++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า : ความวิบัติ ขาดภาวะผู้นำ นักการเมืองกับหมอพอๆ กัน

โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ    

ทำไมหนอบ้านเมืองของเราจึงมีแต่ความวิปริตผิดสังเกต เกิดสามัคคีเภททุกแห่งหน แม้แต่ในโรงพยาบาลงานรักษาคน ก็ไม่พ้นความอัปรีย์จากผู้มีฐานันดร
      
         เช้าตรู่วันนี้ ผมได้รับคลิปเรื่อง “ม็อบคนไข้ รพ.พระนั่งเกล้าร้องขอหมอกลับมารักษา” ใน นสพ.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ซึ่งผมจะได้นำลงต่อจากข้อสังเกตของผม และท่านอื่นๆ ในท้ายบทความนี้
      
         ทำไมหนอแต่ละวันจึงต้องตื่นมาพบแต่ข่าวที่ไม่เป็นมงคลทั้งนั้น โดยเฉพาะเรื่องนี้ มันน่าจะจบแฮปปี้เอนดิ้งไปทุกฝ่ายแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความอุ่นใจเป็นปกติสุขของคนไข้ซึ่งเป็นเจ้าบุญนายคุณของโรงพยาบาล ไม่ใช่ตรงกันข้าม ถ้าไม่มีคนไข้ หมอพวกนี้จะมีตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์ติดยศติดซีมีหน้ามีตาเป็นข้าราชผู้ใหญ่ อยู่อย่างทุกวันนี้หรือ
      
         ต้นตอปัญหาเรื่องนี้เกิดจากกฎเกณฑ์ที่ไม่เข้าท่าของกรมบัญชีกลาง ที่อนุญาตให้โรงพยาบาลเบิกค่ายาตรงสำหรับคนไข้ที่มีสิทธิเบิกจากกรมบัญชี กลางได้จึงเกิดข้อกล่าวหาว่าหมอและคนไข้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลใหญ่ๆ ที่ดังทั้งหมอทั้งคนไข้พากันฉวยโอกาสเบิกยาเกินกันอย่างมโหฬาร ทำให้ต้องเรียกเงินคืนกันแห่งละหลายๆ ร้อยล้านบาท เมื่ออ้อยเข้าปากช้างแล้วจะทำยังไง ล้วนแต่ช้างมียศมีศักดิ์ทั้งนั้น
      
         ต่างกับปลายอ้อปลายแขมคือโรงพยาบาลกระจอกของคนจน (ส่วนมาก) คือโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ซึ่งผมเคยไปตรวจครั้งหนึ่งแล้วจะอาเจียน นอกจากจะสกปรกแล้ว ฝ้ายังเขียวอื๋ออุ้มความชื้นและเชื้อราสารพัดชนิดไว้คอยพ่นพิษให้หมอพยาบาล และคนไข้โดยทั่วหน้า
      
         แพทย์หญิงคนหนึ่งของโรงพยาบาลนี้กำลังจะถูกตั้งกรรมการสอบสวนว่าจ่ายยาเกิน ไปเกือบสองล้านบาท เมื่อนับจำนวนคนไข้ที่มาตรวจปีละหลายพันคนกับแพทย์ผู้นี้ เฉลี่ยเป็นเงินแล้วน่าสงสาร ไม่เชื่อลองเอาเงิน 2,000,000 บาทเป็นตัวตั้ง เอา 5,000 ครั้งที่แพทย์ทำการตรวจต่อปีเป็นตัวหาร ตกเป็นค่ายาที่คนไข้เบิกประมาณคนละ 400 บาทต่อคน กระจอกเหลือเกิน ไม่ว่าจะเอาประชานิยมหรือเมตตาธรรมเป็นเครื่องวัด ซ้ำมีข้อเท็จจริงว่าจำนวนผู้ตรวจมีมากกว่านี้มากๆ และจำนวนเงินยังไม่ถึง 2,000,000 บาทเสียอีก
      
         เงินแค่นี้ขอบริจาคจากผู้มีเมตตาธรรม เอาแค่คนเดียวคือท่านเศรษฐี ธานินทร์ พันธ์ประภากิจ แห่ง “ทาสของแผ่นดิน” ผู้ผ่าตัดตาต้อเนื้อ ต้อกระจกให้คนไทยฟรีทั่วประเทศ ก็จบแล้ว
      
       แต่ผู้อำนวยการท่านย้ายมาจากบ้านนอกใหม่ๆ ยังไม่คุ้นกับงานและผู้คนดี คุ้นอยู่แต่กับปลัดกระทรวงซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นและคนใหญ่ๆ ในกระทรวง ท่านจึงแก้ไขปัญหานี้อย่างผู้ยิ่งใหญ่
      
         ผมเองไม่มีเวลา เมื่อได้รับการขอร้องจากคนไข้ผู้ใหญ่ของหมอ ก็พาหมอไปพบคุณหมอนิรันดร์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับผู้อำนวยการ หมอนิรันดร์ก็กุลีกุจอรับจะช่วยจัดการให้
      
         ก่อนหน้านั้น ผมได้พบ รมว.สาธารณสุข จุรินทร์ ลักษณะวิศิษฎ์แวบหนึ่งก็ได้ฝากเรื่องนี้ไป และได้ส่งหนังสือต่างๆ ที่คนไข้ของหมอส่งมาให้ผม พร้อมกับขอร้องรัฐมนตรีว่าให้สละเวลาสัก 15 นาทีก็จะแก้ปัญานี้ได้ เพราะปัญหามี้เป็นปัญหาของการขาดภาวะผู้นำ และการบริหารที่อ่อนด้อย
      
         ส่วนเรื่องระเบียบกรมบัญชีกลางและการปฏิรูปสาธารณสุข และโรงพยาบาลต่างๆ รวมทั้ง รพ.พระนั่งเกล้านั้นเป็นเรื่องโครงสร้างต่างหาก อย่าเอาไปปะปนกัน
      
         ผมเข้าใจว่านักการเมืองไม่มีเวลาและห่วงหาเสียงกับเรื่องใหญ่ๆ ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขไม่มีเวลาเพราะต้องบริหารเรื่องใหญ่ๆ และรับใช้นักการเมือง องค์กรอิสระไม่มีเวลาเพราะจะต้องบริหารงบประมาณและการประชาสัมพันธ์ ทุกฝ่ายไม่ต้องการลูบหน้าปะจมูก เพราะผู้ใหญ่ไทยล้วนแต่เป็นคนดีๆ ทั้งนั้น
      
         เรื่องมันจึงได้บานปลายถึงกับคนไข้ที่จะต้องพึ่งสื่อและตนเองด้วยประการฉะนี้
      
         “ม็อบคนไข้ รพ.พระนั่งเกล้าร้องขอหมอกลับมารักษา” ใน นสพ.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
      
         ม็อบคนไข้ รพ.พระนั่งเกล้า บุก สธ.ร้องปลัดฯ ขอหมอกลับมารักษา หลังถูกสั่งย้าย เชื่อถูกกลั่นแกล้ง
      
       เมื่อเวลา 10.00 น. กลุ่มคนไข้ที่ได้รับผลกระทบจากการย้าย พญ.นภาพร ลิมป์ปิยากร นายแพทย์ชำนาญการพิเศษ กลุ่มงานอายุรกรรม โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ไปยังโรงพยาบาลชุมชนวัดแคนอก จ.นนทบุรี ประมาณ 30 คน เดินทางมายังกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เพื่อยื่นหนังสือต่อ นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้ย้าย พญ.นภาพรกลับมา และตั้งคณะกรรมการสอบสวน นพ.ธวัตชัย วงค์คงสวัสดิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า เนื่องจากเชื่อว่าเป็นการกลั่นแกล้ง
      
       นางจำเนียร พาณยง อายุ 82 ปี กล่าวว่า รักษาตัวกับ พญ.นภาพร มากว่า 12 ปีแล้ว ซึ่งตอบสนองต่อการรักษาดี ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยรักษากับแพทย์คนอื่นแต่ก็ไม่ได้ทำให้อาการดีขึ้น ทั้งนี้อยากเรียกร้องให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าย้าย พญ.นภาพรกลับมาทำงานต่อ เนื่องจากมีคนไข้กว่า 300 คนที่รอคอยการรักษาอยู่
      
       นางจำเนียร กล่าวว่า ทั้งนี้ที่ผ่านมา ตนได้เคยยื่นข้อร้องเรียน 4 ข้อ คือ 1.ขอให้คนไข้ที่มีความสะดวกในการรักษากับ พญ.นภาพรที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ยังคงได้รับการตรวจรักษาในเวลาเดิม 2. คนไข้ที่มีความประสงค์รักษากับ พญ.นภาพรที่โรงพยาบาลวัดแคนอก ควรมีการเตรียมอุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์ในการรักษาให้พร้อม และมีคุณภาพเท่าเทียมโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า 3. คนไข้ที่มีสิทธิเบิกจ่ายตรงกับกรมบัญชีกลาง ต้องคงสิทธิ์เหมือนเดิม และ 4. ต้องอำนวยความสะดวกให้กับคนไข้ที่รักษากับ พญ.นภาพร
      
       “เรารู้ไม่มั่นใจการรักษาของแพทย์คนอื่น เพราะที่ผ่านมา เรารักษากับหมอนภาพรมาเป็น 10 ปีแล้ว จึงเดินทางมาเรียกร้องให้ย้ายคุณหมอนภาพรกลับมาโดยเร็ว” นางจำเนียรกล่าว
      
       นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขอใช้เวลาตรวจสอบข้อเท็จจริงข้อร้องเรียนกรณีการกลั่นแกล้ง เชื่อว่าจะทำได้เร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าจะดูแลไม่ให้การรักษาของโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าเกิดปัญหา คนไข้ต้องไม่ได้รับผลกระทบ
      
       นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย ผู้ตรวจราชการกระทรวง เขต 1 กล่าวว่า เบื้องต้นจะให้ พญ.นภาพร กลับมารักษาที่กลุ่มงานอายุรกรรมโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าเหมือนเดิม แต่คงต้องทำตามขั้นตอนไม่สามารถกำหนดระยะเวลาได้
      
       ทั้งนี้โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าได้ออกประกาศเหตุผลการดำเนินการครั้ง นี้ว่า กลุ่มงานอายุรกรรมโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าได้มีการปรับปรุงระบบบริการ เพื่อก้าวสู่โรงพยาบาลระดับตติยภูมิ ซึ่งมุ่งการดูแลผู้ป่วยที่ยุ่งยากซับซ้อน ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางโดยตรงเป็นผู้ดูแล ส่งผลให้ พญ.นภาพร ไม่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
      
       ทางโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจึงเรียนมายังผู้ที่เคยรักษากับพญ.นภาพร ว่าโรงพยาบาลได้อำนวยความสะดวกและได้จัดให้มีช่องทางพิเศษ ให้ผู้ป่วยได้พบกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรงและไม่ต้องเข้าคิวรอตรวจกับผู้ ป่วยอื่น
      
         จบข่าว นสพ.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
      
         มีหมายเหตุจากผู้อ่าน เป็นผู้ใหญ่ระดับประเทศ-ระดับโลก ผมขอตัดชื่อออก ดังนี้
      
         “ข้ออ้างของพวกมันชุ่ย การวางแผนเพื่อปรับปรุงงานเขาไม่ทำภายในสามสี่วันหรอก เขาทำมาเป็นปีและการโยกย้ายคนต้องวางแผนล่วงหน้าและปรึกษาหารือทุกฝ่ายอย่าง รอบคอบด้วย โดยเฉพาะเรื่องคนไข้ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงและตัวหมอที่ต้องย้ายออกไปและ มารับงานแทน ถ้าผู้อำนวยการมันไม่กลั่นแกล้ง แสดงว่ามันขาดความสามารถที่จะเป็นผู้อำนวยการ ต้องปลดออก
      
         คนไข้กัดแล้วอย่าปล่อย ต้องเดินทางไปประท้วงที่กระทรวงจนกว่าจะได้ผลเป็นที่พอใจ และทุกครั้งที่ไป บอกสื่อล่วงหน้าด้วย”
      
         ผมไม่เห็นด้วยข้อสรุปทั้งหมด “แสดงว่ามันขาดความสามารถที่จะเป็นผู้อำนวยการ ต้องปลดออก”
      
         ผมไม่เห็นด้วยการระงับข้อขัดแย้งที่จวนจะกลายเป็นวัฒนธรรมไทยอยู่แล้วว่า “มึงไป-กูอยู่**มึงอยู่-กูไป”
      
         ผมเห็นว่าเรื่องนี้ต้องช่วยกัน
      
       1.ฟื้นฟูภาวะผู้นำของผู้อำนวยการ และผู้บริหารกระทรวง
      
       2. ฟื้นฟูวุฒิภาวะคู่ขัดแย้งทั้ง 2 ฝ่าย สร้างความเข้าใจที่จะนำไปสู่บรรยากาศของการทำงานร่วมกัน
      
       3. ยึดถือผลประโยชน์อันชอบธรรมของคนไข้เป็นหลัก
      
       4. จัดกระบวนการรับฟังระดับคนไข้-โรงพยาบาล ระดับบริหารนโยบายกระทรวงและรัฐสภา เพื่อป้องกันมิให้ปัญหากระจอกอย่างนี้เกิดขึ้นอีก

4 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ17 พฤษภาคม 2554 เวลา 09:00

    ความเห็นของคนในโรงพยาบาลคนหนึ่ง

    ปัญหาเรื่องบุคคลคนนี้ มีมายาวนาน หลายยุค ท่านผู้อำนวยการเป็นบุคคลแรกที่กล้าตัดสินใจจัดการ ผมจึงยืนยันว่า ท่านผู้อำนวยการมีความเป็นผู้นำอย่างแท้จริง

    เรื่องผลประโยชน์ของคนไข้ ต่างคนก็ต่างมุมมอง ความเห็นคนไข้ที่ปรากฎออกทางสื่อ คือผู้ที่คิดว่าตัวเองได้รับความเดือดร้อน แต่ไม่ใช่ตัวแทนของคนทั้งหมดแน่ๆ

    ผมเห็นด้วยกับคุณปราโมทย์อย่างหนึ่ง คือ ปัญหานี้เป็นปัญหา "กระจอก" จึงไม่น่าแปลกที่สื่อ(บางกลุ่ม) จุดประเด็นไม่ขึ้น

    ตอบลบ
  2. เมื่อวันท๊12มิถุนายน เวลา11โมงครึ่ง ซึ้งได้ไปทำการรักษา เนื่องจากไม่สบาย แต่ไม่ได้รับการต้อนรับจากทางโรงพยาบาล นอกจากจะพูดจาไม่สุภาพแล้ว ตั้งแต่ได้ไปกรอกประวัติผู้ป่วยใหม่ จนไปรอเร๊ยกชื่อ จนกระทั่งไปเจอตัวหมอเอง ไม่พบใครใน ร.พ ท๊สุภาพซักคนเลย ซึ่งฉันก้อแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าที่นี่คือ ร.พ รักษาสัตย์หรือป่าว แล้วเจอหมอพูดว่า ไม่ออกใบรับรองแพทให้หรอกเสียเวลามันไม่คุ้มกับเงิน30บาท คือหมอคนนี้ต้องการเงินใต้โต๊ะ ชัว //มันเป็นความต้องการของคนไข้ แต่คนไข้ก้อถูกปติเสธ ด้วยน้ำเสียงที่ดังมาก และใส่อารมณ์สุดๆๆ หมอผู้ชาย คล้ายคนจีน ค่อนข้างมีอายุ(หรือที่เรียกอีกอย่างก้อคือเจ๊กกระบท)ดิฉันขอใช้คำว่าทรามนะค่ะ ถ้าเป็นไปได้ก้อขอไม่ไปอีกเลย เตือนทุกคนค่ะ คนแถวบ้านก็เตือนมาแล้วว่าให้ไปที่อืนเถอะ แต่ดิฉันก็ขอลองดู ซึ่งเค้าเล่าว่าญาติเค้าปวดท้องมาก แต่หมอให้ลอ ทำไมไม่รีบเอาเข้าห้องฉุกเฉิน จากอาการที่พอจะช่วยได้ แต่กลับให้รอ จนไส้ติ่งแตก ทำไมค่ะ คนไข้ป่วยเข้า ร.พ นี้ต้องตายทุกคนใช้ไหมค่ะ ช่วยเปลี่ยนแปลงระบบ แบบเยอะๆๆเลยนะค่ะ แย่มากที่สุดเท่าที่เคยเจอเลยคะ

    ตอบลบ
  3. เปลี่นบุคคลากรบ้างก็ดีนะค่ะ ดูเหมือนว่า ไม่ค่อยมีใครอยากทำงานกันเลย งานด้านนี้คืองานด้านบริการ แต่คุณเอาอารมณ์มาทำงาน แล้วคนไข้ก็ต้องมานั่งรับฟังอารมณ์ของหมอ ของพยาบาลอีกหรอค่ะ เค้าป่วยไปก้อต้องการไปรักษาและต้องการ การต้อนรับ ตอนนี้คนอยากทำงานเป็นจำนวนมาก ใครที่มรยาทแย่ก็คัดออกเถอะค่ะ คนเก่งและมีความสารถเยอะมาก และก็แย้งกันสมัคงาน คนที่ไล้ความสามารถไม่ควรเอาไว้ จะได้ไม่เป็น ร.พ ที่ด้อยพัตนา

    ตอบลบ