไม่?
      
       แม้ท่านทักษิณ จะไม่มีชื่ออภิสิทธิ์ แต่ที่ผ่านมา พยายามถืออภิสิทธิ์ ละเลยกฎหมาย เพิกเฉยรัฐธรรมนูญ และกฎหมายหลายเรื่อง โดยถือว่ามีอำนาจรัฐ นึกจะทำผิดก็ทำ แต่ยังดีที่ประเทศไทยยังมีความสว่าง ยังมีความยุติธรรม ยังมีผู้กล้ารักษาความถูกต้องสวนกับอำนาจยิ่งใหญ่ของระบอบทักษิณ และทำให้ท่านแม้วต้องพบจุดจบ (สักที) โดยไร้แผ่นดินอยู่อย่างชอบธรรม
      
       เราคนไทยกำลังหวัง “การเปลี่ยนแปลง” จึงหวังอยากให้เกิดความร่วมแรงร่วมใจ ให้ท่าน “มาร์ค” นำคนไทย และประเทศไทยให้ผ่านวิกฤตการณ์ที่ท้าทายโลกในปัจจุบันไปให้ได้ และพาไทยให้เจริญยั่งยืนต่อไป
      
       ไทยทนเชื่อว่า ท่านอภิสิทธิ์ ก็คงไม่มี “อภิสิทธิ์” เหนือท่านทักษิณ หรือใครๆ จึงขอให้กำลังใจให้ ท่าน “มาร์ค” จะไม่ทำซ้ำรอย “แม้ว” ซึ่งจะนำไปสู่การ “สะดุดขาตัวเอง” ได้ในที่สุด
      
       และหากท่านไม่ทำผิด ซ้ำรอยเช่นนั้น ผู้คนก็ยินดีสนับสนุน และให้กำลังใจท่านต่อไป

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9510000150358

1 ความคิดเห็น: