++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554

รักชาติขาดเหตุผล : เหตุให้คนเสียคน

โดย สามารถ มังสัง
คนทุกคนที่เกิดมา ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใด ภาษาใด หรือนับถือศาสนาอะไร จะต้องมีสองสิ่งเกิดขึ้นพร้อมกับการเกิดของคนคนนั้น

สองสิ่งที่ว่านี้ก็คือ สิ่งที่คนคนนั้นเป็น และสิ่งที่คนคนนั้นมี

สิ่งที่คนเป็น ประการแรกได้แก่ เป็นคนชาติใด ภาษาใด เป็นลูกหลานของใคร เป็นต้น และเมื่อโตขึ้นสิ่งที่คนเป็นจะตามมาอีกมากมาย และในบรรดาแห่งความเป็นทั้งหลาย ความเป็นคนจะอยู่คู่กับคนนั้นจนกระทั่งเขาตายไปความเป็นที่ว่านี้จึงจะหมด สิ้นไป แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าถือตามแนวทางแห่งคำสอนของพุทธศาสนา ความเป็นคนของทุกคนจะขึ้นอยู่กับภาวะแห่งจิตใจมากกว่าร่างกาย นั่นก็คือ ถ้าคนมีภาวะจิตต่ำกว่าที่คนควรจะมี ควรจะเป็น คนคนนั้นก็จะสูญเสียภาวะแห่งความเป็นคนโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ และเมื่อความเป็นคนเสียไปก็จะมีภาวะแห่งความเป็นสัตว์เข้ามาแทน

ดังนั้น ในทางพุทธศาสนาจึงจัดคนประเภทที่มีภาวะจิตใจเยี่ยงนี้ว่าเป็นมนุสฺสติรจฺฉา โน แปลตรงตัวว่า คนที่มีภาวะแห่งความเป็นสัตว์อยู่ในจิตใจ หรือพูดง่ายๆ ก็คือ คนที่มีระดับจิตใจไม่สูงไปกว่าสัตว์นั่นเอง

ส่วนสิ่งที่คนมีนั้นเห็นได้จากสิ่งนอกกาย แต่เนื่องด้วยกาย เช่น ทรัพย์สินเงินทองที่เกิดขึ้นหลังจากที่คนเกิด แต่จะมีมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับศักยภาพในการแสวงหาของคนแต่ละคนซึ่งมี อยู่ไม่เท่ากัน และสำคัญที่คนมีอาจจากคนไปก่อน หรือคนจนมักไปก่อนย่อมเป็นไปได้ทั้ง 2 ประการ เพราะเป็นสิ่งที่มีอยู่แยกจากคน เพียงแต่เข้ามาเกี่ยวข้องกันในฐานะที่คนเป็นเจ้าของเท่านั้น และความเป็นเจ้าของที่ว่านี้ก็ไม่มีอะไรแน่นอน แต่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเมื่อผู้ที่เป็นเจ้าของไม่มีความต้องการจะครอบ ครองอีกต่อไป หรือยังมีความต้องการครอบครองแต่ไม่มีศักยภาพในการปกป้องสิ่งที่ตนเองมีไว้ ได้

ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่คนมีหรือสิ่งที่คนเป็น เมื่อเกี่ยวข้องกับใครแล้ว ความรัก ความหวงแหนในสิ่งที่ว่านี้จะเกิดขึ้น และมีความผูกพันกับสิ่งที่ตนเองเป็น และสิ่งที่ตนเองมี และนี่เองคือจุดเริ่มต้นของปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในคนสองคนหรือ สองกลุ่ม ที่ต้องการแฝงความมี และความเป็นมาจากกัน โดยใช้กฎหมายหรือแม้กระทั่งใช้กำลังเพื่อให้ได้มาเป็นของตน

วันนี้และเวลานี้ ความขัดแย้งอันเนื่องมาจากการอ้างสิทธิในความมี และความเป็นได้เกิดขึ้นระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา หรือที่คนไทยเรียกติดปากว่า เขมร

อะไรคือเหตุให้สองประเทศขัดแย้งกัน และความขัดแย้งที่ว่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และมีแนวโน้มว่าจะจบลงอย่างไร

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าท่านผู้อ่านโตพอที่จะรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศไทยกับเขมร ในราวปี พ.ศ. 2505 ก็จะบอกได้ว่าเป็นเรื่องของการอ้างสิทธิความเป็นเจ้าของปราสาทพระวิหาร ซึ่งตั้งอยู่ชายแดนในจังหวัดศรีสะเกษ โดยที่เขมรได้นำเรื่องนี้ขึ้นฟ้องศาลโลก และผลปรากฏว่าประเทศไทยแพ้คดี ทำให้ตัวปราสาทพระวิหารตกเป็นของเขมร โดยที่รัฐบาลไทยในยุคนั้นแสดงความไม่พอใจ และไม่ยอมรับ การมีสิทธิของเขมรในการครอบครองปราสาทพระวิหาร และตั้งเจตจำนงจะทวงคืนตลอดมา

แต่ถึงแม้ว่าเขมรจะได้ปราสาทพระวิหารไปก็หาประโยชน์จากการนี้ไม่ได้ เนื่องจากว่าทางขึ้นปราสาทอยู่ในดินแดนของไทย และจากจุดนี้เองทำให้เขมรเพียรพยายามจะผนวกพื้นที่รอบๆ ปราสาทพระวิหารมาเป็นของเขมรให้ได้ จนกระทั่งมาถึงยุครัฐบาลภายใต้แกนนำของพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการทำบันทึกความเข้าใจหรือ MOU กับเขมร และทำให้เกิดจุดเปลี่ยนจากที่เขมรเป็นฝ่ายตั้งรับมาตลอดกลายมาเป็นฝ่ายรุก ไทย โดยใช้ความได้เปรียบทางเอกสารที่ฝ่ายไทยไปยอมแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 อันเป็นส่วนหนึ่งของบันทึกความเข้าใจ หรือที่เรียกว่า MOU 2543 เป็นเสมือนอาวุธที่เขมรใช้รุกรานไทยได้ดียิ่งขึ้น นอกเหนือไปจากการใช้กำลังทหาร และประชาชนรุกล้ำเข้ามาตั้งถิ่นฐานในเขตไทย โดยอ้างว่าเป็นของเขมร และที่ทำให้เขมรรุกไทยหนักยิ่งขึ้น เมื่อมีคนไทยกลุ่มหนึ่งถูกทหารเขมรจับกุม และตั้งข้อหาบุกรุกเขตแดนเข้าเมืองผิดกฎหมาย และกำลังรอขึ้นศาลเขมรอยู่ในขณะนี้

ในขณะที่เขมรกำลังดำเนินคดีต่อคนไทยดังกล่าวข้างต้น ได้มีคนไทยกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ ออกมาเดินขบวนกดดันให้รัฐบาลดำเนินการเพื่อช่วยเหลือคนไทยให้ได้รับการปล่อย ตัวโดยปราศจากข้อหา ด้วยอ้างว่าคนไทยที่ว่านี้ถูกจับในเขตไทยทำไมต้องถูกจับกุม และที่ถูกเขมรที่ล่วงล้ำเข้ามาต่างหากควรจะถูกขับไล่ออกไป

อย่างไรก็ตาม ถ้าดูจากคำแถลงการณ์ของรัฐบาลโดยผ่านทางกระทรวงการต่างประเทศแล้ว ดูเหมือนจะเป็นการยอมรับว่าคนไทยเข้าไปในดินแดนเขมรจริง แต่ก็จะหาทางช่วยเหลือโดยการประกันตัว และหาทางผ่อนคลายโทษตามกระบวนการยุติธรรมและวิธีการทางการทูต และจากจุดนี้ทำให้มองได้ว่ารัฐบาลไทยยอมรับพื้นที่ขัดแย้งที่ยังรอการ พิสูจน์ทางกฎหมายระหว่างประเทศเกี่ยวกับการปักปันเขตแดนเป็นของเขมรไปแล้ว โดยปริยาย เพราะถ้าจะไม่ยอมรับการครอบครองเหนือดินแดนส่วนนี้ตามที่เขมรอ้าง รัฐบาลไทยก็จะต้องทำการประท้วงเขมรทันทีที่คนไทยถูกจับกุม โดยการเรียกทูตเขมรประจำประเทศไทยเข้าพบ และยื่นหนังสือประท้วงตามกระบวนการทางการทูต ทั้งนี้เพื่อปกป้องความมี ความเป็นไว้ให้คนไทย แต่การไม่ทำเช่นนี้ แต่ยังยืนยันว่ารักชาติถือได้ว่าขาดเหตุผล และจะทำให้เสียคนทั้งที่ตัวเองไม่อยากเสียนั่นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น