วันนี้ (17 เม.ย.) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวถึงกรณีที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ออกมาระบุถึงการรณรงค์กาในช่องไม่ลงคะแนนหรือโหวตโนของภาคประชาชนว่าจะเป็น การทำให้ประเทศถอยหลังเข้าคลอง และไม่เป็นประชาธิปไตยว่า เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่านายพร้อมพงศ์ไม่มีความเข้าใจในเรื่องของประชาธิปไตย เพราะสิทธิการกาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนถูกออกแบบไว้ในบัตรเลือกตั้งอยู่ แล้ว ประชาชนจึงมีสิทธิในการไม่เลือกใคร เป็นสิทธิอันชอบธรรมและบริสุทธิ์ตามกฎหมาย เพราะนักการเมืองไม่เป็นที่พึ่งหวังของประชาชน ทุกฝ่ายมีปัญหาเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่น ขั้วการเมืองหนึ่งสนับสนุนการเผาบ้านเผาเมือง ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งที่มีอำนาจในฝ่ายบริหารกลับปล่อยให้มีการเผา และสนับสนุนการประกันคนเผา ทั้งยังปล่อยให้มีขบวนการจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังนั้น ประชาชนก็มีสิทธิเพื่อแสดงให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและระบบของนักการ เมือง
“ที่หลายฝ่ายพยายามพูดว่ากระแสโหวตโนนั้น เอื้อประโยชน์แก่พรรคเพื่อไทย บัดนี้แสดงให้เห็นแล้วว่า แท้ที่จริงแล้วนักการเมืองในระบบไม่ว่าจะอยู่ขั้วไหนต่างหวั่นไหวและสั่น คลอนต่อกระแสดังกล่าวของภาคประชาชน เนื่องจากเห็นว่ากระแสโหวตโนที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและปฏิรูป ประเทศไทย โดยไม่จำกัดเฉพาะสีใดสีหนึ่ง ไม่เฉพาะพันธมิตรฯ หรือกลุ่มคนเสื้อแดง หรือกลุ่มคนชั้นกลางที่ไม่ได้ออกมาชุมนุม แต่เป็นกระแสของคนทั่วไปที่รู้สึกเบื่อหน่ายการเมือง และเห็นว่าระบบการเมืองในปัจจุบันไม่ใชคำตอบในการแก้ไขปัญหาวิกฤตของชาติ ได้” นายปานเทพกล่าว
โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า ขณะนี้การโหวตโนถูกต่อต้านจากทุกขั้วการเมือง ที่ผ่านมามีประชาชนออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งน้อยมาก จากผู้มีสิทธิ 45 ล้านคน 15-20 ล้านคนไม่ออกมาใช้สิทธิ์ เพราะมีประชาชนส่วนหนึ่งที่เห็นว่าการเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบละเป็นปัญหาอยู่ แล้ว ดังนั้นหากประชาชนสนับสนุนการโหวตโนมากขึ้น จะเป็นการแสดงออกถึงอิสระทางความคิดในการปลดแอกจากนักการเมืองทุกขั้วที่ไม่ เป็นความหวัง และเรียกร้องให้นักการเมืองเดินหน้าในการปฏิรูปการเมือง เหมือนกับสัญญาเมื่อปี 49 ที่ทุกพรรคการเมืองสัญญาว่าจะเดินหน้าในการปฏิรูปการเมือง แต่มาถึงวันนี้ทุกคนเพิกเฉย สนใจแต่อำนาจ ไม่มีผู้ใดจริงใจแม้แต่น้อย
“นักการเมืองหลายคนพยายามแสวงหาแนวทางในการต่อต้าน พยายามบอกว่าไม่เป็นประชาธิปไตย แต่นักการเมืองเหล่านี้ไม่เคยสำนึกว่าตัวเองเป็นปัญหาของแผ่นดิน ตราบใดที่การเมืองยังไม่มีการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าเลือกตั้งกี่ครั้งก็จะได้คำตอบเหมือนเดิม ที่ตำแหน่งทางการเมืองเหมือนสัมปทานโดยดูจากจำนวน ส.ส. จึงมีการซื้อสิทธิขายเสียงเข้ามา แล้วมาทุจริตคอร์รัปชัน ดังนั้น วิกฤตของชาติจึงไม่มีทางได้รับการแก้ไข จนกว่าจะมีการปฏิรูปการเมือง ที่ท้ายที่สุดหากเราได้นักการเมืองที่ดีขึ้น กระบวนการตรวจสอบมีประสิทธิภาพมากขึ้น การมีส่วนร่วมและการตัดสินใจของประชาชนมีความหลายหลากมากขึ้น การชุมนุมของประชาชนก็จะลดลงไปโดยปริยาย บ้านเมืองก็จะสงบสุขมากขึ้น แต่หากนักการเมืองยังยืนยันว่าเดินหน้าเพื่อรักษาอำนาจตัวเอง บ้านเมืองก็จะขัดแย้งไม่เลิก” โฆษกพันธมิตรฯ กล่าว
ด้าน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลอดระยะเวลาการชุมนุมที่ผ่านมาเห็นได้ชักว่าประชาชนที่มาชุมนุมที่นี่ ไม่ได้มาทำเพื่อตัวเองหรือหมู่คณะ แต่มาทำเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริงในการมาลำบากลำบนเป็นวันที่ 83 แล้ว เพราะในฐานะที่เป็นประชาชนธรรมดาไม่สามารถทำสิ่งใดได้มากไปกว่านี้ในการแก้ วิกฤตของประเทศ แต่ติดปัญหาที่รัฐบาลซึ่งมาจากพรรคการเมืองไม่ได้ให้ความสนใจต่อทั้งการเสีย ดินแดนหรือปัญหาปากท้องประชาชน มีความนสใจเพียงประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องเท่านั้น ดังนั้น เมื่อนายกฯ ประกาศยุบสภา จึงเห็นว่าควรชักชวนประชาชนให้สั่งสอนนักการเมือง โดยการกาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน หรือโหวตโน แม้ว่าจะมีหลายฝ่ายออกมาบอกว่าไม่ดี แต่เราเห็นว่าสิ่งดีเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
“เรื่องที่โจมตีเราว่า ไม่สนับสนุนประชาธิปไตยนั้นควรเลิกพูดได้แล้ว เพราะประชาธิปไตยที่แท้จริงควรให้สิทธิแก่ประชาชนในการตัดสินใจว่าจะลงคะแนน อย่างไรก็ได้ เพียงแต่ไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งก็เป็นการสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยแล้ว โดยไม่ได้คาดหวังว่าจะได้คะแนนโหวตโนเท่าไร เพียงแต่พยายามรณรงค์อย่างเต็มที่เท่านั้น” พล.ต.จำลองกล่าว
ทั้งนี้ พล.ต.จำลองเปิดเผยด้วยว่า ในวันนี้ (17 เม.ย.) ได้มีการจัดเสวนาให้ความรู้ประชาชนเกี่ยวกับโหวตโนที่ จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นการจัดครั้งแรก โดยจะมีการจัดในลักษณะนี้ต่อๆ ไปทั่วประเทศ แต่ยังไม่ระบุสถานที่ ในเบื้องต้นจะมีการจัดเวทีย่อยๆ ตามจังหวัดต่างๆ เช่น จ.อุดรธานี และ จ.สกลนคร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น