++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ตรรกะของการคิดที่จะเลือก “โหวตโน” โดย สุจิตร

สังคมที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มีแต่จะเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ ไม่มีใครละอายและเกรงกลัวต่อบาปรวมทั้งกฎหมายบ้านเมืองอีกต่อไป ใครใหญ่ใครโตใครมีอิทธิพลจะทำเลวอย่างไรก็ได้เนื่องเพราะคนในกระบวนการยุติธรรมซื้อได้หมด ทั้งตำรวจ ทั้งอัยการ ถ้าผู้ใหญ่ผู้โตผู้มีอิทธิพลทำผิดจริงและเจ้าของคดีหรือเจ้าของสำนวนไม่รู้จะใช้ช่องทางใดของกฎหมายเพื่อมิให้ผู้กระทำผิดโดยเฉพาะผู้มีอิทธิพลหรือผู้ที่เป็นนักการเมืองต้องรับผิดทางอาญา วิธีที่ได้ผลที่สุดคือ ดึงเรื่องไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็คือ “คดีหมดอายุความ” (ตัวอย่างมีให้เห็นชัดเจนไม่ว่าจะในเรื่องของ “คดีบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน” หรือ “คดีสนามกอล์ฟอัลไพน์” และอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองใหญ่)

นี่แหละคือสังคมที่ไม่เป็นธรรม นี่แหละคือสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำ

ความเหลื่อมล้ำที่มนุษย์ทนไม่ได้มากที่สุดก็คือ ความเหลื่อมล้ำในการใช้กฎหมายต่อผู้คนในบ้านเมืองที่แตกต่างกัน ไม่ใช่เรื่องความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ ไม่ใช่เรื่องความเหลื่อมล้ำเพราะบางคนได้เกิดบนกองเงินกองทอง แต่บางคนเกิดบนกองผ้า ไม่ใช่เรื่องที่คนบางคนได้เรียนสูงจบจากอีตันจบออกซฟอร์ดแต่คนบางคนได้เรียนจบแค่ ปวส.

ไม่เคยมีกลุ่มคนใดฆ่าคนกลุ่มคนอื่นเพราะเขาได้เรียนน้อยกว่าคนอื่น ไม่เคยมีกลุ่มคนใดฆ่ากลุ่มคนอื่นเพราะเขามีรายได้น้อยกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง ไม่เคยมีเด็ก ปวส. ไปเดินขบวนประท้วงหน้าบ้านนายกฯ ด้วยเหตุไม่พอใจที่ลูกหลานในบ้านของท่านไปเรียนที่อังกฤษกันหมด

นับตั้งแต่อดีตกาลเป็นต้นมา ความเหลื่อมล้ำในความรับผิดทางกฎหมายคือประเด็นที่ทำให้ทุกบ้านทุกเมืองลุกเป็นไฟเป็นสงครามกลางเมือง เพราะในขณะที่ เขา กลุ่มของเขา ต้องรับโทษทัณฑ์ทางกฎหมายเพราะกระทำผิด แต่บางคน บางกลุ่ม ไม่ต้องรับโทษทัณฑ์ทางกฎหมายแม้จะกระทำผิดในฐานความผิดเดียวกัน ด้วยเพราะอิทธิพล ด้วยอำนาจทางการเงิน ด้วยความรู้จักเป็นการส่วนตัวกับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง

ขืนอยู่ต่อไปในสภาพนี้ สังคมก็มีแต่จะเลวลงเรื่อยๆ และบรรลัยในที่สุด

ผู้เขียนอยากหาใครสักคนที่สามารถอธิบายและโน้มน้าวให้ผู้เขียนเชื่อได้ว่า บ้านเมืองที่อยู่ในสภาพอย่างนี้ สภาพที่เลือกตั้งแล้วได้นายกฯ จากพรรคการเมือง ได้นายกฯ แล้วก็ได้ครม. จากพรรคร่วมรัฐบาล ได้รัฐบาลแล้วก็ได้เจ้ากระทรวง ได้เจ้ากระทรวงแล้วเจ้ากระทรวงก็ไปคดโกงประเทศชาติ นับตั้งแต่เรื่องเล็กๆ เช่น โดยการโฆษณา (ครั้งละไม่เกินสองล้านบาททั้งที่ค่าจ้างจริงอาจไม่ถึงหนึ่งแสนบาท) ไปจนถึงเรื่องกินโครงการพันล้าน หมื่นล้าน แสนล้าน ครบสี่ปีก็ไปเสี่ยงดวงเลือกตั้งกันใหม่ เลือกตั้งแล้วก็ได้นายกฯ ได้นายกฯ แล้วก็ ..... ฯลฯ ช่วยอธิบายให้ผู้เขียนเชื่อว่า การทำเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ บ้านเมืองจะมีทางรอดแน่นอน !?

ปชป.บอกว่าถ้า “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” ก็แล้วที่ ปชป. อยู่เป็นผู้บริหารบ้านเมือง ปชป.ได้ทำอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเรื่องหมิ่นเบื้องสูง เรื่องเขมร เรื่องค่าครองชีพ เรื่องราคาน้ำมันของปตท.ที่เพิ่มขึ้นทุกตี 5 ของวันศุกร์ เรื่องสังคมที่ฟอนเฟะ เรื่องที่สมควรทำอีกร้อยแปดพันเก้า ปชป.ไม่เคยทำ ฯลฯ ที่เห็นทำก็มีแต่ “ชั่งไข่ขาย” และ “สุวรรณภูมิเฟสสอง”

สภาพคนไทยและสังคมไทยที่เป็นอยู่ในขณะนี้ก็มีสภาพเหมือน “กบ” ที่ถูกต้มด้วยไฟอ่อนๆ ไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็เป็น “กบต้มสุก” ไปแล้ว

ผู้เขียนขอเป็น “กบ” ที่โดดออกจากหม้อที่กำลังอุ่นและไปตายดาบหน้า (อย่างน้อยก็ยังมีทางเลือก มีโอกาสรอด หรืออาจเจอชีวิตที่ดีกว่า อย่างเลวก็แค่ “ตาย”) ดีกว่าที่อยู่ในหม้อต่อไปและกลายเป็น “กบต้มสุก” ในที่สุด ซึ่งก็ต้องตาย “อย่างแน่นอน”

ถ้าเลือก “โหวตโน” และทำให้ “ทักษิณ” กลับมา ก็มาต่อสู้กันต่อด้วยกำลังของประชาชนที่รักบ้านรักเมืองต่อไป หรือด้วยกำลังของ “เหล่าทัพ” คนเหล่านี้ย่อมรู้ดีว่า “ดินแดน” “อธิปไตย” และ “ศักดิ์ศรี” แปลว่าอะไร มีความหมายอย่างไร คนเหล่านี้ย่อมรู้และย่อมตระหนักได้ดีกว่า “คน” ที่จบจากอีตันและ “ดีแต่พูด” (ที่ผ่านมาตลอดนั้น ยังไม่เคยเห็นคน ปชป.ที่ “กล้า” ออกมาต่อสู้กับคนที่ทำร้ายบ้านเมือง ยกเว้น วัชระ เพชรทอง อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ที่เหลือได้แต่ “คราง” อยู่ “ใต้ถุนบ้าน”)

ถ้า “ทักษิณ” กลับมาและสุดท้ายบ้านเมืองจะต้องล่มสลาย ก็ไม่ต่างกับที่ ปชป. กำลังทำให้บ้านเมือง “ล่มสลาย” และ “ไร้ศักดิ์ศรี” อย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ ข้อดีคือจะได้ “จบๆ กันเสียที ไม่ต้องยืดเยื้อ” สรุปก็คือ “ผลสุดท้ายที่เลวร้าย” นั้นไม่แตกต่างกัน

แต่ถ้า “โหวตโน” และทำให้บ้านเมืองเจริญขึ้น ไม่ว่าจะเกิดรัฐประหารหรืออะไรก็สุดแล้วแต่ และทำให้ได้ผู้นำที่ดี ผู้นำที่ทำให้คนไทยได้อยู่อย่างมี “ศักดิ์ศรี ภูมิใจและรักในความเป็นคนไทย” (มิใช่ด้วยวิธี “ไร้สติ” แบบคนในกระทรวงศึกษาฯ ที่ต้องการให้เด็กไทยภูมิใจในความเป็นคนไทยโดยการให้สอบภาษาไทยสำหรับคนที่จะเรียนแพทย์หรือวิศวะอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้) นั่นก็คือ “ทางรอดของสังคมไทย”

นี่ก็คือ “อานิสงส์” ของการ “โหวตโน”

ยังไงก็เลือก “โหวตโน”

ป.ล. เมื่อครั้งที่เรามีนายกฯ ชื่อ บรรหาร (ขออนุญาตที่เอ่ยนามท่าน) หลายคนเคยพูดทำนองสบประมาทท่านว่า “บรรหารเป็นนายกฯ ได้ ใครก็เป็นนายกฯ ได้” เรียนตามตรงว่าผู้เขียนไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น เพราะเชื่อว่ายังมีคนเก่งในบ้านเมืองอีกมากมาย ยังมีความเชื่อว่า การเป็นนายกฯ นั้นต้องทำงานหนัก ต้องทุ่มเท ต้องใช้สติปัญญา ต้องเรียกได้ว่า “สละชีพเพื่อชาติ” ได้

เมื่อแรกที่บ้านเมืองเราได้อภิสิทธิ์เป็นนายกฯ ผู้เขียนวาดหวังว่า นายกฯ อภิสิทธิ์ในฐานะที่เป็นคนรุ่นใหม่เป็นคนที่มีการศึกษาดีกว่าคุณบรรหารจะมาช่วยบ้านเมืองโดยการคิดวางระบบให้แก่สังคมเพื่อให้สังคมมีความปลอดภัย จะทุ่มเทเพื่อให้สังคมดีขึ้นน่าอยู่ขึ้นโดยใส่ใจกับสิ่งแวดล้อม จะผูกสัมพันธ์กับมิตรประเทศมากมายเพื่อช่วยเหลือกันเวลาประสบภัยพิบัติต่างๆ จะไปเยี่ยมเยียนคนไทยตามภูมิภาคต่างๆ เพื่อรับฟังปัญหาและร่วมแก้ไขปัญหา จะศึกษาและรู้ให้เท่าทันการทำงานของกระทรวงต่างๆ เพื่อให้เกิดประโยชน์ยิ่งแก่บ้านเมือง (มิใช่แบ่งกระทรวงแล้วก็ถือว่าแบ่งเค้กไปต่างคนต่างรับผิดชอบดังเช่นที่ผ่านมา) จะให้นโยบายด้านการศึกษาเพื่อให้การศึกษาของประเทศมีคุณภาพ (มิใช่เพียงแค่ “เรียนฟรี” ดังเช่นรัฐบาลเก่าๆ ซึ่งมีความเชื่อว่าการเรียนฟรีจะทำให้การศึกษาของไทยโชติช่วงชัชวาล) จะไปให้กำลังใจทหารที่กำลังทำศึกกับต่างชาติโดยไม่คิดว่ามีรัฐมนตรีกลาโหมรับผิดชอบอยู่แล้วแต่คิดในมุมที่ว่าตนเองคือ “ผู้นำ” จะมาเป็นผู้นำในการทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า National Master Plan และจะแสดงแนวความคิดอย่างชัดเจนให้ปรากฏแก่สาธารณชนในวิถีการ “สร้างชาติเพื่อคนรุ่นหลัง”

ผ่านมา 3 ปี ผู้เขียนยังไม่เห็นสิ่งเหล่านี้แม้แต่น้อย

นี่คือ คนไทยที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย!

แล้วทำไมจะไม่เลือก “โหวตโน”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น