++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ปัญหาการเมืองของไทย ควรคิดแก้ไขที่ไหนก่อน? โดย ระพี สาคริก

ในช่วงนี้ตัวฉันเอง ไม่ว่าจะเดินทางไปไหน แม้แต่การมีโอกาสพบกับคนกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ก็มักได้ยินบ่นกันว่า “นักการเมืองส่วนใหญ่ในปัจจุบันคอร์รัปชันกันอย่างกว้างขวาง บางคนก็ยังพูดเสริมด้วยว่า “เอากันมากเสียด้วย” แม้แต่สื่อที่เขาเข้ามาสัมภาษณ์ฉัน บางคนก็พูดแบบเดียวกัน

อีกทั้งเมื่อไม่กี่วันมานี้ ก็ยังมีผู้อาวุโสกลุ่มหนึ่งมาขอเชิญให้ฉันไปร่วมประชุมปรึกษาหารือเกี่ยวกับ ปัญหาคอร์รัปชัน ในสถาบันระดับชาติแห่งหนึ่ง แต่บังเอิญฉันไม่ว่าง

ในปัจจุบันตัวฉันเองมีอายุกำลังย่างเข้า 90 ปี หลังจากหวนกลับไปนึกถึงช่วงปี พ.ศ. 2475 ซึ่งตัวเองยังมีอายุได้เพียง 10 ขวบ ฉันจำได้ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งในอดีตได้ถูกส่งไปศึกษาต่างประเทศ โดยเฉพาะในเมืองฝรั่ง หลังจากกลับมาแล้วมารวมตัวกันซ่องสุมผู้คนและสมรู้ร่วมคิดกันใช้กำลังทหาร ติดอาวุธยกเข้าไปบังคับให้ในหลวงรัชกาลที่ 7 ทรงสละพระราชอำนาจโดยอ้างว่าต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองมาเป็น ประชาธิปไตย ซึ่งคนกลุ่มนี้อ้างตัวเองว่าเป็นคณะราษฎรแต่มีจำนวนไม่ถึง 300 คน อีกทั้งพิสูจน์ได้จากความคิดและการกระทำว่า ส่วนใหญ่เห็นแก่ตัวมากกว่านึกถึงประชาชนและประเทศชาติ ทั้งนี้เพราะนักเรียนไทยกลุ่มนี้นิยมไปเรียนต่อต่างประเทศเพื่อเอาดีกรี ด็อกเตอร์จากเมืองนอกกลับมาแพร่อิทธิพลนิยมฝรั่งภายในประเทศ ที่ฉันกล่าวว่าคนกลุ่มนี้มองผิดด้านก็มีเหตุผลให้เชื่อถือได้เพราะ

ประการแรก ทุกคนเกิดบนแผ่นดินไทยแท้ๆ เหตุไฉนจึงไม่เรียนรู้ความจริงบนแผ่นดินถิ่นเกิดของตัวเองให้ลึกซึ้งเสียก่อน

ประการที่สอง เป็นเพราะกิเลสทำให้มีการแอบอ้างว่าเป็นตัวแทนของราษฎรทั้งๆ ที่มีจำนวนเพียงไม่ถึง 300 คน

ประการที่สาม ได้มีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งถูกส่งไปศึกษาต่อต่างประเทศอันควรถือว่ามีพื้นฐาน วัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกันกับคนไทยจึงไม่ควรไปเอาแบบอย่างจากของเขามาใช้ หลังจากกลับมาแล้วซึ่งมารวมตัวกันซ่องสุมและสมรู้ร่วมคิดกันใช้กำลังทหารติด อาวุธยกเข้าไปบังคับให้ในหลวงรัชกาลที่ 7 ทรงสละพระราชอำนาจ โดยอ้างว่าต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งคนกลุ่มนี้มองไม่เห็นอิสรภาพที่อยู่ในรากฐานจิตใจตนเองเพราะความลืมตัว เป็นใหญ่

อย่างไรก็ตาม นักเรียนไทยที่นิยมการไปเรียนต่อต่างประเทศเพื่อเอาดีกรีด็อกเตอร์กลับมายัง บ้านเกิด ส่วนใหญ่มักมีรากฐานจิตใจที่ขาดความเข้มแข็งอยู่แล้ว เพราะถ้าเข้มแข็งถึงระดับหนึ่งก็ควรจะรู้เท่าทันอิทธิพล วัฒนธรรมทางวัตถุจากคนต่างถิ่น จนกระทั่งทำให้จิตใต้สำนึกความรักท้องถิ่นมันขาดหายไป เมื่อขาดหายไปก็ย่อมหันไปนิยมอีกด้านหนึ่ง ซึ่งด้านนี้เองที่มีรากฐานจิตใจผูกพันอยู่กับวัฒนธรรมต่างถิ่นหรือที่เรียก กันว่า “นิยมความโก้หรูทางวัตถุ”

จึงพิสูจน์ได้ว่าเมื่อรู้เท่าทันก็ย่อมปฏิเสธ “เพราะมีเหตุนั้นจึงมีเหตุนี้” ดังนั้นการที่ชนรุ่นถัดมามักนิยมพูดกันว่า “จะเอาปริญญาหรือจะเอาความรู้” นี่ก็คือหลักธรรมอีกบทหนึ่งซึ่งเรียกกันว่า “การศึกษาทางเลือก” ดังนั้นเราจึงสามารถสรุปได้ว่า “เมื่อเกิดมีปัญหาให้รู้สึกได้ บุคคลที่มีรากฐานจิตใจอิสระถึงระดับหนึ่ง ก็ย่อมหาทางเลือกใหม่ได้เอง”

ในช่วงหลังๆ ฉันจึงมักเตือนเธออยู่เสมอมาว่า เพราะเกิดปัญหาขึ้นแก่ประชาชน อำนาจรัฐจึงมักมีแนวโน้มใช้โอกาสนำเอาความคิดตัวเองที่สำคัญตนผิดด้านเข้ามา เกี่ยวข้อง โดยที่คิดว่าการใช้อิทธิพลอำนาจจะช่วยแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งความรู้สึกแบบนี้ที่มันทำให้เกิดเหตุแห่งคอร์รัปชัน เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์

เพราะเกิดความคิดในการจัดการศึกษาทางเลือกขึ้นมาจากด้านล่างอันควร ถือว่าประเด็นนี้มีผลสืบเนื่องมาจากความรักและเมตตาชาวบ้าน จึงเกิดการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาจากด้านบนโดยอ้างว่าต้องการให้การสนับ สนุนร่วมมือ เรื่องนี้เพราะตัวฉันเองยังไม่ลืมบทเรียนในอดีตซึ่งได้รับผลกระทบจากด้านบน จึงขออนุญาตเตือนคนที่รู้สึกได้แล้วถึงปัญหาที่เกิดขึ้นว่า “เมื่อรัฐบาลเข้ามาสนับสนุน เราก็ต้องมีจิตวิญญาณที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น” ไม่เช่นนั้นก็อาจถูกอิทธิพลเงื่อนไขจากด้านบนทำลาย

ฉันนึกถึงวิธีการแก้ไขปัญหาที่เชื่อกันว่า “ปัญหาใดก็ตามที่เกิดขึ้นแก่คนในสังคม หากใช้หลักธรรมเป็นเครื่องมือช่วยแก้ไขย่อมกระทำสำเร็จได้ทุกเรื่อง” ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องราวเมื่อครั้งที่เกิดการปฏิวัติขึ้นในปี พ.ศ. 2475 เพราะคนไทยที่ไปศึกษาต่างประเทศเพียงชั่วครู่ก็ย่อมมีโอกาสเห็นได้แต่เพียง ภาพผลสำเร็จรูป ซึ่งหมายถึงการเลือกตั้ง การสมัคร การหาเสียง และการหย่อนบัตรลงคะแนน แต่คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มักมองย้อนกลับไม่ได้ไกลจึงไม่อาจมองเห็นเหตุภายในราก ฐานจิตใจของมนุษย์ซึ่งเป็นคนท้องถิ่น เมื่อมองไม่เห็นตัวเองก็ย่อมมองไม่เห็นเหตุอันเป็นที่มา ซึ่งถ้าหากรากฐานความซื่อสัตย์ต่อตนเองถูกทำลายก็ยิ่งทำให้ไม่สนใจที่จะค้น หาเหตุผล นอกจากไปยึดติดผลการกระทำซึ่งมีรูปแบบเป็นพื้นฐาน หลังจากนั้นจึงรู้สึกศรัทธาและนำเข้ามาเพื่อใช้ปฏิบัติภายในประเทศ

จากประเด็นดังกล่าว “ถ้าธรรมชาติของคนเรามองไม่เห็นตัวเอง ก็ย่อมยากที่จะวินิจฉัยเพื่อค้นหาความจริงจากใจผู้อื่นให้ได้ อีกทั้งยังขาดความรู้สึกเฉลียวใจด้วยว่า เหตุไฉนหลังจากนำมาใช้ในประเทศแล้ว ทำไมมันถึงได้เกิดเรื่องภายในสังคมเราหนักมากยิ่งขึ้น?”

ฉันนึกถึงหลักธรรมอีกบทหนึ่งซึ่งชี้ไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า หลังจากวิถีการดำเนินชีวิต ได้นำปฏิบัติมันจึงเกิดเรื่องใหญ่ยิ่งขึ้นทุกที “หากนำมาพิจารณากลับทิศทางได้ ก็ย่อมช่วยแก้ไขปัญหาได้เองอย่างเป็นธรรมชาติ”

อนึ่ง ประเด็นการปฏิบัติที่แล้วมา เมื่อนำมาใช้ปฏิบัติภายในประเทศไทย จากการไปลอกแบบผลของการปฏิบัติในสังคมต่างถิ่น ซึ่งมีการเรียงลำดับเอาไว้ให้ผู้ที่สนใจสมัครรับเลือกตั้ง หลังจากนั้นจึงอนุญาตให้หาเสียงแล้วจึงให้ประชาชนหย่อนบัตรเพื่อรับปริมาณ ของคะแนนนิยม แล้วใครซึ่งได้รับความนิยมสูงสุดก็ย่อมได้รับมอบหมายให้เป็นผู้แทนราษฎร ถ้านำมากลับทิศทางใหม่ก็ควรสรุปได้ว่า “การกำหนดระบบรวมถึงวิธีการ ได้มาซึ่งผู้แทนราษฎรเราควรกำหนดให้ประชาชนคนทั่วไปภายในสังคมเสนอคะแนนนิยม ว่า ใครปฏิบัติตนให้เป็นคนที่มีคุณงามความดีจนเป็นที่ประจักษ์ชัด แล้วจึงหวนกลับไปทาบทามว่าบุคคลผู้นั้นยินดีจะสมัครเป็นตัวแทนประชาชนหรือ ไม่”

ดังนั้นผู้ซึ่งได้รับการทาบทาม หากเป็นคนดีมีความรู้ความสามารถจริงก็ควรหวนกลับมาวินิจฉัยตนเองเพื่อ ประเมินผลงานว่า ตนควรรับหรือไม่ซึ่งคนประเภทนี้มักมีนิสัยที่รับปากแล้วก็ย่อมทำจริงไม่เช่น นั้น หากทำให้ตัวเองจำต้องสูญเสียชื่อเสียงรวมทั้งวิธีการในการปฏิบัติเท่าที่ ผ่านพ้นมาแล้วในอดีตทั้งหมด อีกทั้งขณะที่นำปฏิบัติก็ย่อมมีความสุข เพราะได้รับกุศลผลบุญจากการกระทำดังกล่าว ส่วนวิธีเดิมนั้นหากมีการหาเสียงอีกทั้งรับเลือกตั้งได้แล้ว ส่วนใหญ่มักไม่ได้คนดีเข้ามารับทำงาน ทั้งนี้มีตัวชี้วัดที่เกี่ยวกับมารยาทที่ดีให้แลเห็นประจักษ์ชัดได้เองอย่าง เป็นธรรมชาติ ทั้งนี้เพราะเหตุว่าการขึ้นต้นด้วยการหาเสียงนั้น ทุกคนย่อมมีนิสัยโอ้อวดความดีงามที่อยู่ในจิตใจตนเอง ซึ่งคนดีย่อมไม่นิสัยการทำเพราะเป็นการเสียมารยาทที่ดี

นอกจากนั้น การขึ้นต้นด้วยการหาเสียงก่อนอื่น ย่อมหลีกเลี่ยงการโฆษณาตัวเองได้ยาก ทั้งนี้เพราะมันเป็นไปตามระบบดังกล่าว อีกทั้ง “เมื่อมีการหาเสียงก็ย่อมมีเหตุที่จะอวดอ้างตัวเองเป็นสำคัญ เมื่ออวดอ้างตัวเองก็ย่อมมีความโลภมากอยู่ในรากฐานจิตใจเป็นธรรมดา จนกระทั่งในอดีตที่ผ่านมา สังคมมักมีแนวโน้มเกิดคอร์รัปชันขึ้นในวงการอย่างหยุดยั้งได้ยาก ยิ่งรุนแรงอีกทั้งกว้างขวางมากขึ้นเรื่อยๆ” อย่างเช่นที่ขณะนี้ฉันได้ยินคนส่วนใหญ่บ่นถึงปัญหาคอร์รัปชันซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นในแวดวงนักการเมืองจนกระทั่งตัวฉันเองรู้สึกว่า “ปัญหา คอร์รัปชันในขณะนี้ มีคนบ่นกันจนกระทั่งคับหู ไม่ว่าจะเดินทางไปไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวฉันเองเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งตัวเองไม่ได้ยินดีกับการที่มีคนรู้จักมาก แต่ยินดีที่ได้รู้ความจริงจากคนในสังคมเพื่อนำปฏิบัติให้มันหนักมากยิ่งขึ้น เป็นลำดับ”

เธอที่รักทุกคนฉันขอบอกถึงความสำคัญในการแก้ไขปัญหา ซึ่งตัวเธอเองจำเป็นจะต้องเริ่มต้นด้วยการสร้างความเข้มแข็งให้แก่คนในชาติ โดยการจัดการศึกษาก่อนอื่น เพื่อให้ได้คนดีมีคุณธรรมและเมตตาธรรมมาเป็นผู้บริหาร อีกทั้งเริ่มต้นจับงานเรื่องนี้ก่อน หาใช่การสร้างความเข้มแข็งโดยใช้เงินและไม่ยอมปล่อยวางอำนาจภายในจิตใจตัว เองไม่ หากควรได้บุคคลที่มีความเป็นผู้ใหญ่ซึ่งมีเมตตาธรรมแก่ชนรุ่นหลังรวมทั้งคน ในระดับชาวนาชาวไร่มาบริหารงาน ไม่ว่าจะอยู่ในกระทรวงหรือกรมกองใดก็ตาม แทนที่จะได้คนลืมตัวเพราะบุคคลที่มีลักษณะดังกล่าวย่อมมีแนวโน้มในการบริหาร โดยมุ่งเน้นอยู่กับการใช้อำนาจ แทนที่จะใช้คุณธรรมอันเกิดจากความศรัทธาเป็นสำคัญ ทั้งนี้เนื่องจากความศรัทธานั้นย่อมเกิดจากแรงบันดาลใจที่มีอยู่ในรากฐาน ชีวิตตัวเองและนำปฏิบัติมาตลอดทั้งชีวิตจึงทำงานอย่างมีความสุข

อนึ่ง การที่ฉันนำเรื่องนี้มาเขียน ใจฉันเองไม่มีเจตนาที่จะกล่าวร้ายหรือทำร้ายบุคคลใด แม้แต่คณะบุคคลใดก็ตาม หากใช้หลักธรรมเป็นพื้นฐานในการเขียนเพื่อหวังให้สังคมนี้ได้รับการแก้ไขที่ เข้าใจปัญหาได้อย่างลึกซึ้งจนกระทั่งถึงเหตุแห่งปัญหาดังกล่าว ถ้าใครคิดว่าฉันเขียนหรือกระทำการสิ่งใดที่ล่วงละเมิดสิทธิของคนในสังคมแล้ว ฉันต้องกราบขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยความเคารพ ทั้งนี้เพราะมีรากฐานจิตใจอิสระถึงระดับหนึ่ง จึงรู้จักแยกแยะว่าสิ่งใดเกี่ยวข้องกับตัวบุคคลและสิ่งใดเกี่ยวข้องกับสังคม เป็นการส่วนรวม

ประการที่สี่ คนกลุ่มนี้อยู่ในสภาพลืมตัวจึงเข้าใจความหมายของประชาธิปไตยไม่ถึงรากฐาน หากมองที่ปลายเหตุ เพราะรากฐานประชาธิปไตยนั้นคืออิสรภาพที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ จึงช่วยให้สังคมอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ทั้งนี้เพราะรากฐานภายในจิตใจมนุษย์ก็คือหัวใจของธรรมะที่ควรจะใช้ในการ ปฏิบัติ หาใช่อิสรภาพที่อยู่ภายนอกไม่

ประการที่ห้า ประชาธิปไตยซึ่งนำปฏิบัตินั้นไม่ใช่การปฏิวัติ ซึ่งเรื่องนี้ฉันยังจำได้ว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งตัวฉันเองอยู่ในต่างประเทศ และมีการปฏิวัติเกิดขึ้นในเมืองไทยโดยอ้างว่าต้องการประชาธิปไตย ชาวต่างประเทศที่เขายืนอยู่ใกล้ตัวฉันหันมาหัวเราะเยาะ แสดงว่าเป็นเรื่องตลกขบขัน และทำให้คนต่างชาติเขาดูถูก ความจริงยังมีประเด็นสำคัญๆ อีกหลายอย่าง แต่ฉันขออนุญาตไม่นำมาเล่าให้ฟัง

จากเหตุการณ์ครั้งนั้นถัดมาอีกประมาณ 1 ปี ก็มีผู้ชายคนหนึ่งซึ่งอยู่ในกระบวนการปฏิวัติ และเป็นคนสำคัญร่วมด้วย เขาได้วิ่งเข้ามาในบ้านพ่อของฉันแล้วพูดว่า “ท่านครับ ผมขอหลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านท่านสักระยะหนึ่ง เพราะพวกมันกำลังตามฆ่าผม” นอกจากนั้นพ่อฉันเองก็เป็นคนมีนิสัยให้ความเมตตาแก่ทุกคน จึงอนุญาตให้หลบซ่อนตัวอยู่ในห้องๆ หนึ่ง อีกทั้งยังส่งข้าวส่งน้ำให้กินเป็นเวลาประมาณหนึ่งเดือน ประเด็นนี้แสดงว่ากลุ่มบุคคลซึ่งทำการปฏิวัติส่วนใหญ่หาได้ต้องการ ประชาธิปไตยไม่ หากต้องการอำนาจจากองค์พระมหากษัตริย์ และกาลเวลามันก็พิสูจน์ความจริง ดังจะพบได้ว่าช่วงหลังๆ นักการเมืองส่วนใหญ่นิยมใช้อำนาจมากกว่าการใช้ศรัทธาโดยมุ่งมั่นสร้างคุณงาม ความดีเอาไว้ให้คนเคารพนับถือ

ส่วน ประการที่หก คนกลุ่มดังกล่าวมองข้ามความสำคัญของจารีตประเพณี จึงขาดความสังหรณ์ใจว่าในอดีตที่ผ่านพ้นมา เป็นเวลาอันยาวนานตั้งแต่ยุคประวัติศาสตร์ของชาติไทย องค์พระมหากษัตริย์ก็ได้กู้เอกราชของแผ่นดินผืนนี้เอาไว้ด้วยการเสียสละแม้ กระทั่งชีวิตเพราะต้องการให้คนไทยมีแผ่นดินอยู่อย่างมีอิสรเสรีมาตลอด

นี่แหละที่เป็นเหตุผลหนึ่งซึ่งทำให้ฉันไม่ยอมไปเรียนต่อเมืองฝรั่ง ทั้งๆ ที่ได้ทุนจากมูลนิธิร็อคกี้เฟลเลอร์ให้ไปเรียนรวดเดียวได้ปริญญาเอก แถมยังเก็บทุนนี้ไว้ให้อีกถึง 3 ปี แต่ฉันมีศิลปะที่จะไม่ยอมไปโดยนิ่งเฉยเสียจึงไม่มีใครรู้ว่าเพราะเหตุใด นอกจากนั้นแล้วถัดมาฉันยังเขียนบทความเรื่องหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า “อย่าเอาป้ายด็อกเตอร์มาแขวนคอฉัน” แม้ตัวเองจะได้รับกิตติมศักดิ์มาแล้วถึง 4 มหาวิทยาลัย แต่ฉันก็พูดในที่ต่างๆ ว่า การได้กิตติมศักดิ์นั้นเขาไม่นิยมเรียกกันว่า “ด็อกเตอร์”

อีกประการหนึ่งสิ่งที่น่าเกียจมากก็คือ ในระบบการบริหารการศึกษาของไทยได้มีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งส่วนใหญ่ขึ้นไปครอง อำนาจอยู่ด้านบนและเป็นคนได้ปริญญาด็อกเตอร์มาจากเมืองนอก คนกลุ่มนี้ได้ออกประกาศว่า คนที่ไม่ได้เรียนด็อกเตอร์มานั้น “ไม่ควรจะใช้คำว่าด็อกเตอร์นำหน้าชื่อ” นี่ แสดงว่าคนกลุ่มนี้ขึ้นไปอยู่ด้านบนแล้วลืมตัว จึงไม่รู้ว่าอะไรควรพูดอะไรควรให้คนอื่นเขาพูด หลักฐานนี้ฉันได้เก็บไว้เพื่อเตือนสติตัวเอง นี่แหละเป็นผลให้คนไทยถูกครอบงำเพราะมีรากฐานที่ขาดความเข้มแข็งจึงยอมตนให้ ตกเป็นทาสคนอื่นโดยไม่นึกถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

“ความจริงแล้วการไปเรียนต่อหากมองอีกด้านหนึ่งก็น่าจะเป็น ผลดีแก่ตนเอง ถ้ามีรากฐานจิตใจเข้มแข็งถึงระดับหนึ่ง เพราะทำให้มีโอกาสต่อสู้กับกิเลสที่มันอยู่ในใจตัวเองอันควรถือว่าเป็นบท เรียนสำหรับชำระล้างกรรม ซึ่งทุกคนที่เกิดมาย่อมมีกิเลสด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่ตัวฉันเองก็มี เว้นไว้แต่ว่าใครมีมากมีน้อย”

ความจริงแล้วท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ระหว่างที่ท่านยังไม่ได้ละสังขารก็ได้กล่าวฝากไว้ว่า “วิถีการเปลี่ยนแปลงอันใดซึ่งทำให้เกิดปัญหา หากกลับทิศทางได้ ก็ย่อมช่วยแก้ปัญหาให้สำเร็จได้ทุกเรื่อง” ถ้ามนุษย์รู้จักเข็ดหลาบ ทั้งนี้เพราะการกลับทิศทางนั้น หากไวต่อความรู้สึกเป็นทุกข์ก็ย่อมบังเกิดสติเป็นพื้นฐานสำคัญ อันจะนำกลับมาพบความสุขที่ใจตนเองได้ในที่สุด

ดังนั้น ถ้าย้อนกลับไปสำรวจขั้นตอนการได้มาซึ่งตัวแทนของประชาชนเพื่อการจัดการทาง การเมือง แต่แรกเราก็เริ่มต้นจากการสมัครรับเลือกตั้ง หลังจากนั้นจึงติดตามมาด้วยพฤติกรรมการหาเสียง ซึ่งวินิจฉัยได้ว่า การสมัครรับเลือกตั้งนั้น คนดีมีมารยาทย่อมละอายต่อความรู้สึกอยากได้ จึงไม่ประสงค์ที่จะสมัครเอง ยิ่งการออกไปหาเสียงด้วยแล้ว หากกำหนดให้ต้องโฆษณาตัวเองเพื่ออวดความรู้ความสามารถ ซึ่งประเด็นนี้คนดีมีคุณธรรมย่อมไม่เอาความรู้ความสามารถออกมาพูดทับถมคน อื่น แม้อาจไม่พูดแต่ก็ทำให้คนอื่นเขาวินิจฉัยได้ถึงเหตุและผล

ซึ่งประเด็นดังกล่าวทำให้ฉันนึกถึง ท่านพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ท่านได้เคยปรารภกับฉันว่า การสนับสนุนให้คนแข่งขันกันเองย่อมทำให้คนในสังคมได้รับความเดือดร้อน แม้ท่านจะได้กล่าวในเชิงปัญหาการศึกษา ดังที่สัจธรรมได้ชี้ไว้ว่า “เมื่อเกิดเรื่องขึ้นที่ไหน ที่อื่นมันก็ย่อมเกิดได้ทั้งนั้น”

สิ่งที่ได้วินิจฉัยมาแล้วทั้งหมด เพียงแค่นี้ก็สามารถรู้ได้ว่า เหตุใดปัญหาการเมืองมันถึงเกิดขึ้น ก็เพราะเหตุว่าคนส่วนใหญ่ขาดการสำนึกได้ถึงคุณธรรมประจำใจ

การที่ฉันนำเรื่องนี้มาเขียนก็เพราะมีความประสงค์ที่จะชี้ทางให้ท่าน ที่เคารพทุกคนแม้แต่กลุ่มบุคคลซึ่งถูกเรียกว่านักการเมือง ได้สำเนียกเอาไว้โดยไม่มีเจตนาที่จะเจาะจงลงไปยังบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือคณะ บุคคลใดคณะหนึ่ง

บังเอิญวันสงกรานต์ที่ผ่านมา อันควรถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามประเพณีไทย ซึ่งมีการนำปฏิบัติกันมาแล้วในอดีตเป็นระยะเวลาอันยาวนาน

ในโอกาสนี้ได้มีบรรดาผู้ที่ให้ความเคารพนับถือรวมทั้งลูกศิษย์ลูกหา ที่มารดน้ำขอพร

พรที่ฉันให้แก่ทุกคนนั้น เธอคงได้ยินเป็นประจักษ์พยานแล้วว่า “ผมคงไม่บังอาจที่จะให้พรใคร ทั้งนี้เพราะเหตุว่าทุกคนมีพรสวรรค์อยู่ในใจมาตั้งแต่เกิด” เพียง แต่เกิดความทุกข์ขึ้นเมื่อไหร่และด้วยเรื่องอันใด ขอให้หวนกลับมาค้นหาเงื่อนปมที่มันอยู่ในใจตนเองให้ถึงความจริง หลังจากนั้นจึงตั้งจิตให้สงบ อีกทั้งทำความเข้าใจความหมายของคำว่าพอเพียงให้ลึกซึ้งที่สุด อันนับได้ว่าเป็นวิธีการดับทุกข์อันประเสริฐที่สุดแล้ว

ส่วนตัวผมนั้นคงให้ได้แต่กำลังใจ หากวิธีให้กำลังใจโดยไม่ต้องพูด นี่แหละคือของจริง ความหมายของการให้กำลังใจโดยไม่ต้องพูดก็คือ ตัวผมเองมีอายุกำลังจะย่างเข้า 90 ปีแล้ว แต่ตนก็ยังมุ่งมั่นทำงานหนักมากยิ่งกว่าเก่า ทั้งนี้เพราะรู้แล้วว่าการพักผ่อนก็คือการทำงานอย่างมีความสุข อีกทั้งยังมีผลช่วยให้ชนรุ่นหลังเกิดกำลังใจเพิ่มมากยิ่งขึ้น

สรุปแล้วทุกคนมีสิ่งที่ดีงามอยู่ในใจตนเองมาตั้งแต่เกิด เพียงแต่อย่าคิดดูถูกตัวเอง หากมุ่งมั่นรักษาสิ่งที่ดีงามภายในจิตใจเอาไว้ให้มั่นคงอยู่ได้เท่านั้นก็ นับว่าเป็นการพอเพียงแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น