++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

พุทธวิธีเตรียมตัวก่อนตาย โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์

พุทธวิธีเตรียมตัวก่อนตาย
โดย พระธรรมสิงหบุราจารย์
(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี)
ที่หอประชุม วัดอัมพวัน
๒๘ ส.ค. ๒๕๒๙

โพสท์ในลานธรรมเสวนา หมวดชีวิตกับธรรมะ กระทู้ 15559 โดย: milkyway 24 มิ.ย. 48 - 21:57

“พุทธวิธีเตรียมตัวก่อนตาย” เป็นหัวข้อที่ดีมาก ไม่มีใครคิดขึ้นมา คิดมองกันแต่ข้างหน้า ไม่มองย้อนกลับข้างหลัง ท่านทั้งหลายโปรดพิจารณา โลกกำลังจะแตกแล้ว ขาดความสามัคคี หาความพอดีไม่ได้ เดินสวนทางกันหมดแล้ว ประเทศจะเหมือนเมื่อ พ.ศ.๒๓๑๐ สมัยกรุงศรีอยุธยาราชธานีที่ผ่านมา ปัจจุบันนี้โลกเจริญมาก แต่จิตใจเลวที่สุด เดี๋ยวนี้เด็กติดยาเสพติดกันมาก เด็กไม่เรียนหนังสือกันเป็นเพราะเหตุประการใด

ท่านผู้เป็นบิดามารดาโปรดพิจารณาด้วย ถ้าท่านเป็นบิดามารดาไม่ได้ดูลูกเลยจะเสียใจต่อภายหลัง นี่เป็นความสำคัญของชีวิตในระยะกลาง อย่าให้ลูกอยู่ว่าง อย่าให้ห่างผู้ใหญ่ จะหลงทางได้ง่าย ท่านเตรียมตรงนี้หรือยัง จะไปเตรียมตอนแก่แล้วจึงเข้าวัดจะเกิดประโยชน์ไหม เข้าวัดตอนแก่จะเข้าไปทำไม ควรจะเตรียมตัวตั้งแต่เป็นเด็ก

เตรียมตัวตั้งแต่เด็กเตรียมอย่างไร

พ่อแม่ควรสอนลูกหลานตั้งแต่ยังเด็กจะมีวิธีการสอนอย่างไร เมื่อ ๑๕ ปีมาแล้ว อาตมาไปพูดที่โรงเรียนอนุบาลจังหวัดสระบุรี เด็กเล็ก ๆ ทั้งนั้น เขาก็เกรงว่าเด็กจะสนใจฟังได้แค่ ๕ นาที ถ้าเลยกว่านี้ต้องซนอยู่ไม่ได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าทำอย่างไรจึงจะทำให้เด็กอนุบาลอยู่ฟังได้ถึง ๓ ชั่วโมง อาตมาคิดว่า เด็กชอบอะไร เด็กเป็นอะไร นึกได้ว่าเด็กก็เหมือนปลาต้องมีเหยื่อล่อ อาตมาจึงเตรียมพร้อมโดยเตรียมปัจจัยใส่ซองไปห้าพันบาท ซองละ ๑๐ บาท นำทอฟฟี่ไป ๕ ปี๊บ มีเด็กอยู่สามพันคน เริ่มรายการก็แจกทอฟฟี่ก่อน เด็กก็ไม่พูด พอได้ ๕ นาทีก็จุดธูปเทียนบูชาพระแล้วรับศีล อาตมาใช้วิธีบรรยายถาม – ตอบ ไม่ใช้วิธีบรรยายเรื่อยไป เด็กจะจำไม่ได้ ทำให้เด็กอยู่ฟังได้เป็นชั่วโมง

อาตมาถามว่าใครเป็นชาวพุทธยกมือขึ้น ใครเป็นอิสลามยกมือขึ้น ใครเป็นคริสต์ยกมือขึ้น ปรากฏว่ามีทุกศาสนา

อาตมาถามว่า “ศาสนาแปลว่าอะไร” ให้คนที่เป็นพุทธตอบก่อนก็ตอบไม่ได้ ให้คริสต์ตอบ ก็ตอบไม่ได้ อิสลามคนหนึ่งลุกขึ้นยืนตอบทันทีว่า “ศาสนาแปลว่าคำสั่งสอนเจ้าข้า” อาตมาจึงยื่นซองให้ไปหนึ่ง พวกก็ฮากันเลย ถ้าพูดไปเรื่อย ๆ เด็กจะไม่จำ

ข้อต่อไปก็ถามว่า “คำสั่งกับคำสอนแปลว่าอะไร” ให้พุทธตอบก็ตอบไม่ได้ คริสต์ก็ตอบไม่ได้ เด็กอิสลามคนหนึ่งยืนขึ้นบอกว่าหนูตอบเองเจ้าข้า “คำสั่งแปลว่าวินัย คำสอนแปลว่าธรรมะ” อาตมาจึงเรียกให้มารับซองไป ๒ ซอง ผู้ใหญ่ยังตอบไม่ได้ แต่อิสลามตอบได้หมด คำสั่งคือวินัย ผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาสั่ง นี่คือวินัย คำสอนนั้นเป็นหลักธรรม ถ้าพูดอย่างนี้เด็กจะจำได้ทั้งสามพันคน ทำไมจำได้ก็ได้ของแล้วมันตื่นเต้น เด็กก็ชะเง้อ สนใจ สิ่งนี้เป็นเทคนิคในการสอน

อาตมาถามต่อไปอีก “ศีลคืออะไร” อิสลามตอบได้อีก “ศีลคือปกติเจ้าข้า” ศีลคือปกติ ทั้งสามพันคนจำได้หมด ถ้าเรามีนโยบายชี้แจงอย่างนี้ เด็กก็จำได้และอยู่กับเราได้ถึง ๓ ชั่วโมง คนจะปกติได้เพราะอะไร คนจะปกติได้คนนั้นต้องมีสติสัมปชัญญะ คนที่ขาดสติสัมปชัญญะจะไม่ปกติ พูดไม่มีหูรูด พูดขึ้นห้วยลงเขา นี่ต้องพูดตรงไปตรงมา

ศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ยอดพัฒนาจริง ๆ เริ่มพัฒนาจิตคน พอพัฒนาจิตแล้วคนก็อยากมีการศึกษาอยากจะแสวงหาความรู้ เรียกว่าพัฒนาการศึกษา พอพัฒนาการศึกษาเสร็จแล้ว ทุกคนก็อยากจะประกอบอาชีพการงาน พัฒนาเศรษฐกิจ ให้เศรษฐกิจดีขึ้น

ถ้าจิตใจแล้วก็จะพัฒนาอย่างนั้น สุดท้ายก็พัฒนาสังคมอยู่ด้วยความเมตตาปรานี อารีเอื้อเฟื้อ ขาดเหลือคอยดูกัน ถ้าพัฒนาผิดที่ก็เอาดีไม่ได้ ถ้าสร้างความดีถูกสถานที่ ถูกตัวบุคคล ถูกกาลเทศะและเสมอต้นเสมอปลาย รับรองผู้นั้นดีแน่

ปัญหาของชีวิตคือกฎแห่งกรรม

ขอเจริญพรพี่น้องทุกคนว่า ปัญหาชีวิตของแต่ละคนคือกฎแห่งกรรม แก้ให้กันไม่ได้ ตัวใครตัวมัน ต้องแก้ด้วยตัวเอง คนอื่นจะไปแก้ไขเขาก็ไม่ได้ พระพุทธเจ้าจบ ๑๘ ด๊อกเตอร์ ๑๘ ศาสตร์ เรียนมาหมดทุกอย่างแล้ว เพราะเหตุจึงต้องเสด็จบรรพชา ท่านต้องการไปหาวิชาแก้ปัญหาชีวิต วิชาแก้ทุกข์ ต้องใช้เวลาไปเรียนวิชานี้ถึง ๖ ปี กว่าจะได้วิชานี้มาให้เรา วิชาแก้ปัญหาชีวิต วิชาแก้ปัญหาทุกข์ แต่เรากลับเอาไปทิ้ง ไม่เคยมีใครนำมาใช้เลย มีแต่สร้างความทุกข์หาความสนุกในสังคมเท่านั้น

ผู้ที่มีทุกข์มาที่วัดอัมพวันมี ๕ ประการ ได้แก่

๑. ครอบครัวไม่มีความสุข

๒. ผิดหวังในชีวิต แก้ปัญหาไม่ได้ ผูกคอตาย ฆ่าตัวตาย เป็นโรคทันสมัยกันมาก โรคทันสมัยก็คือโรคประสาท

๓. ลูกไม่เรียนหนังสือ อย่างนี้อย่าโทษเด็ก เด็กติดยาเสพติดอย่าไปโทษเด็ก อาตมาโทษแม่ แม่ไม่ดี แม่แบบ แม่แผน แม่แปลนใช้ไม่ได้ แม่บ้านการเรือนเคหศาสตร์ไม่ดี ถ้าแม่บ้านการเรือนเคหศาสตร์ดี สามีจะเจ้าชู้หรือเล่นการพนันก็ไม่เป็นไร แม่บ้านเอาลูกไว้ได้แน่นอน ลูกได้ดีหมดทุกคน อาตมาจึงเขียนขึ้นมาว่า กันอยู่ที่แม่ แก้อยู่ที่พ่อ ก่ออยู่ที่ลูก ปลูกอยู่ที่ครู ความรู้อยู่ที่ศิษย์ จะได้เป็นมิตรกัน

๔. เศรษฐกิจไม่พอปากพอท้อง นี่แหละปัญหามันเกิดขึ้น เป็นหนี้สินกันไม่มีปัญญาจะใช้หนี้ เป็นกฎแห่งกรรม โดนล้มละลายเป็นแถว เพราะอะไร จะแก้อย่างไร เตรียมตัวอย่างไร น่าจะคิดตรงนี้ก่อน

๕. มีแล้วยังไม่พอ ตะเกียกตะกายไปยากจนหมดเงินหมดทองสิ้นเนื้อประดาตัว เดินทางผิด กฎจราจรผิด ก้าวพลาดก้าวผิดตลอดไป ชีวิตจึงไร้สาระมีปัญหาอย่างนี้ ท่านจะแก้อย่างไร

ถ้าท่านไม่ศึกษา ไม่ปฏิบัติธรรม ไม่ใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านจะแก้ปัญหาไม่ได้นะ อาตมาจึงถามเด็กว่า “หนู มหานิยมอยู่ที่ไหน” แม่ก็ตอบไม่ได้ มหานิยมอยู่ที่มีวิชาความรู้ ถ้าลูกเราเรียนมีวิชาความรู้เป็นด๊อกเตอร์ รับรองมีคนนิยมชมชอบมาก ตรงนี้เป็นมหานิยม ไม่ใช่ไปให้พระเป่าหัว ไปรดน้ำมนต์วัดโน้นวัดนี้ ลงเสน่ห์ ตรงนี้น่าคิดนะ ถ้าลูกของโยมเรียนหนังสือเก่งทุกคน จบปริญญาโท จบปริญญาเอก นี่ซิเป็นมหานิยม มีคนนิยมชมชอบมากมาย น่าจะเตรียมตัวกันตรงนี้ ไม่ใช่ไปเตรียมตัวตอนจะตาย

นอกเหนือจากนั้นแล้ว อะไรหนอที่เป็นเสน่ห์ เสน่ห์อยู่ที่คุณธรรม ถ้าคนไหนไม่มีคุณธรรม ไร้เหตุผล จะมีเสน่ห์ได้อย่างไร ไม่มีใครมองหน้าแน่นอน ถ้าลูกของท่านทั้งหลายไม่เรียนหนังสือเลย ไปไหนก็เก้อเขินไม่มีความรู้ความสามารถ นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องแก้ปัญหา แต่เราไปแก้ปัญหากันผิดจุด น่าจะแก้ตรงไปตรงมา ปากกับใจตรงกันหน่อยได้ไหม อาตมาจึงได้สรุปความไว้ข้อหนึ่งว่าเรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริง

ลูกนี้สำคัญมาก จะยกตัวอย่างให้เห็น ลูกมีทั้งเมตตามหานิยมที่สิงห์บุรี เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ ครอบครัวหนึ่งพ่อเป็นจับกัง แม่รับจ้างซักรีด มีลูกห้าคน เป็นด๊อกเตอร์สามคน เป็นเถ้าแก่เนี้ยขายทองที่เยาวราชสองคน จนแท้ ๆ เพราะเหตุใด เพราะเขามีคุณธรรม มีทั้งเสน่ห์ มีทั้งมหานิยม เรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริง ปฏิบัติพระกรรมฐานเป็นการแก้ปัญหา แก้กรรมของเขาได้ ของเจริญพรว่า คนดีมีปัญหาอยู่ที่ไหนมันก็จะไปถึงที่ได้ คนเศรษฐีมหาเศรษฐีลูกไม่เอาไหนก็เยอะ แก้ปัญหาชีวิตไม่ได้ ทั้งรักทั้งแค้นทั้งแน่นในทรวง ทั้งหึงทั้งหวงหนักหน่วงในหัวใจ จึงฆ่ารันฟันแทงกันได้ง่ายเหมือนผักปลา ขาดสติสัมปชัญญะ ขาดเหตุผล น่าจะเตรียมพร้อมตรงนี้ก่อนตาย

แก้ปัญหาชีวิตด้วยการมีสติยับยั้ง

ความเข้าใจในหลักของธรรมะตามที่พระพุทธเจ้าสอน เป็นบทความที่จะแก้ปัญหาชีวิตได้เป็นอย่างดียิ่ง แต่แล้วเราก็ไม่ทราบว่าปัญหาของเราคืออะไร ปัญหาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เกิดจากการกระทำและกฎแห่งกรรมไม่เหมือนกัน ลักษณะการเกิดมามีหู มีตา มีจมูก มีปาก มีฟัน มีเพศหญิงเพศชาย เหมือนกันไม่ได้ สืบเนื่องจากการกระทำครั้งอดีตชาติแต่ชาติปางก่อน เราเลือกเกิดไม่ได้ และเลือกตายไม่ได้เหมือนกัน ปราสาทราชวังเขาเปิด ไม่มีใครเข้าไปเกิด บ้านอาเสี่ยมีมากมาย ไม่มีใครเข้าไปเกิด เลือกไม่ได้ แต่ทำไมหนอคุกปิดใส่กุญแจตั้งหลายชั้น เข้าไปกันได้เป็นพัน ไม่ทราบเข้าไปกันได้อย่างไร เป็นกฎแห่งกรรมจากการกระทำของแต่ละท่านไม่เหมือนกัน

ท่านทั้งหลายเอ๋ยเวลาไม่เหมือนกัน เราต้องเตรียมพร้อมเสียแต่วันนี้ เพื่อสัมภาระที่จะต้องทำในวันพรุ่งนี้ พระพุทธเจ้าสอนไว้ชัดเจนมาก กฎแห่งกรรมซ้ำเติมส่งเสริมโทษเหมือนกันไม่ได้ ถ้าท่านเจริญพระกรรมฐาน เจริญสติปัฏฐาน ๔ ท่านจะระลึกชาติได้ รู้กฎแห่งกรรม และแก้ปัญหาที่เกิดเฉพาะหน้าได้ ท่านไม่ต้องไปหาผีเข้าเจ้าทรง แต่ท่านก็ทำไม่ได้ ตรงนี้เป็นหลักสำคัญของชีวิตของแต่ละคน ใครมีบุญวาสนาก็จะเดินไปหาบุญวาสนาเอง แข่งเรือแข่งพายใครก็แข่งได้ แข่งบุญวาสนาไม่ได้ก็จริง แต่อยากถามว่า ท่านพายเรือเป็นไหม พายเรือไม่เป็นจะแข่งได้อย่างไร ท่านต้องฝึกหัด ต้องปฏิบัติ

ยกตัวอย่างสามีภรรยาคู่หนึ่ง สามีเป็นนายแพทย์ เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล ภรรยาเป็นแพทย์หญิง รูปร่างสวยน่ารัก บ้านใหญ่โต ลูกเรียนธรรมศาสตร์เรียนจุฬาทั้งนั้น แต่เป็นที่น่าเสียใจว่า สามีฟ้องหย่าตลอดรายการ เพราะไปชอบลูกจ้างในโรงพยาบาล ต้องการทรัพย์สมบัติไปให้อีกบ้านหนึ่ง แพทย์หญิงก็มาปรึกษาอาตมา อาตมาจึงบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกันตอนนี้พูดกันไม่รู้เรื่อง ให้แพทย์หญิงลาพักร้อนมาเจริญพระกรรมฐาน เจริญสติปัฏฐาน ๔ จะแก้ไขปัญหาชีวิตได้แน่นอน เขาจะได้รู้กฎแห่งกรรม ว่าเขาได้ทำกรรมอะไรไว้ จะได้ไม่ปฏิเสธทุกข้อหา

แพทย์หญิงก็มาปฏิบัติเจริญพระกรรมฐาน ๒ ครั้ง ๆ ละ ๗ วัน จิตเข้าถึง ซึ้งใจ ใฝ่ดีแล้ว บอกหลวงพ่อว่า หนูรู้แล้ว อาตมาจึงบอกว่า ถ้ารู้แล้วจะพูดให้ฟัง ถ้ายังไม่รู้จะพูดให้ฟังไม่ได้ แพทย์ชายเตรียมจะฟ้องหย่าท่าเดียว แพทย์หญิงก็จะหย่าให้ แต่พอมาเจริญพระกรรมฐาน ได้สติ มีปัญญา อ่านหนังสือไม่มีตัวออกชัดเจนแล้ว แพทย์หญิงก็บอกว่า หลวงพ่อให้สติหนูได้แล้วค่ะ หนูจะตั้งใจฟังแล้วเพราะว่าเมื่อก่อนหลวงพ่อบอกหนู หนูไม่ได้ตั้งใจฟังเลย

อาตมาบอกว่า คุณหมอ ขอประทานโทษนะ จะเห็นด้วยหรือไม่ก็ไม่ว่ากัน ลูกเราก็โตแล้ว เรียนถึงปริญญาโทแล้ว คนเล็กเรียนปริญญาตรีอยู่ที่จุฬาฯ ถ้าลูกรู้เข้าจะเสียกลศึกยุทธวิธีในสงคราม จะหมดกำลังใจเรียน แม่กับพ่อแยกกันอย่าให้เขารู้ได้ไหม แพทย์หญิงตกลง ผู้ที่มีสติจะพูดง่าย คนไม่มีสติพูดอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง ถึงมีความรู้สูงก็ไม่รู้เรื่อง ทั้งแพทย์ชายแพทย์หญิงจบปริญญาโทเหมือนกัน แต่หาเรื่องทะเลาะกันเรื่อย อาตมาให้สติไปว่า คุณหมออย่าหย่านะ เขาจะฟ้องก็ฟ้องไป เราไม่ยอมหย่าท่าเดียว จะไปหย่าก็ต่อเมื่อลูกเรียนจบปริญญาเอกแล้ว มีหลักฐานมีงานทำแล้ว จะหย่าก็หย่าได้เลย แพทย์หญิงเห็นด้วย นี่เป็นการเตรียมตัวก่อนตาย เตรียมการให้พร้อมในชีวิตไม่ใช่ไปเข้าวัดตอนแก่

ต่อมาลูกเรียนจะจบปริญญาเอกแล้ว ก็ยังไม่หย่า แพทย์หญิงบอกว่าหย่าไม่ได้หรอกค่ะ เพราะอายลูก ถ้าอาตมาไม่ยับยั้งไว้ก็หย่ากันไปแล้ว ก็ขอฝากข้อความไว้ว่า พูดดีเข้าใจง่าย พูดร้ายเข้าใจยาก ถ้าพูดดี ๆ เพราะ ๆ ไม่มีทางจะทะเลาะกัน ไม่หย่าแน่นอน

มาทำความรู้จักกับความตาย

ชนิดของความตาย

การตายมี ๓ ชนิด ได้แก่

๑. ตายจริง

๒. ตายสมมติ

๓. ตายสูญ

ท่านจะต้องเตรียมอย่างไรบ้าง ต้องเข้าใจความหมายของการตายแต่ละชนิดก่อน

ตายจริงคืออะไร พี่น้องทั้งหลาย ท่านอย่าเข้าใจผิดนะว่าตายจริงคือตายใส่หีบแล้วนำไปเผา ไม่ใช่นะ ตายจริงคือเหมือนอย่างที่ท่านนั่งอยู่นี้ ก็จะตายต่อไปเป็นเฒ่าชะแรแก่ชราไปตามลำดับ จึงต้องเตรียมตั้งแต่เดี๋ยวนี้ก่อน ไม่ใช่รอให้แก่แล้วจึงไปเตรียมในชีวิตบั้นปลาย ต้องเตรียมตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ออกแขก ขอเจริญพรว่า ชีวิตคนเราเหมือนลิเก เหมือนละคร ออกแขกดี บอกเรื่องดี ออกหน้าพาทย์ก็ดี ตลอดชีวิตออกแขกไม่ดี บอกเรื่องไม่ดี จะเล่นไม่ดีตลอดจนตาย นี่คือตายจริง

ตายโดยสมมติคือตายอย่างไร ได้แก่ตายที่หมดลมหายใจนำไปใส่หีบศพ แล้วนำไปฝัง นำไปเผา นี่เป็นสมมติบัญญัติ ทำไมเรียกสมมติบัญญัติ เพราะร่างกายสังขารหมดไปตามกาลเวลา แต่จิตวิญญาณไม่ตาย เกิด ดับตลอด ซับซ้อนอยู่เป็นกฎแห่งกรรม ไม่ใช่ตายจริงนะ ท่านต้องมีความเข้าใจในเรื่องนี้ จึงจะเตรียมตัวก่อนตายได้ถูกต้อง เพราะจิตนี้มันเกิด ดับ เหมือนไดนาโม จิตนี้เป็นธรรมชาติเป็นกระแสไฟ มันเตรียมส่งไฟฟ้าอยู่แล้ว แต่ยังไม่เปิดสวิตซ์ พอเปิดสวิตซ์เข้าก็เตรียมไปติดที่หลอด จิตของท่านเตรียมพร้อม แต่จะไปติดตรงไหน ต้องเปิดสวิตซ์ ร่างกายสังขารอยู่มานานก็ต้องพัง จิตวิญญาณ รูปนาม ขันธ์ห้าเป็นอารมณ์ มันไม่มีตาย มันเกิดดับจนมองไม่เห็น จะไปสู่สถานที่ทำกรรมไว้ทุกประการ

ตายสูญคือตายอย่างไร ได้แก่ตายแล้วไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก คือบรรลุนิพพาน หมดกิเลส ตัณหาทั้งปวง ไม่มีโลภ ไม่มีโกรธ ไม่มีหลง ไม่กลับมาในโลกมนุษย์อีกแล้ว นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ความสุขที่ไม่เจือปนด้วยกิเลสนานาประการหรือไฟดับไม่มีเชื้อ เรียกว่า นิพพาน

ประเภทของการตาย

การตายแบ่งเป็น ๒ ประเภท ได้แก่

๑. กาลมรณะ หมายความว่า ถึงเวลาที่จะต้องตาย

๒. อกาลมรณะ หมายความว่า ยังไม่ถึงเวลาที่จะต้องตาย

ทั้งนี้ย่อมแสดงให้เห็นว่า ความตายนั้นเมื่อถึงเวลา หรือถึงที่แล้วจึงจะตายลง และเมื่อยังไม่ถึงเวลา ยังไม่ถึงที่แล้วตายลงก็มี

คำว่า มรณุปปัตติ แยกศัพท์ออกเป็น ๒ ประการ มรณะ แปลว่า ตาย , อุปปัตติ แปลว่า เกิด , เกิด ตาย เกิด ดับ หมายถึง ความตายและความเกิดขึ้น มรณุปปัตตินั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ๔ ประการ ได้แก่

อยุกขยะ หมายถึง ตายโดยสิ้นอายุ

กัมมักขยะ หมายถึง ตายโดยสิ้นกรรม

อุภยักขยะ หมายถึง ตายโดยสิ้นอายุและกรรม

อุปัจเฉทกมรณะ หมายถึง ตายโดยอุบัติเหตุต่าง ๆ มาตัดรอน คือยังไม่สิ้นอายุ อาจเป็นตกต้นไม้ตาย หรือโดยฆ่าตาย คือยังไม่สิ้นอายุและยังไม่สิ้นกรรม มาจากเวรกรรมจะต้องโดนรถชนตาย โดยฆ่าตาย เป็นต้น

๑. อยุกขยะ ตายโดยสิ้นอายุ ข้อนี้สัตว์ทั้งหลายต้องตายโดนสิ้นอายุ เพราะสัตว์ทั้งหลายย่อมมีชีวิตอยู่ภายในในขอบเขตของอายุขัย เช่น เต่ามีอายุ ๑๓๐ ปี ช้างมีอายุ ๓๐๐ ปี ยุงมีอายุไม่เกิน๑๕ วัน มนุษย์ในปัจจุบันนี้มีอายุเพียง ๗๕ ปีเท่านั้น แม้จะมีผู้มีอายุสูงกวา ๗๕ ปีบ้างก็มีเพียงเล็กน้อย การที่โลกในปัจจุบันค้นคว้าในเรื่องสรีระของมนุษย์จนมีความรู้ละเอียด ค้นคว้าในเรื่องอาหารและยา เพื่อประสงค์จะให้มนุษย์ปราศจากโรคภัยมาเบียดเบียนและมีอายุยืนยาวนั้น ถึงจะค้นคว้ากันต่อไปสักเพียงใด วิทยาศาสตร์การแพทย์จะเจริญก้าวหน้าสักเพียงไหน ก็เป็นการช่วยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะการมีอายุยืนหรืออายุสั้น มิได้มีเหตุเพียงในด้านวัตถุเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ความจริงแล้วยังมีสาเหตุอื่นที่สำคัญมากอีกหลายประการ

๒. กัมมักขยะ ตายโดยสิ้นกรรม ข้อนี้หมายถึงการที่สัตว์ทั้งหลายเกิดขึ้นมาและเป็นไปนั้น อาศัยกำลังของกรรมที่หล่อเลี้ยงอยู่หรือสนับสนุนให้ชีวิตดำเนินไปได้อย่างไร อาตมาจะให้เหตุผลข้อเท็จจริงต่อไปในภายหลัง การที่จะต้องกล่าวถึงกรรมก็เพราะว่าเกี่ยวพันไปถึงความตาย

๓. อุภยักขยะ ตายโดยสิ้นอายุและสิ้นกรรม ความตายที่เกิดขึ้นเพราะสิ้นอายุนั้น หมายถึงแก่เฒ่าอายุมากแล้ว ร่างกายก็หมดกำลังที่จะอยู่ต่อไปได้ ทั้งกรรมที่สนับสนุนให้ดำรงชีวิตอยู่ก็หมดลงด้วย บุคคลจึงมักจะถึงความตายด้วยเหตุผลทั้งสองดังกล่าวแล้ว

๔. อุปัจเฉทมรณะ หมายถึงตายด้วยอุบัติเหตุต่าง ๆ มาตัดรอน ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงอายุขัย และยังไม่สิ้นกรรม เช่น ตกต้นไม้ตาย หรือถูกรถทับตาย ความตายในข้อนี้เป็นความตายโดยเหตุต่าง ๆ อันเป็นปัจจุบัน มิได้สิ้นอายุ หรือมิได้มีกรรมแต่อดีตมาตัดรอน แต่อาศัยกรรมแต่อดีตเป็นแรงส่ง เช่น กรรมแต่อดีตเป็นตัวส่งให้เข้าไปอยู่ในเรือนจำ แล้วไปติดโรคระบาดตายในเรือนจำ เป็นต้น

เพื่อความเข้าใจง่ายขึ้นสำหรับความตายทั้งสี่ประการนี้ ท่านได้เปรียบไว้กับดวงประทีปที่ใช้น้ำมันคือ ชีวิตทั้งหลายเปรียบเหมือนประทีปหรือโคมไฟที่อาศัยน้ำมัน ธรรมดาโคมที่อาศัยน้ำมัน จะดับได้ด้วยเหตุสี่ประการคือ

๑. เพราะเหตุที่หมดน้ำมัน เมื่อโคมไฟหมดน้ำมันไฟก็ดับ ข้อนี้หมายถึงชีวิตทั้งหลายจะถึงแก่ความตายเมื่อสิ้นอายุ

๒. เพราะเหตุที่หมดไส้ เมื่อโคมไฟหมดไส้ไฟก็ดับ หมายถึง ชีวิตทั้งหลายเมื่อสิ้นกำลังของกรรมที่สนับสนุนให้ชีวิตคงอยู่แล้ว ก็จะถึงแก่ความตายได้

๓. เพราะเหตุที่หมดน้ำมันและหมดไส้ เมื่อโคมไฟหมดทั้งน้ำมันและหมดทั้งไส้ หมายถึงชีวิตทั้งหลายต้องสิ้นชีวิตไปเพราะหมดอายุและกำลังของกรรม

๔. เพราะเหตุที่มีอุบัติเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เมื่อโคมไฟถูกลมพัด หมายถึงยามเมื่อยังไม่สิ้นอายุและยังไม่สิ้นกรรม แต่ต้องตายด้วยอุบัติเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง

สำหรับข้อหนึ่ง ข้อสอง และข้อสาม ตายเพราะถึงเวลาที่จะต้องตายแล้ว สำหรับในข้อสี่ ตายเมื่อยังไม่ถึงคราวที่จะต้องตาย แต่ก็ต้องตาย เพราะเหตุในปัจจุบันทุกวันนี้ ซึ่งตายไม่เหมือนกัน บางคนเกิดอุบัติเหตุ บางคนผูกคอตาย บางคนถูกยิงตาย ทำไมต้องผูกคอตาย ทำไมต้องถูกยิงตาย ทำไมต้องฆ่าตัวตายด้วย ด้วยเหตุผลประการใด ทุกคนไม่ทราบ ข้อเท็จจริงมันเกิดอุบัติเหตุ

ยกตัวอย่างอาตมานี้ตายไปแล้ว อาตมารู้ล่วงหน้า ๖ เดือนว่า คอจะหัก รถจะทับ เมื่อ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๑ เวลา ๑๒.๔๕ น. รถจะชนที่หลังตลาดปากบาง สิงห์บุรี รถชนคอหัก รู้ล่วงหน้า ๖ เดือน มีเวลาเตรียมตัวไป นี่คือเตรียมตัวก่อนตาย

ท่านทั้งหลายเอ๋ยจะรู้หรือไม่ว่า พรุ่งนี้รถจะชน หัวจะแตก ถ้าท่านขาดสติ ไม่สะสมหน่วยกิตไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ ท่านจะไม่รู้อะไรเลยนะ ไม่มีความเข้าใจด้วย เพราะว่าจิตใจของเราเป็นธรรมชาติ ต้องคิดอ่านอารมณ์ รับรู้อารมณ์ไว้ได้นานเหมือนเทปบันทึกเสียง ไม่มีตัวตนที่จะคลำได้ ถ้าท่านไม่ใช้หลักพระพุทธศาสนาหรือคุณธรรมที่ประจำตัวแล้ว จะไม่มีความรู้ความเข้าใจอันนี้แน่นอน

เตรียมตัวพึ่งตนเอง

คนเราตายจริงอยู่ตลอดเวลา การเตรียมตัวตายก็ต้องเตรียมตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ต้องสอนลูกสอนหลานให้งอกงามให้ได้ที่เรียกกันว่า เลี้ยงลูกต้องให้โต ปลูกต้นโพธิ์ให้ได้ร่ม ต้องเตรียมตรงนี้สำหรับตายจริง

การเตรียมก่อนตายสมมติ ต้องเตรียมพระกรรมฐานให้แน่น

ตายสูญมาจากการตายสมมติ เมื่อเจริญพระกรรมฐานจิตใจก็เบิกบานหรรษา และหมดกิเลสตัณหา จึงเรียกว่า ตายสูญ

ดังนั้นเราต้องเตรียมสอนเด็ก สอนลูกก่อน เลี้ยงลูกให้โตปลูกต้นโพธิ์ให้ได้ร่ม โตด้วยวิชาการ มีหลักฐานให้ลูกมีงานทำ เลี้ยงลูกให้โตอย่างนี้ มีคู่ครองขอให้เป็นทองแผ่นเดียวกัน มีมนุษยสัมพันธ์ในสังคม ต้องเตรียมตรงนี้

ทำไมหนอจึงต้องเลี้ยงลูกให้โต ปลูกต้นโพธิ์ให้ได้ร่มเพื่ออะไร เลี้ยงลูกเหมือนปลูกต้นโพธิ์ เมื่อใหญ่เมื่อโตจะได้อาศัย ยามเจ็บจะได้ฝากไข้ เวลาตายจะได้ฝากผี ดี ๆ เอาไว้รับใช้สอยทุกกรณีได้

แต่ขอฝากข้อคิดว่า อย่านึกไปพึ่งลูก เลี้ยงลูกเอาบุญ อย่าเอาคุณตอบแทนเลย เดี๋ยวจะเสียใจต่อภายหลัง ให้เขามีโอกาสเป็นด๊อกเตอร์ มีหลักฐาน มีงานทำ เราจะพึ่งใครหรือ จะหวังพึ่งลูกสาวคนเล็ก แต่เขาไม่ได้มาให้เราพึ่ง เราจะเสียใจตลอดชีวิต จะเป็นบาปตายไปตกนรกนะ แล้วจะทำอย่างไร ขอบอกว่า ให้พึ่งตัวเองเถอะ อตฺตาหิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

คนเราพึ่งตนเองมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่เราไม่ค่อยได้ดูกัน เมื่อลูกร้องอุแว้ ๆ แม่ป้อนนมใส่ปาก ถ้าเราไม่ดูด เราก็ตาย แสดงว่าเราช่วยตัวเองตั้งแต่เป็นเด็กแล้วใช่ไหม ลองนึกดูว่าเด็กยังช่วยตัวเองได้ เราแก่จะตายยังช่วยตัวเองไม่ได้หรือ ท่านจะเอาอะไรเป็นหลัก ถ้าไม่พูดจุดนี้ท่านจะไม่ทราบนะ

พอโตขึ้นมาอีก อายุ ๓-๔ ขวบ แม่พาไปฝากโรงเรียนอนุบาล ถ้าเขาไม่ยอมเรียนหรือจะรู้ ไม่ยอมดูหรือจะเห็น ไม่ยอมฟังหรือจะได้ยิน ไม่ยอมทำหรือจะเป็น จะลำเค็ญย่ำแย่จนแก่ตาย เราต้องช่วยตัวเองก่อน ทุกคนต้องช่วยตัวเองทั้งนั้น ถ้าไม่ช่วยตัวเองแล้วแย่มาก อย่าไปพึ่งลูกเลย มันเป็นกฎแห่งกรรมตามที่เราเตรียมไว้ ไม่ต้องไปพึ่งใครหรอก

เตรียมตัวตอนแก่ทันการหรือไม่

อาตมาไปพบสามีภรรยาคู่หนึ่งเป็นคนยากจนมาก อยู่ที่อำเภอน้ำหนาว อาชีพปลูกกะหล่ำปลีขาย ทางราชการเขาให้เดือนละ ๒๐๐ บาท เพราะยากจนมาก ตาแก่อายุ ๘๒ ปี ภรรยาอายุ ๗๖ ปี อยู่กันสองคนตายาย ตาก็มองไม่เห็น ตอนนั้นอาตมาจะไปสร้างส้วมให้คณะสงฆ์ เขารีบวิ่งมาหา อาตมาก็จะรีบไปขอนแก่น อาตมาก็ “เห็นหนอ” ออกมาชัดเลย เดี๋ยวจะต้องให้เงิน ๑,๐๐๐ บาท เขาเล่าให้ฟังเป็นกฎแห่งกรรม

เขาเล่าว่ามีลูก ๗ คน อยู่ที่กรุงเทพฯ ได้เงินเดือนเป็นหมื่น เงินเดือนมาก ๆ ทุกคน แต่เหตุใดหนอไม่เคยกลับไปช่วยพ่อแม่เลย ไม่เคยไปให้พ่อแม่แม้แต่สตางค์แดงเดียว เพราะเหตุใด เราจะมาเตรียมตอนแก่ได้ไหม ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกไว้ให้ได้ มันเป็นกฎแห่งกรรม อย่าไปโทษลูก เพราะตาแก่ยายแก่ไม่ได้เตรียมไว้ก่อน ในข้อที่ว่า รักลูกคิดปลูกฝัง ให้ลูกตั้งตนฝึกรีบศึกษา ตาแก่ยายแก่ไม่ได้เตรียมตรงนั้นเลย ลูกต้องไปหากินเอง ต้องไปเรียนหนังสือเองทั้ง ๗ คน เป็นกฎแห่งกรรมของตาแก่เอง

เขาบอกว่าผมอยู่มาร้อยเอ็ดเจ็ดหัวเมือง พ่อแม่เกิดในตระกูลยาจกหาเช้ากินค่ำ ผมเป็นลูกจ้างเขา พอโตขึ้นก็ไปเรียนหนังสือที่วัด อ่านออกเขียนได้ก็ลาพ่อแม่เดินทางต่อไป ไม่ได้กลับไปหาพ่อแม่อีกเลย ไม่เคยให้เงินพ่อแม่ด้วย พ่อแม่ก็ช่วยตัวเอง เดินทางตั้งแต่หนุ่ม ๆ จนแต่งงานกับภรรยา แล้วก็รับจ้างเรื่อยไป จนกระทั่งมาอยู่อำเภอน้ำหนาวมีลูก ๗ คน ลูกก็เรียนวิชาเอง รับจ้างเป็นช่างไม้ ช่างเหล็ก ช่างเชื่อม อยู่อู่รถ แก้รถยนต์ได้ ไม่เคยกลับมาหาพ่อแม่เลย จนพ่ออายุ ๘๐ กว่าแล้ว

อาตมาถามว่าพ่อแม่อยู่ที่ไหน เคยไปช่วยพ่อแม่ไหม เขาตอบว่าผมก็ไม่ทราบเลย ตั้งแต่ออกจากบ้านมาไม่เคยกลับไปเลย แต่ผมก็ไม่รู้ได้ มีลูก ๗ คน ก็ไม่เคยกลับมาหาผมเช่นเดียวกัน แล้วก็ร้องไห้โฮเลย อาตมาให้ไป ๑,๐๐๐ บาท เขากราบแล้วกราบอีก อาตมาบอกว่า โยมไม่ได้เตรียมตัวเลยหรือนี่ จากบ้านเรือนมาก็รุดหน้าไปเรื่อยไม่เคยย้อนกลับมาดูข้างหลังเลย เป็นกฎแห่งกรรม

ตกลงว่าเป็นกฎแห่งกรรมของตาแก่ ทำให้ตกถึงลูก ลูกไม่เอาเงินมาให้ เพราะตัวเองก็ไม่เคยให้เงินพ่อแม่เลย ไม่เคยช่วยพ่อแม่ นี่ชัดเจนมาก ต้องเตรียมตั้งแต่ต้น ไม่ใช่มาเตรียมตอนแก่

ไม่ได้เตรียมตัวไว้ต้องพึ่งตัวเอง

กฎแห่งกรรมอีกเรื่องหนึ่งจะเตรียมตัวอย่างไร โยมหญิงคนหนึ่งอยู่ที่บางระจัน นอนเป็นอัมพาตอยู่คนเดียวช่วยตัวเองไม่ได้ ไปนั่งใกล้ ๆ เหม็นอุจจาระมาก โยมผู้ชายออกไปธุระข้างนอก อาตมาไปธุระแถวนั้นพอดี ก็เลยแวะไปเยี่ยม ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้ทานอะไรเลย สักพักหนึ่งมีรถ BMW วิ่งเข้ามาจอดที่บ้าน มีคนห้าคนขึ้นมาบนบ้าน อาตมาถามว่า หนูเป็นใคร เขาบอกว่าเป็นลูก เรียนจบปริญญาโทจุฬาฯ

อาตมาถามอีกว่า “หนูจะไปไหนคะ”

เขาตอบว่า “จะไปอยุธยา แต่แวะมาหาแม่ก่อน จะมาบอกแม่ว่า เดือนหน้าจะมาของเงินสี่หมื่นบาท จะพิมพ์วิทยานิพนธ์”

อาตมาเลยบอกว่า “หนูมาก็ดีแล้ว หนูเป็นลูกใช่ไหม ช่วยซักผ้าให้แม่หน่อย อุจจาระเต็มไปหมด แม่ยังไม่ได้ทานข้าวเลย หนูช่วยก่อน”

เขาบอกว่า “ไม่ได้หรอกค่ะหลวงพ่อ หนูจะรีบไปเผาศพที่อยุธยา”

อาตมาบอกว่า “คนที่อยุธยาเป็นอะไรกับเธอ”

เขาบอกว่า “เป็นญาติของเพื่อน”

อาตมาจึงว่า “นี่แม่ของเธอนะนี่” แม่ร้องไห้เลย อาตมาจึงบอกว่า “หนูนั่งคุยกับหลวงพ่อสักห้านาทีได้ไหม นี่ถ้าเป็นแม่ของหลวงพ่อ จะซักผ้าให้เดี๋ยวนี้ มีวินัยอนุญาต แต่นี่ไม่ใช่แม่ของเรา เป็นแม่เธอนะ เธอทำเธอก็ได้บุญ”

เขาบอกว่า “ไม่ได้ค่ะ จะรีบไป”

แม่ร้องไห้โฮเลย บอกว่า “หลวงพ่อคะ คนนี้หมดนาไป ๔-๕ แปลงแล้ว จะมาเอาอีกแปลงหนึ่งแล้ว รถ BMW ยังส่งไม่หมดเลย”

นี่จะเตรียมตัวตรงไหนกันแน่ โยมคนนี้ไม่ได้เตรียมอะไรเลย

อาตมาถามว่า “โยมมีแม่ไหม”

เขาก็ตอบว่า “แม่ตาย แม่เป็นอัมพาตตาย”

อาตมาถามอีกว่า “โยมเคยซักผ้าให้แม่ไหม”

เขาร้องไห้ทันที บอกว่า “ไม่เคย” ไปอยู่กับยายคนละตำบล แม่ไม่สบายก็มาเยี่ยมแล้วก็ไป ไม่เคยอยู่ปฏิบัติแม่

พอมาถึงตัวเองก็เป็นอย่างนี้แหละหนอ ไม่ได้เตรียมตัวเลยไม่เคยเจริญกุศลภาวนา ไม่เคยสวดมนต์ไหว้พระ ไม่เคยปฏิบัติเจริญพระกรรมฐานแต่ประการใด จึงเป็นดังที่กล่าวมา การเตรียมตัวนี้ต้องเจริญกุศลภาวนา ถึงจะรู้กฎแห่งกรรมจากการกระทำ ถึงจะแก้ปัญหาชีวิตได้อย่างแน่นอน ในที่สุดคนที่จบปริญญาโทไปต่อปริญญาเอกไม่ได้ นาก็หมด บ้านใหญ่โตมโหฬาร ไม่เคยกลับมาช่วยพ่อแม่แต่ประการใด พ่อแม่ต้องขายเอาเงินแจกลูกไป นี่เป็นกฎแห่งกรรม

ขอเจริญพรทุกคนว่า เราต้องพึ่งตนเองช่วยตัวเอง เตรียมตัวก่อนตายเสีย เตรียมสวดมนต์ภาวนา พาหุงมหากาฯ แล้วเจริญพระกรรมฐาน พระกรรมฐานแปลว่า การกระทำให้ฐานะดี ทำให้จิตใจเบิกบาน ทำให้อายุยืน ทำให้ไม่หลงทาง จะมีจิตเป็นกุศล ได้ผลอนันต์ เป็นหลักฐานสำคัญในชีวิตต่อไป ณ โอกาสข้างหน้าแน่ขอเจริญพรว่าไม่มีทางอื่น นอกเหนือจากพระกรรมฐานเท่านั้น พระกรรมฐานแก้กรรมได้แน่ ถ้าท่านทำได้

หายใจยาว ๆ เข้าไว้ อย่าหายใจสั้น จะแก้ปัญหาได้ เวลาโกรธไม่สบายใจ ให้หายใจยาว ๆ กำหนดโกรธหนอที่ลิ้นปี่ ซึ่งอยู่ระหว่างกึ่งกลางจมูกกับสะดือ เป็นการชาร์ทไฟเข้าหม้อแบตเตอรี่ หายใจยาว ๆ อย่าหายใจสั้น ถ้าหายใจสั้นท่านจะแก้ปัญหาไม่ได้ ท่านจะวูบเดียวขาดสติ หายใจช้า ๆ ช้าเพื่อไว เสียเพื่อได้ ถ้าหากท่านโกรธ อย่าให้ความโกรธค้างคืน อารมณ์ค้างจะทำให้มีปัญหาตอนเช้า ถ้าท่านเป็นครูอาจารย์จะสอนไม่ได้ดี ถ้าท่านเป็นนักธุรกิจการค้าท่านจะค้าขายไม่ดี ถ้าท่านผู้พิพากษาจะตัดสินให้เขาติดคุก ไม่มีการลดโทษแต่ประการใด ก่อให้เกิดผลเสีย

วิธีแก้ กำหนดโกรธหนอที่ลิ้นปี่ หายใจยาว ๆ ตั้งสติไว้จะหายโกรธทันที ท่านจะได้คิด ท่านจะมีโอกาสทำงานได้อีก นั่งเขียนหนังสือที่โต๊ะเกิดไม่สบายใจ กำหนด “ไม่สบายใจหนอ” ที่ลิ้นปี่เดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องไปวัด รับรองหายแน่ภายใน ๕ นาที และจะมีสติปัญญาครบด้วย นี่เป็นการเตรียมตัวที่ดีที่สุดในระยะที่ชีวิตใกล้จะตาย

เตรียมตัวก่อนตายด้วยการฝึกเจริญพระกรรมฐาน

คนใกล้จะตายจะมี นิมิตกรรม ขึ้นมาบอกให้เราทราบ เรียกว่า กรรมนิมิต คตินิมิต บางคนก็ชักดิ้นชักงอ บางคนก็ชกโน่นชกนี่ตลอดรายการ บางคนตาเหลือก บางคนยิ้มแย้มแจ่มใสเพราะฝึกสติปัฏฐาน ๔ เขาเตรียมตัวก่อนตายด้วยการฝึกเจริญพระกรรมฐาน ถ้าใครไม่เจริญพระกรรมฐานจะไม่มีทางแน่นอน พูดอย่างไรก็ไม่ได้ผล

อาตมาเคยประสบมาหลายครั้ง เวรกรรมตามสนอง ถ้าใครมีปาณาติบาตติดมา ๖๐ เปอร์เซ็นต์ รับรองว่าเป็นอัมพาตแน่นอน อาตมาเคยหักคอนกเมื่อตอนอยู่ชั้นมัธยม ๓ สติบอกว่า วันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๒๑ เวลา ๑๒.๔๕ น. ท่านจะถูกรถชนคอหักตาย ด้วยเดชะที่เป็นพระ อาตมาคอหักแต่ไม่ตาย หายใจทางสะดือได้ ไม่ต้องรอชาติหน้า ชาตินี้เห็นทันตาแล้ว

ท่านอย่าเข้าใจผิดว่า สร้างความดีแล้วเวรกรรมไม่ตามสนอง ยิ่งสร้างความดียิ่งกรรมมาซัด มารไม่มี บารมีไม่เกิด สร้างความดีต้องมีอุปสรรค เพราะเหตุใด ต้องมีอุปสรรคแน่นอน คือ กรรมมาทวงหนี้ สร้างความดีต้องลงทุนความลำบากได้

ท่านสาธุชนทั้งหลาย อาตมาโดนคอหัก แขนหัก ฟ้าผ่าที่กุฏิ รับกรรมไปในชาตินี้ สร้างความดีกรรมมาทวงเลย ถ้าไม่สร้างกรรมดีสร้างแต่กรรมชั่ว จะไปทวงก่อนท่านตาย จะเห็นผลทันตา ตายอย่างกรรมนิมิต นิมิตที่แปลงมาบอกชัดด้วย ท่านที่ไม่ได้เจริญพระกรรมฐานจะไม่ทราบเลยนะว่ากรรมนิมิตมาแล้วจะต้องตาย

ยกตัวอย่าง โยมสุ่ม ทองยิ่ง อาตมารู้ว่าจะต้องตายภายใน ๓ ชั่วโมง เลยเทศน์ให้ฟัง เทศน์จบเขาเดินกลับกุฏิ อาเจียนออกมาเป็นเลือดแล้วก็ตาย เขาเข้าผลสมาบัติไปทันที เพราะเตรียมไว้แล้ว อาตมาเคยสอนพระกรรมฐานแก่โยมคนนี้เมื่อสมัยยังเป็นสาวอายุ ๓๘ ปี ตอนตายอายุ ๘๔ ปี ๖ เดือน เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๖

โยมสุ่มเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย จะต้องตาย นายแพทย์บอกว่าหลวงพ่อ ปอดหมดแล้ว อาตมาจึงรับมาอยู่ที่วัด บอกให้เจริญพระกรรมฐานต่อไปก็หายวันหายคืน เขาช่วยตัวเอง อาตมาไม่ได้ไปเสกเป่าแต่ประการใดอยู่มาได้ ๑๕ ปี หมดเวลาแล้วจะต้องเดินทางต่อไป เขาก็รู้ตัว อาตมาก็เทศน์ให้ฟังเรื่องปฐมวัย มัชฌิมวัย ปัจฉิมวัย พอ ๓ ชั่วโมง เขาก็ตายจากโลกไป

ถ้ามีกรรมติดมา เราจะรู้ได้จากการเจริญพระกรรมฐานอทินนาทานติดมา ๖๐ เปอร์เซ็นต์ จะต้องถูกปล้น ถูกไฟไหม้บ้าน โดนจี้ โดนโกง กาเมสุมิจฉาจารติดมา ๖๐ เปอร์เซ็นต์ มีสามีเป็นของเขาหมด มีภรรยามีชู้หมด มีลูกเอาดีไม่ได้ จะเสียหายทั้งครอบครัว ถ้าท่านไม่แก้

แต่ถ้าท่านมาเจริญพระกรรมฐานจะแก้กรรมนี้ได้ มุสาวาท หลอกลวงโลกหวังเอาลาภติดมา ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ท่านจะโดนหลอกโดนโกงตลอด สุราเมรัยติดมา ๖๐ เปอร์เซ็นต์ คนนั้นจะประสาทไม่ดี จะเป็นโรคประสาท ท่านเตรียมตัวแก้กรรมก่อนตายหรือยัง ถ้าท่านไม่แก้กรรมนั้นก็ติดค้างสนองท่านไป

1 ความคิดเห็น: