++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

หากยังแยกแยะธรรมกับอธรรมไม่ออก แล้วจะใช้สีขาวได้อย่างไร

โดย ศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์ www.chaiyongvision.com           

ขณะที่มีความขัดแย้งในสังคมระหว่างสองกลุ่ม คือ กลุ่มที่ขับไล่ รัฐบาล ฯพณฯ นายสมัตร สุนทรเวช ให้พ้นจากความเป็นนายกรัฐมนตรีในข้อหา เป็นตัวแทนระบอบทักษิณ เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน พยายามจะแก้ไข รัฐธรรมนูญเพื่อให้อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยพ้นผิกและไม่เหลียวแลเอาใจใส่ ปากท้องของประชาชน ปล่อยให้รัฐมนตรีที่มีพฤติกรรมจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ แสดงถึงการขาดจริยธรรม ขาดความสง่างามที่จะเป็นผู้นำประเทศ ทำให้กลุ่มพันธมิตรและประชาชนเรือนแสนออกมาชุมนุมประท้วง จนถูกนายกรัฐมนตรีออกมาประกาศจะจัดการ “แตกหัก” กับกลุ่มผู้ชุมนุมจนสร้างความตึงเครียดเกิดขึ้นในแผ่นดินไทย

อยู่ๆ ก็มีนักวิชาการและประชาชนกลุ่มหนึ่ง จัดตั้งกลุ่มสีขาวเพื่อต่อต้านความรุนแรง โดยอ้างว่า สีขาวเป็นสีแห่งการไม่แบ่งแยก เป็นสีแห่งความสมานฉันท์และเป็นสีแห่งการต่อต้านความรุนแรง ผู้เขียนเห็นว่า ผู้ริเริ่มแนวคิดนี้ไม่มีความชัดเจนหลายประการ จึงขอแสดงทัศนะให้เห็นว่าการใช้สีขาวแทนความเป็นกลางระหว่างธรรมะกับอธรรม หรือระหว่างความดีกับความชั่วนั้นเป็นความเข้าใจผิด เพราะ “สีขาว” เป็นสีแห่งธรรมะหรือสีแห่งความดี แต่ท่านกำลังจะนำสีขาวมาแทนความไม่นำพาต่อการนำชั่ว แทนความเพิกเฉย ไม่สนใจว่า ใครกำลังทำลายชาติ และพระมหากษัตริย์ และพยายามฉวยโอกาสหาชื่อเสียงจากการไร้จุดยืนของตนเอง และไปชักชวน เยาวชน นิสิต นักศึกษาให้คล้อยตาม แทนที่จะอธิบายให้เยาวชนเหล่านั้นว่า ทำไมกลุ่มพันธมิตรจึงต้องออก มาชุมชุนประท้วงและขับไล่รัฐบาล

เมื่อท่านเลือกใช้สีขาว ท่านคงเข้าใจว่า สีขาวแทนความดี ท่านจะหมายความว่า กลุ่มพันธมิตรไม่ใช่คนดีกระนั้นหรือ ท่านแยกแยะไม่ได้เลยหรือว่า พวกไหนเป็นฝ่ายธรรมะ พวกไหนเป็นฝ่ายอธรรม หากท่านแยกแยะธรรมะจากอธรรมไม่ได้ ท่านยังจะมีสิทธิใข้สีขาวเป็นสัญลักษณ์แทนกลุ่มของตนเองได้หรือ ขอเน้นว่า พันธมิตรมิใช่ฝ่ายอธรรมแน่นอน ดังนั้น ฝ่ายพันธมิตรต่างหากที่เป็นฝ่ายสีขาว

ผู้เคยเขียนบทความเรื่อง “ระหว่างความชั่วกับความดี ไม่มีคำว่า เป็นกลาง” (29 มีนาคม 2549) จึงขอยืนยัน ณ ที่นี้ อีกครั้งว่า ระหว่างความดีหรือธรรม (ฝ่ายขาว) กับความชั่วหรืออธรรม (ฝ่ายดำ) ไม่มีคำว่า “เป็นกลางหรือสีเทา” ท่านจะต้องเลือกเข้าข้างใดข้างหนึ่ง หากท่านไม่สนใจและอ้างความเบื่อหน่าย ท่านก็จะต้องถูกย้อมเป็นสีเทาและเป็นสีดาในที่สุด หากท่านมีสามัญสำนึก คือ "รู้ดีรู้ชั่ว รู้ถูกรู้ผิด รู้ควรไม่ควร" ท่านก็จะทราบว่า ใครดีใครชั่ว ใครถูกใครผิด ...แน่นอนความเป็นกลาง ของท่านก็มักบอกจุดยืนของท่านว่า กำลังเข้าข้างฝ่ายขาวหรือฝ่ายดำ ยกเว้นท่านถูกครอบงำด้วยอคติ ความเขลา หรือ ได้รับลาภยศสรรเสริญจากคนหรือกลุ่มคนที่ท่านเข้าข้าง แต่ท่านก็คงไม่กล้ายอมรับอย่างเปิดเผย จึงอ้างความเป็นกลาง เพื่อกลบเกลื่อนจุดยืนของท่าน ใช่หรือไม่?

...เพื่อนบ้านถูกโจรปล้นบ้าน ข้าวของสูญหาย เจ้าของบ้านจับผู้ร้ายได้ กำลังทะเลาะกับโจร ท่านกลับเสนอหน้า ออกมาบอกว่า ไม่อยากให้เกิดความรุนแรง ขอให้สมานฉันท์ ให้เจ้าของบ้านและโจร ถอยไปคนละก้าว และขอให้เจ้าของบ้านหยุดโวยวาย อย่างนี้ถูกต้องหรือ?

กรณีความขัดแย้งที่กำลังฉีกชาวไทยออกเป็นสองกลุ่มในขณะนี้ คนที่เรียกร้องหาความเป็นกลางก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า รัฐบาลและคนอยู่เบื้องหลังซึ่งถูกกล่าวหาว่าโกงชาติ โกงแผ่นดิน ขาดจริยธรรม และขาดความสง่างามที่จะเป็นผู้นำของประเทศต่อไปนั้น เป็นความจริงหรือน่าจะจริง เว้นแต่ท่านจะตาบอด แยกไม่ออกระหว่างขาวกับดำ หรือความดีกับความชั่ว

ระหว่างความขาวกับความดำ หากปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม ฝ่ายดำจะชนะ และทำให้ความขาวแปดเปื้อนไปได้ ผ้าขาวหากไม่ดูแลก็จะหมองและคล้ำ กลายเป็นผ้ารี้ริ้วในที่สุด  ดังนั้นท่านจะต้องใช้ความพยายามปกป้องความขาว เพื่อมิให้ความดำเอาชนะ แม้เราจะไม่สามารถทำให้ทุกอย่างขาวสะอาดได้ ก็ต้องพยายามไม่ให้ความดำมีโอกาสมาแปดเปื้อน แต่ท่านจะเอาสีขาวมาใช้แทนสีเทาไม่ได้อย่างเด็ดขาด

ในสังคมปัจจุบัน การรวมกลุ่มคนก็จำแนกได้เป็นสองพวก คือ พวกนิยมความเก่งกับนิยมความดี หรือพวกนิยมความร่ำรวยและพวกนิยมความพอเพียง หรือพวกที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมกับพวกที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน

พวกสีขาวที่เรียกร้องให้เป็นกลาง ปราศจากความรุนแรง ก็อ้างว่า เป็นห่วงเศรษฐกิจของชาติจะพังพินาศ แท้จริงแล้ว ก็ไม่แน่ใจว่า ห่วงเศรษฐกิจของชาติจริงๆ หรือห่วงเศรษฐกิจของตนเอง คนกลุ่มนี้จะชื่นชมผู้นำที่สร้างความหวังว่า จะทำให้ธุรกิจของตนเจริญรุ่งเรือง ขณะเดียวกันก็กระทำทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่ตนพึงมีหน้าที่ต้องชำระเพ ื่อบำรุงแผ่นดิน คนกลุ่มนี้จะดีใจที่สามารถเอารัดเอา เปรียบคนอื่นได้ ดีใจที่ทำผิดกฎจราจรและหลบหลีกไม่ถูกจับ อนุโมทนาบาปเมื่อทราบว่า คนอื่นร่ำรวยเพราะชนะการพนัน ถูกหวย รวยหุ้น โกง หลีกเลี่ยงหรือเอารักเอาเปรียบคนอื่น แม้เมื่อได้ทราบว่า คนที่เป็นใหญ่ในบ้านเมืองบางคนคดโกง แต่คนที่เห็นเขาว่าเก่ง ก็ยังเห็นว่า ผู้นำคนนี้เป็นคนดี ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แก่ใจคนคดโกงจะเป็นคนดีไม่ได้เลย

อย่าทำตนเป็นคนไม่รู้หนาวรู้ร้อนเลย เป็นไปได้อย่างว่า ท่านไม่ทราบว่า ใครเป็นฝ่ายธรรมะ ใครเป็นฝ่ายอธรรมหรือฝ่ายชั่ว เว้นเสียแต่ท่านถูกครอบด้วยโมหะคือความหลงผิดและโลภคือ หวังอามิสสินจ้างจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง....

ผู้เขียนจึงยืนยันว่า ในฐานะที่ชาวไทยนับถือพระพุทธศาสนา จึงควรเลือกฝ่ายดี ฝ่ายธรรมะ เลิกอ้างหาความเป็นกลาง และอย่านำสีขาวซึ่งเป็นสีแห่งความดีไปใช้ มิฉะนั้นบ้านเมืองจะพังพินาศ อย่าทำตัวเป็นสนามรบหรือหญ้าแพรกบนเส้นทาง แห่งการเผชิญหน้าระหว่างธรรมะกับอธรรม เพราะสนามรบไม่สามารถหยุดยั้งสองทัพที่กำลังเผชิญหน้ากันได้ กลับจะถูก เหยียบย่ำจนพินาศไป แม้ท่านจะอ้างความเป็นกลาง ก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหายนะที่จะมาถึงท่านได้อย่างแน่นอน.

ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์ | 12 มิถุนายน 2551 | 23:19:46

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น