“ร่มเกล้าเป็นทหารที่ดี รู้สึกเสียดายที่บ้านเมืองต้องเสียทหาร ที่จะดูแลปกป้องบ้านเมืองที่ดี และขอบคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมาอย่างดี”
ข้อความข้างต้นนี้คือพระราชกระแสรับสั่งของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรม ราชินีนาถที่ให้แก่ครอบครัว “ธุวธรรม” ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณในการพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ “พลเอก ร่มเกล้า ธุวธรรม” เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2553
วันที่ 10 เมษายน 2554 คือวันครบรอบ 1 ปีการจากไปของ พลเอกร่มเกล้า ธุวธรรม ที่ได้เสียชีวิตเพราะปราศจากอาวุธตามคำสั่งของฝ่ายการเมืองที่ปล่อยให้ทหาร ต้องไปเผชิญหน้ากับกองกำลังชุดดำติดอาวุธสงครามที่อำมหิต โหดเหี้ยม แฝงตัวสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
1 ปีผ่านไป การสูญเสียของพลเอกร่มเกล้า ธุวธรรม และครอบครัวยังไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐบาล และกระบวนการยุติธรรม ไม่มีคนร้ายคนไหนได้รับโทษแม้แต่คนเดียว มีแต่ข่าวการที่รัฐบาลสนับสนุนการประกันตัวแกนนำคนเสื้อแดงและผู้ต้องสงสัย ในขบวนการใช้อาวุธสงครามกับเจ้าหน้าที่รัฐ
หลังเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองจบลง นักการเมืองสามารถกลับบ้านและไปใช้ชีวิตนอกค่ายทหารได้ แต่รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับตั้ง คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อแนวทางปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เพื่อสอบสวนทหารผู้ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาและนโยบายของรัฐบาล แถมยังต้องถูกสังคมและสื่อมวลชนกลุ่มหนึ่งกล่าวหาว่าทหารฆ่าประชาชน ทหารใช้อาวุธสงครามกับประชาชน ทหารสร้างสถานการณ์เผาบ้านเผาเมือง และทหารทำเกินกว่าเหตุ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ย่อมสร้างความเจ็บปวดอย่างยิ่งให้กับทหารที่เสียสละในกองทัพ
นับประสาอะไรที่ทหารจะไปหวังพึ่งความเป็นธรรมใดๆจากรัฐบาลได้ เพราะนักการเมืองเอาแต่ความดีความชอบเข้าตัวและโยนบาปให้คนอื่น
รัฐบาลชุดนี้เอาแต่ได้ ได้ภาพลักษณ์ว่าเป็นนักสันติวิธีที่ทหารเดินมือเปล่าเข้าไปรับห่ากระสุนและ ระเบิด M 79 จากกองกำลังชุดดำติดอาวุธ ได้รับเสียงปรบมืออย่างกึกก้องจากการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ได้ชัยชนะทางการเมืองด้วยการป่าวประกาศว่าคนเสื้อแดงเลวร้ายและชั่วช้าเผา บ้านเผาเมือง แถมเอาตัวรอดสร้างภาพว่าเป็นนักปรองดองด้วยการส่งเสริมสนับสนุนให้ประกันตัว คนเสื้อแดงออกจากเรือนจำเสียอีก
แต่ประเทศชาติและประชาชนต้องจ่ายต้นทุนแพงมากขนาดไหน ทหารต้องเสียชีวิต บาดเจ็บ และพิการ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน รัฐบาลปล่อยให้ปัญหาบานปลายจนประชาชนในเมืองต้องถูกคุกคามและถูกเผาบ้านเผา เมืองอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทหารต้องเสียขวัญและเสียกำลังใจเพราะเสี่ยงจากการที่รัฐบาลตั้งคณะกรรมการ สอบสวน ในขณะที่รัฐบาลช่วยส่งเจ้าหน้าที่รัฐเป็นพยานเพื่อให้แกนนำคนเสื้อแดงได้รับ การประกันตัวโดยไม่คำนึงถึงว่าจะให้ความเป็นธรรมกับครอบครัวทหารที่สูญเสีย ได้อย่างไร อีกทั้งประชาชนยังต้องหวาดวิตกอีกด้วยว่าคนร้ายและแกนนำคนเสื้อแดงที่ได้รับ การประกันตัวนั้นจะก่อเหตุต่อไปในอนาคตได้หรือไม่
“ในความรัก...พลเอก ร่มเกล้า ธุวธรรม” คือหนังสือครบรอบ 1 ปี ของการสูญเสีย พลเอก ร่มเกล้า ธุวธรรม ซึ่งเขียนและรวบรวมโดย คุณนิชา หิรัญบูรณะ ธุวธรรม (เอ) เพื่อทำให้เราได้ตระหนักว่า เราได้สูญเสียทหารที่ดี ทหารที่มีความรักชาติ ทหารที่รักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ทหารที่รักในปัญญาความรู้ รักในธรรม และรักครอบครัว ด้วยน้ำมือคนไทยด้วยกันเอง พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ได้เคยเขียนจดหมายถึงคุณนิชา (เอ)ภรรยา อธิบายความเป็นตัวตนของ พล.อ.ร่มเกล้า ว่า
“สำหรับตัวพี่ได้ผ่านงานสำคัญระดับใหญ่ๆมาแล้วหลายครั้ง และก็ผ่านมาได้ด้วยดีทุกครั้ง รอดพ้นได้เพราะพระบารมีของล้นเกล้าทั้งสองพระองค์ได้ทรงคุ้มครองอยู่ ความเป็นทหารมิได้ขายชีวิตแลกเปลี่ยนกับอะไร แต่ทหารทุกคนมีความภูมิใจในส่วนลึกๆว่าเราได้เสียสละอะไรหลายๆอย่างเพื่อ ส่วนรวม เพื่อคนส่วนรวม และได้ทำในสิ่งที่น้อยคนจะทำได้”
ข้อความข้างต้นที่เป็นจดหมายส่วนตัวที่ พลเอกร่มเกล้า เขียนถึงภรรยาตัวเองนั้น สะท้อนให้เห็นว่า พลเอกร่มเกล้านั้นเป็นคนที่รักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมจะเสียสละชีวิตเพื่อคนส่วนรวมอยู่เป็นจิตใต้สำนึกของทหารอาชีพอย่างแท้ จริง
นอกจากนี้ พลเอกร่มเกล้า ยังได้เคยพูดสนทนาอย่างเป็นกันเองกับคุณนิชาผู้เป็นภรรยาอีกด้วยว่า:
“ทำเพื่อพระเจ้าอยู่หัว ให้เป็นอะไรก็เป็นได้ อย่าว่าแต่เสี่ยงแค่นี้เลย ให้ต้องกลายเป็นหมา พี่ก็เป็นได้ ไม่มีอะไรต้องกลัวเลย ถ้าได้ทำเพื่อพระเจ้าอยู่หัว”
นี่คือความมุ่งมั่นและความจงรักภักดีของพลเอกร่มเกล้าที่เขาเกิดมาเพื่อถวาย ชีวิตเพื่อพระเจ้าอยู่หัว อย่างที่ไม่มีใครจะมาหยุดยั้งได้ และไม่มีวันที่จะแปรเป็นอื่นได้
ประเทศไทยได้สูญเสียทหารที่ดีและมีคุณค่าต่อแผ่นดินไปอย่างน่าเสียดาย แต่คุณงามความดีและความรักต่อครอบครัวและแผ่นดินของ พลเอกร่มเกล้านั้นจะไม่มีวันหายไปจากประวัติศาสตร์
ภาพประกอบหนังสือ “ในความรัก พลเอก ร่มเกล้า ธุวธรรม” หน้า 155 เป็นภาพวาดดาบคู่ ซึ่งพลเอก ร่มเกล้าวาดเพื่อมอบเป็นของขวัญวันเกิดแก่ภรรยา มีข้อความใต้ภาพเขียนไว้ว่า “เมียเหมือนดาบคู่ใจ สุขสันต์วันเกิดปีที่ 41 แด่เมียรัก”
1 ปีผ่านไปหลังจากท่านเสียชีวิต ดาบคู่ใจเล่มนี้ได้ฟาดฟันลงกลางหัวใจนักการเมืองไทยหลายคน กับบทสัมภาษณ์ในมติชน เมื่อ 8 เมษายน 54 ที่ว่า
“ดิฉันไม่ยอมรับการปรองดองกับคนผิด ยังรอคอยและเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมที่จะดำเนินการกับคดีของพี่ร่มเกล้า แม้ จะบอกว่าสังคมไทยต้องมีความรักและเอื้ออาทร แต่ขอย้ำว่าเป็นคนละประเด็นกับคนทำผิดต่อกฎหมายบ้านเมือง เพราะระบอบประชาธิปไตยยังต้องอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายและศีลธรรม วันนี้เราจำเป็นต้องสร้างบรรทัดฐานแบ่งแยกความถูก-ความผิด ความชั่ว-ความดี ออกจากกันให้ชัดเจน มิเช่นนั้นในภายภาคหน้าลูกหลานของเราก็จะไม่เข้าใจ ไม่สามารถแบ่งแยกบรรทัดฐานนี้ออกจากกันได้ ซึ่งเป็นอันตรายและเป็นสัญญาณที่นำไปสู่สังคมแห่งความเสื่อม”
นอกจากนี้คุณนิชายังกล่าวว่า “แม้การสูญเสียจะผ่านไปนาน 1ปี แต่ดิฉันยังคงไว้ทุกข์ ไม่ใช่เพราะต้องการแสดงความเศร้าโศกเสียใจให้ใครเห็น แต่ตั้งใจจะใส่ชุดดำไว้ทุกข์จนกว่าบ้านเมืองจะสงบสุข ด้วยเจตนาคืออยากให้เครื่องแต่งกายไว้ทุกข์ของผู้หญิงคนหนึ่งเตือนสติสังคม ไทยหรือใครก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้ระลึกได้บ้างถึงความสูญเสีย และช่วยกันรักษาบ้านเมืองอย่าให้ต้องมีใครตายอีก”...
บังเอิญว่า ที่ทำงานของคุณนิชาอยู่ในทำเนียบรัฐบาล..ไม่ทราบว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีจะบังเอิญเหลือบตามองเห็นหญิงหม้ายชุดดำคนนี้บ้างหรือไม่ !?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น