ปัญหาหลักของประเทศไทยไม่ได้อยู่ที่เรื่องการเมืองอย่างเดียว ปัญหาหลักของประเทศไทยมี 2 เรื่อง
1) ปัญหาเศรษฐกิจ สิ่งผิดปกติอยู่ในระบบเศรษฐกิจ ทำ ให้ทรัพย์สินของประเทศเสียหาย และตกไปเป็นของต่างชาติอย่างต่อเนื่อง ตลาดหุ้นคือสิ่งผิดปกติในระบบเศรษฐกิจ ที่นำพาประเทศไทยเข้าไอเอ็มเอฟมาแล้ว 2 ครั้ง เพราะการคิดแก้และคิดป้องกันปัญหาหลังการเข้าไอเอ็มเอฟครั้งแรกไม่ถูกทิศทาง จึงทำให้เกิดวิกฤตที่เลวร้ายอีก และต้องเข้าไอเอ็มเอฟอีกเป็นครั้งที่ 2 ทำไมจึงจะคิดว่าวิกฤตรอบใหม่จะไม่เกิดเกิดขึ้นอีก
2) ปัญหาการเมือง-สังคม กิเลสคนระดับบน ทำให้ระบอบการเมืองการปกครองประเทศเกิดข้อด้อยต่อการบริหารจัดการประเทศ ทำให้นักการเมืองแต่ละกลุ่มผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาฉ้อฉล และหาประโยชน์ส่วนตน ทำความเดือดร้อนแก่ประเทศชาติและประชาชนต่อเนื่อง ทำให้เกิดความแตกแยก ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ เกิดการเอารัดเอาเปรียบ ทำให้ประเทศชาติประชาชนยากจนลง
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้ประมาณการได้ว่า ให้อีก 10 ชาติ ก็แก้ปัญหาประเทศไม่ได้ ทั้งนี้เพราะคนไม่ทราบถึงต้นเหตุปัญหาของประเทศแม้แต้ข้อเดียว แม้ปัญหาของการเมือง-สังคมก็ไม่ทราบ 79 ปีที่ผ่านมา พบว่าความเสื่อมเพิ่มขึ้นตลอดเวลา ยิ่งปัญหาเศรษฐกิจยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่กระดิกหู
การพังทลายของตลาดหุ้นแนสแด็กของอเมริกาในปี 2000 ทำให้ค่าเงินเหรียญไม่ได้รับความเชื่อมั่น ผู้คนและนักลงทุนพากันทิ้งเงินเหรียญสหรัฐ ทำให้เงินไหลเข้าไปยังประเทศต่างๆ ไปถือสกุลเงินของประเทศต่างๆ รวมทั้งเข้ามาในไทย ทำให้ค่าเงินประเทศต่างๆ ทุนสำรองประเทศต่างๆ สภาพคล่องประเทศต่างๆ ตลาดหุ้นประเทศต่างๆ สูงขึ้น ราคาทองคำ ราคาน้ำมัน ราคาสินค้าเกษตร ราคายาง ก็สูงขึ้น การพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐทำให้เศรษฐกิจโลกผิดปกติ ทำให้เงินเฟ้อโลกสูงขึ้นรุนแรง
ช่วงรัฐบาลทักษิณ เป็นช่วงต้นของเงินดอลลาร์ไหล เข้าประเทศไทย กระทั่งทำให้สามารถใช้หนี้ไอเอ็มเอฟได้ก่อนกำหนดถึง 2 ปี รัฐบาลทักษิณเอาไปคุยโม้โอ้อวดชาวบ้านว่า ต่างชาติให้ความเชื่อมั่นรัฐบาลตนเอง ทำให้เงินไหลเข้าประเทศ เงินบาทแข็งขึ้น ทุนสำรองสูงขึ้น ตลาดหุ้นสูงขึ้น ประเทศไทยเต็มไปด้วยตัวกินหญ้า ทักษิณพูดอะไร ก็เชื่อหัวปักหัวปำ แม้ผายลมก็หอม
หลังถูกปฏิวัติไล่ลงจากตำแหน่งแบบไร้เกียรติ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ยังตามมาหลอกหลอนคนไทย ปล่อยข่าวสร้างกระแสแบบนั่งเทียนว่า การปฏิวัติจะทำให้นักลงทุนต่างชาติไม่เชื่อมั่นประเทศไทย จะทำให้เศรษฐกิจไทยถอยหลังไป 30 ปี ผู้เขียนแปลกใจ อวัยวะที่ใช้พ่นลมออกมา เป็นปากหรือเป็นทวารหนัก อีก 3 เดือนถัดมา คือวันที่ 19 ธันวาคม 2549 รัฐบาลสุรยุทธ์ต้องออกมาตรการกันสำรอง 30 เปอร์เซ็นต์เงินทุนไหลเข้า แสดงว่าสภาพคล่องท่วมระบบเกินพิกัด
ในอดีตไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน เงินท่วมประเทศไทย วัน ที่ออกมาตรการกันสำรองดังกล่าว ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสุทธิอยู่ที่ระดับ 74 พันล้านเหรียญสหรัฐ ถึงวันที่ 18 มีนาคม 2554 ทุนสำรองสุทธิ ขึ้นมาที่ระดับ 202 พันล้านเหรียญสหรัฐ เอา 202 ตั้ง ลบด้วย 74 ได้128 แล้วคูณด้วย 31.25 แสดงว่าเงินท่วมประเทศไทย 4 ล้านล้านบาท เงินยังคงไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง มันไหลเข้าได้ มันก็ไหลออกได้
รัฐบาลอภิสิทธิ์มารับช่วงที่เงินท่วมประเทศ ทำให้มีเงินใช้อย่างเพลิดเพลิน ตั้งงบประมาณรายจ่ายสูงเป็นประวัติการณ์ 2.07 ล้านล้านบาท และยังเป็นงบประมาณขาดดุลสูงถึง 4.2 แสนล้านบาท ขึ้นเงินเดือน ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ หว่านการโฆษณา เป็นว่าเล่น ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มมาเป็น 4.5 ล้านล้านบาท ขาดวินัยทางการเงินการคลัง ตั้งตนอยู่บนความประมาทสูง อนาคตเมื่อเงินไหลออก สภาพคล่องเหือดแห้ง จะทำให้ต้องกู้เงินมากขึ้นไปอีก หนี้สาธารณะจะพุ่งเป็นจรวดอีก จะทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนมากขึ้นอีก งบประมาณขาดสมดุล รายจ่ายจะสูงกว่ารายรับ จะมีการขึ้นภาษีวีเอที เพิ่มความเดือดร้อนให้ชาวบ้านมากขึ้นไปอีก
http://t.co/RwNfPmz
indexthai@yahoo.com
http://twitter.com/indexthai
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น