++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554

หมายเหตุพฤษภา : .ฟ้าร่ำไห้ แผ่นดินสิ้นแสง!? โดย สำราญ รอดเพชร

ผู้ดำเนินรายการ : สำนักพระราชวังจะไม่สามารถส่งไปได้ถ้าพระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงรับสั่ง มีประเด็นไหนไหมที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นห่วงมากที่สุดอันดับต้นๆ เลย คืออะไรพระพุทธเจ้าข้า

ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : พูดตรงๆ ทั้งสองพระองค์เป็นห่วงความสามัคคีกลมเกลียวกันในชาติไทย เพราะว่าถ้าแตกแยกกัน ศัตรูนี้จะทำร้ายเราง่ายมาก คนไทยเราต้องเข้มแข็ง มีมิตรจิตมิตรใจต่อกัน สามัคคีกัน ชาติจึงจะเจริญได้ เพราะว่าจะเล่าไปข้าพเจ้าเป็นคนไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง ไม่อยากพูดถึงใครว่าใครดีใครเลวไม่รู้ เพราะไม่เคยคบนักการเมือง

แต่ว่า...รู้แต่ว่า เหตุการณ์ปีที่แล้ว ที่มีการเผาบ้านเผาเมืองกัน อันนั้นนำความทุกข์มาสู่พระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จฯ เหลือเกิน พระเจ้าอยู่หัวจากที่ทรงหัดเดินได้ ตอนนั้นทรงทรุดเลย เป็นไข้ต้องให้น้ำเกลือนอนแบ่บเลย สมเด็จฯ ก็เสียพระทัยมากเลย ท่านรับสั่งว่า คราวที่เราถูกเผาเมืองนั้น คือสมัยเสียกรุงต่อพม่า กรุงศรีอยุธยา แต่คราวนี้สะเทือนใจยิ่งกว่า เพราะเป็นการที่คนไทยเผาเมืองไทยเอง

ผู้ดำเนินรายการ : ทูลกระหม่อมคิดว่า ประเทศชาติของเราจะสามารถเดินหน้าเป็นปึกแผ่นด้วยวิธีใดหลังจากนี้ ด้วยวิธีใดบ้างพระพุทธเจ้าข้า เพราะว่าใครที่ชมอยู่ทางบ้านอาจจะสับสน ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงดี

ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ : จริงๆ แล้วการแบ่งก๊กแบ่งเหล่านี่ มันเป็นของไม่ดีสำหรับบ้านเมือง คือมีอะไรก็น่าจะค่อยพูดค่อยจาอย่าทำอะไรรุนแรง การแบ่งก๊กแบ่งเหล่าปิดถนนมันทำให้จราจรติดขัดบ้าง คนก็อารมณ์ไม่ดี แล้วข้าพเจ้าไม่เข้าข้างใครไม่ว่าสีอะไรต่อสีอะไร

ต้องยกคำพูดของท่านพระอาจารย์อินทร์ถวาย ตอนนี้เป็นอาจารย์ที่ดูแลทางธรรมะของข้าพเจ้าต่อจากหลวงตามหาบัว อาจารย์อินทร์ถวายนี่เป็นลูกศิษย์ที่สนิทที่สุดคนหนึ่งของหลวงตามหาบัว ท่านบอกว่า เคยมีคนมาถามท่านว่า เชียร์สีแดงหรือสีเหลือง ท่านบอกว่าสีกรัก สีกรักนั่นคือสีที่ย้อมเป็นจีวรพระ ท่านบอกท่านเชียร์สีกรักเช่นเดียวกันตัวฉันเองก็คงเชียร์สีกรักเหมือนกัน

…………….

ข้างบนคือบางส่วนที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประทานสัมภาษณ์เรื่องราวส่วนพระองค์ผ่านทางรายการ “วู้ดดี้ เกิดมาคุย” และออกอากาศตอนแรกไปแล้วเมื่อ 3 เม.ย. 2554 กับอีกตอนในวันที่ 10 เม.ย. 2554 ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี

อันที่จริงบทสัมภาษณ์ที่ทูลกระหม่อม “ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์” รับสั่งกับ “วู้ดดี้ – วุฒิธร มิลินทจินดา” ชวนคิดชวนพิจารณาแทบทุกตอน โดยเฉพาะตอนที่รับสั่งเรื่องการปฏิบัติธรรมในฐานะ “เด็กวัด” ศิษย์หลวงตามหาบัว หรือตอนที่รับสั่งว่า “อยากให้ทูลกระหม่อมพ่อได้รับความยุติธรรมที่ท่านควรจะได้รับ รวมทั้งสมเด็จแม่ด้วย ท่านทรงตรากตรำเหลือเกิน”

ท่านผู้อ่านลองฟัง ลองอ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มเถอะครับ

แต่เหตุที่ผมยกเฉพาะตอนที่ “ฟ้าหญิงเล็ก” ทรงรับสั่งถึงเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองเมื่อเดือนพ.ค. 2553 ก็เพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวกำลังครบรอบปี อยากจะเหลียวหลังแลหน้าบ้างในบางมุมบางความรู้สึก

หลายท่านอาจจะถูกตั้งคำถามเหมือนกับที่ผมเจอ นั่นคือคำถามที่ว่า...เผาบ้านเผาเมืองกันขนาดนั้น ฆ่ากันตาย 91 ศพ บาดเจ็บอีก 2 พันกว่าราย ทำไมบ้านเมืองยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทำไมอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังอยู่บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้ ทำไมรัฐไทยจึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทำไมจึงยังปล่อยให้ “แดงลอยนวล” อะไรประมาณนั้น

ต้องเรียนตรงๆ ว่า มีบางสุ้มเสียงที่พยายามพาดพิงถึงสถาบันในเชิงตั้งคำถามด้วยเช่นกัน...

ผ่านเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองไปเดือนสองเดือน ผมลองตั้งสติคิดช้าๆ และก็ได้คำตอบที่เป็นหลักการให้กับตัวเองว่า การก่อจลาจลเผาบ้านเผาเมืองของคนเสื้อแดงในห้วงเดือนเม.ย.-พ.ค. 2553 หรือแม้แต่เหตุการณ์สงกรานต์เลือดเมื่อเดือนเม.ย. 2552 ก็เพื่อหวังผลให้สถาบันพระมหากษัตริย์หรือ “พ่อหลวง” ของเราลงมาหย่าศึกหรือไกล่เกลี่ยแบบ “พฤษภา (ทมิฬ) โมเดล” นั่นเอง ซึ่งใครต่อใครรวมทั้งผมด้วยคนหนึ่งได้วิเคราะห์วิจารณ์ไว้ก่อนหน้าเกิดเหตุทั้งสองครั้งว่า “พฤษภาโมเดล” ของทักษิณ ชินวัตรหรือคนเสื้อแดงจะล้มเหลว เพราะที่มาที่ไปของเหตุการณ์ขับไล่การสืบทอดอำนาจของคณะนายทหารในนามคณะ รสช.เมื่อปี 2535 กับแผนกลับมามีอำนาจอีกครั้งของระบอบทักษิณมันคนละบริบทคนละเรื่องเดียวกัน

พฤษภา 2535 นั้นกองทัพ-รัฐบาลขัดแย้งกับประชาชนคนไทยที่รักบ้านรักเมืองและหลากหลาย แต่พฤษภา 2553 นั้น คนไทยที่ศรัทธาทักษิณลุกฮือต่อสู้เพื่อจะเอาทักษิณกลับบ้าน สู้เพื่อคนคนเดียว มิหนำซ้ำกองทัพคนเสื้อแดงบางส่วนยังเป็นพวก “ล้มเจ้า” อีกต่างหาก

การที่องค์พระประมุขไม่ลงมาหย่าศึกหรือไกล่เกลี่ย...จึงเป็นไปตามเหตุปัจจัยอย่างที่หลายฝ่ายคาดหมาย

วันนี้ยิ่งเราได้ยินได้ฟังเต็มๆ จากเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินว่า ในหลวงและพระราชินีทรงทุกข์พระทัยเป็นอย่างยิ่งจากเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง ก็น่าจะทำให้เราๆ ท่านๆ และใครต่อใครหูตาสว่าง รู้แจ้งเห็นจริงมากขึ้นว่าอะไรเป็นอะไร

...............................

อย่างไรก็ตาม สรรพสิ่งย่อมเปลี่ยนแปลง สังคมมีพลวัต ไม่มีอะไรหยุดนิ่ง ในทางการเมืองเรื่องจริง เมื่อ “ทักษิณ” รู้ดีว่าสูตรเผาบ้านเผาเมืองใช้ไม่ได้ ก็ย่อมที่จะสรุปบทเรียนเปลี่ยนแปลงกระบวนท่าหรือแม้กระทั่งเนื้อหาบางส่วนให้กลมกลืนกับสถานการณ์ (ซึ่งวันหนึ่งข้างหน้าตั้งใจจะเขียนถึงสักครั้ง)

หันมามองฝ่ายรัฐไทย ภายใต้การบริหารจัดการของรัฐบาลชุดปัจจุบัน วันนี้สถานการณ์โดยรวมได้ข้ามพ้นนาทีหรือวันคืนที่จะจัดการกับแดงล้มเจ้า แดงเผาบ้านเผาเมืองมาแล้ว....

“ทักษิณ”-คนเสื้อแดงไม่เผาบ้านเผาเมือง แต่จะมายึดบ้านยึดเมืองคืนภายใต้กติกาประชาธิปไตยแบบและวัฒนธรรมทางการเมืองแบบไทยๆ ปัญหามีอยู่ว่าคู่ต่อสู้ของระบอบทักษิณ-คนเสื้อแดง อย่างสถาบันกองทัพหรือแม้แต่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะกำหนดยุทธศาสตร์ยุทธวิธีเฉพาะส่วนหรือแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่างกันหรือไม่อย่างไร

และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคประชาธิปัตย์ที่จะเผชิญหน้าโดยตรงในสนามเลือกตั้ง จะมีอะไรมากไปกว่าการสร้างวาทกรรมเดิมๆ “ไม่เลือกเราเขามาแน่” ทั้งๆ ที่ตัวเองอยู่ในอำนาจ 2 ปีเศษแต่ไม่สามารถทำอะไรได้ ปล่อยให้เกิดเหตุเผาบ้านเผาเมือง....แดงลอยนวล..ฯลฯ...

ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เพราะนอกเหนือจากเดิมพันประเทศ เดิมพันอนาคตรัฐบาลชุดใหม่แล้ว ยังเดิมพันอีกหลายสิ่งหลายอย่างสำหรับสังคมไทยในวันหน้า...

samr_rod@hotmail.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น