495 อรกชาดก ว่าด้วยการแผ่เมตตา495 อรกชาดก ว่าด้วยการแผ่เมตตา
ใน อดีตกาล ในกัปหนึ่ง พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ครั้นเจริญวัย ละกามสุข บวชเป็นฤๅษี เป็นครูชื่ออรกะ ได้พรหมวิหาร ๔ พำนักอยู่ในหิมวันตประเทศ ครูอรกะมีบริวารมาก เมื่อจะสอนหมู่ฤๅษีจึงประกาศอานิสงส์เมตตาว่า ธรรมดาบรรพชิตควรเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เพราะเหตุชื่อว่าจิตเมตตานี้ เมื่อถึงความเป็นจิตแน่วแน่แล้วย่อมให้สำเร็จทางไปพรหมโลก ดังนี้ จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :
ผู้ใดแลย่อมอนุเคราะห์สัตว์โลกทั้งปวง
ด้วยจิตเมตตาหาประมาณมิได้
ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำและเบื้องขวาง โดยประการทั้งปวง
จิตเกื้อกูล หาประมาณมิได้ เป็นจิตบริบูรณ์อันผู้นั้นอบรมดีแล้ว
กรรมใดที่เขาทำแล้วพอประมาณ
กรรมนั้นจักไม่เหลืออยู่ในจิตนั้น
พระ โพธิสัตว์ครั้นกล่าวถึงอานิสงส์เมตตาภาวนาแก่อันเตวาสิกทั้งหลายอย่างนี้ แล้ว เป็นผู้ไม่เสื่อมจากฌาน จึงบังเกิดในพรหมโลก มิได้กลับมายังโลกนี้อีกตลอด ๗ สังวัฏฏกัปและวิวัฏฏกัป
พระ ศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดง แล้วจึงทรงประมวลชาดกว่า หมู่ฤๅษีในครั้งนั้นได้เป็นพุทธบริษัทในครั้งนี้ ส่วนครูอรกะ คือเราตถาคตนี้แล
จบ อรกชาดก
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙ ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
๙. อรกชาดก
ว่าด้วยการแผ่เมตตา
[๑๘๗] ผู้ใดแล ย่อมอนุเคราะห์สัตว์โลกทั้งปวง ด้วยจิตเมตตาหาประมาณ
มิได้ ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ และเบื้องขวาง โดยประการทั้งปวง.
[๑๘๘] จิตเกื้อกูลหาประมาณมิได้ เป็นจิตบริบูรณ์อัน ผู้นั้นอบรมดีแล้ว
กรรมใด ที่เขาทำแล้วพอประมาณ กรรมนั้น จักไม่เหลืออยู่ในจิตนั้น.
จบ อรกชาดกที่ ๙.
อรรถกถา อรกชาดก
ว่าด้วย การแผ่เมตตา
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภเมตตสูตร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า โย เว เมตฺเตน จิตฺเตน ดังนี้.
สมัยหนึ่ง พระศาสดาตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อได้ซ่องเสพเจริญเมตตาเจโตวิมุติทำให้มาก ทำให้เป็นดังยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ไม่ให้ฟุ้งซ่าน สั่งสมเริ่มไว้ด้วยดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๑๑ ประการ คือหลับเป็นสุข ๑ ตื่นเป็นสุข ๑ ไม่ฝันร้าย ๑ เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย ๑ เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย ๑ เทวดาย่อมรักษา ๑ ไฟ ยาพิษ ศัสตราไม่ล่วงเกิน ๑ จิตได้สมาธิเร็ว ๑ สีหน้าผ่องใส ๑ ไม่หลงทำกาลกิริยา ๑ เมื่อยังไม่บรรลุ ย่อมเข้าถึงพรหมโลกชั้นสูง ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อได้ส้องเสพอบรมเมตตาเจโตวิมุติ ฯเปฯ สั่งสมไว้ด้วยดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๑๑ ประการเหล่านี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมดา ภิกษุพึงอบรมเมตตาภาวนาซึ่งยึดอานิสงส์ ๑๑ ประการเหล่านี้ เจริญเมตตาไปในสัตว์ทุกชนิด โดยเจาะจง และไม่เจาะจง
พึงมีจิตเกื้อกูลแผ่ไปยังสัตว์ทั้งที่มีจิตเกื้อกูล
พึงมีจิตเกื้อกูลแผ่ไปยังสัตว์ทั้งที่ไม่มีจิตเกื้อกูล
พึงมีจิตเกื้อกูลแผ่ไปยังสัตว์ทั้งที่มีอารมณ์เป็นกลาง
พึงเจริญเมตตาในสรรพสัตว์ โดยเจาะจง และไม่เจาะจงอย่างนี้ พึงเจริญกรุณา มุทิตา อุเบกขา พึงปฏิบัติในพรหมวิหาร ๔ เพราะเมื่อทำอย่างนี้ แม้ไม่ได้มรรคหรือผล ก็ยังมีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า.
แม้โบราณกบัณฑิตทั้งหลาย เจริญเมตตาตลอด ๗ ปี แล้วสถิตอยู่ในพรหมโลกนั่นเอง ตลอด ๗ สังวัฏฏกัปและวิวัฏฏกัป แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาเล่า.
ในอดีตกาล ในกัปหนึ่ง พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ครั้นเจริญวัย จึงละกามสุขบวชเป็นฤๅษี เป็นครูชื่ออรกะ ได้พรหมวิหาร ๔ พำนักอยู่ในหิมวันตประเทศ. ครูอรกะมีบริวารมาก เมื่อจะสอนหมู่ฤๅษี จึงประกาศอานิสงส์เมตตาว่า ธรรมดาบรรพชิตควรเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เพราะเหตุชื่อว่าจิตเมตตานี้ เมื่อถึงความเป็นจิตแน่วแน่แล้ว ย่อมให้สำเร็จทางไปพรหมโลก ดังนี้
จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
ผู้ใดแลย่อมอนุเคราะห์สัตว์โลกทั้งปวง ด้วยจิตเมตตาหาประมาณมิได้ ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำและเบื้องขวาง โดยประการทั้งปวง
จิตเกื้อกูลหาประมาณมิได้ เป็นจิตบริบูรณ์อันผู้นั้นอบรมดีแล้ว กรรมใดที่เขาทำแล้วพอประมาณ กรรมนั้นจักไม่เหลืออยู่ในจิตนั้น.
ในบทเหล่านั้น บทว่า โย เว เมตฺเตน จิตฺเตน สพฺพโลกานุกมฺปติ ความว่า บรรดากษัตริย์เป็นต้น หรือสมณพราหมณ์ ผู้ใดผู้หนึ่ง มีจิตเมตตาอย่างแนบแน่น ย่อมอนุเคราะห์สัตว์โลกทั่วไป. บทว่า อุทฺธํ คือตั้งแต่เบื้องล่างของพื้นปฐพี จนถึงพรหมโลกชั้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ. บทว่า อโธ คือเบื้องล่างของปฐพี จนถึงอุสสทมหานรก. บทว่า ติริยํ คือในมนุษยโลกได้แก่ ในจักรวาลทั้งหมด อธิบายว่า เจริญเมตตาจิตอย่างนี้ว่า ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดในที่ประมาณเท่านี้ จงอย่ามีเวร อย่าเบียดเบียนกัน อย่ามีความคับแค้น จงมีความสุขรักษาตนเถิด. บทว่า อปฺปมาเณน คือชื่อว่าไม่มีประมาณเพราะยึดสัตว์หาประมาณมิได้เป็นอารมณ์. บทว่า สพฺพโส คือโดยอาการทั้งปวง อธิบายว่า โดยอำนาจแห่งสุคติและทุคติทั้งปวงอย่างนี้ คือ เบื้องบน เบื้องล่าง และเบื้องขวาง. บทว่า อปฺปมาณํ หิตํ จิตฺตํ ได้แก่ จิตเกื้อกูลในสรรพสัตว์ที่อบรมทำให้ไม่มีประมาณ. บทว่า ปริปุณฺณํ คือไม่บกพร่อง. บทว่า สุภาวิตํ คือเจริญดีแล้ว. บทนี้เป็นชื่อของจิตที่ไม่มีประมาณ.
บทว่า ยํ ปมาณํ กตํ กมฺมํ ความว่า กรรมเล็กน้อย คือกรรมเป็นกามาวจรที่อบรมแล้ว ด้วยอำนาจเมตตาภาวนามีอารมณ์เป็นที่สุด และด้วยอำนาจการถึงความเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างนี้ว่า กรรมใดไม่มีประมาณมีอารมณ์ไม่มีประมาณ. บทว่า น ตํ ตตฺราวสิสฺสติ ความว่า กรรมเล็กน้อยนั้น คือกรรมเป็นรูปาวจรซึ่งนับว่าจิตอันเกื้อกูลไม่มีประมาณนั้น ไม่เหลืออยู่ในจิตนั้น อธิบายว่า เหมือนน้ำน้อยที่ถูกห้วงน้ำใหญ่ไหลบ่าเข้ามา จะถูกห้วงน้ำนั้นพัดพาไปมิได้ ย่อมไม่เหลืออยู่ คือตั้งอยู่มิได้ภายในห้วงน้ำ ที่แท้ห้วงน้ำใหญ่หุ้มห่อน้ำนั้นไว้ฉันใด กรรมอันเล็กน้อยก็ฉันนั้น ไม่มีโอกาสแห่งผลที่กรรมเป็นของใหญ่จะกำหนดยึดไว้ได้ ย่อมไม่เหลืออยู่ คือไม่ดำรงอยู่ ไม่สามารถให้ผลของตนภายในกรรมอันเป็นของใหญ่นั้นได้ ที่แท้กรรมอันเป็นของใหญ่เท่านั้น ย่อมหุ้มห่อกรรมนั้น คือให้ผล.
พระโพธิสัตว์ ครั้นกล่าวถึงอานิสงส์เมตตาภาวนาแก่อันเตวาสิกทั้งหลาย อย่างนี้แล้ว เป็นผู้ไม่เสื่อมจากฌาน จึงบังเกิดในพรหมโลก มิได้กลับมายังโลกนี้อีกตลอด ๗ สังวัฏฏกัปและวิวัฏฏกัป.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประมวลชาดก
หมู่ฤๅษีในครั้งนั้น ได้เป็นพุทธบริษัท ในครั้งนี้
ส่วนครูอรกะ คือ เราตถาคต นี้แล.
.. อรรถกถา อรกชาดก ว่าด้วย การแผ่เมตตา จบ.
อรกชาดก
อานิสงส์การแผ่เมตตา
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงตรัสปรารภเมตตาสูตรว่า
"ภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ของการแผ่เมตตามี ๑๑ ประการ คือ
๑. หลับเป็นสุข
๒. ตื่นเป็นสุข
๓. ไม่ฝันร้าย
๔. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย
๕. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย
๖. เทวดาย่อมรักษา
๗. ไฟ ยาพิษ ศัสตรา ไม่ล่วงเกิน
๘. จิตได้สมาธิเร็ว
๙. สีหน้าผ่องใส
๑๐. ไม่หลงตาย
๑๑. เมื่อยังไม่บรรลุ ธรรม ย่อมเข้าถึงพรหมโลกชั้นสูง
ภิกษุทั้งหลาย พึงเจริญเมตตาไปในสัตว์ทุกชนิดโดยเจาะจงและไม่เจาะจง พึงเจริญ กรุณา มุทิตา อุเบกขา แม้ไม่ได้มรรคผลก็ยังเข้าถึงพรหมโลกได้" แล้วได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วพระโพธิสัตว์เกิดเป็นฤาษีชื่ออรกะ บำเพ็ญเพียรอยู่ป่าหิมพานต์ ได้เป็นอาจารย์สอนหมู่ฤาษี พร่ำสอนอานิสงส์เมตตาว่า "ธรรมดาพรรพชิตควรเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เพราะเมื่อจิตถึงความแน่วแน่แล้ว ย่อมบังเกิดในพรหมโลกได้" แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า
"ผู้ใดอนุเคราะห์สัตว์โลกทั้งมวล ด้วยเมตตาจิตอันหาประมาณมิได้ ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำและเบื้องล่าง โดยประการทั้งปวง จิตเกื้อกูล หาประมาณมิได้ เป็นจิตบริบูรณ์อันผู้นั้นอบรมมาดีแล้ว กรรมใดที่เขาทำแล้วพอประมาณ กรรมนั้นจะไม่เหลืออยู่ในจิตของเขานั้น"
เมื่อกล่าวคาถาจบ ได้พาหมู่ฤาษีบำเพ็ญเพียรไม่เสื่อมจากฌาน ได้ไปบังเกิดในพรหมโลก ไม่ได้กลับมาเกิดในโลกมนุษย์อีก เป็นเวลา ๗ สังวัฏฏกัป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : อานิสงส์ของการเจริญภาวนามี อยู่ ๑๑ ประการ นักปฏิบัติธรรมพึงมีความขยันมั่นเพียรเทอญ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น