++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554

ตำรับยาสมุนไพร - หลวงพ่อจรัญ

ตำรับยาสมุนไพร
2010-03-03 16:26:59




คำนำ

ตำรายานี้ ข้าพเจ้ารวบรวมมาจากที่หลวงพ่อบอกเองด้วยวาจา และข้าพเจ้านำไปใช้เพื่อรักษาตนเองจนได้ผล หรือจากหนังสือกฎแห่งกรรม ธรรมปฏิบัติหลาย ๆ เล่มของหลวงพ่อ รวมถึงได้มาจากลูกศิษย์บางคนที่เคยฟังหลวงพ่อสอนแล้วมีตำรายาแทรกมาในการสอนนั้นด้วย ฉะนั้นยาทุกขนานในที่นี้ เป็นยาที่หลวงพ่อท่านเคยใช้เองบ้าง หรือให้คนอื่นทดลองใช้มาแล้วบ้าง ข้าพเจ้าเคยกราบเรียนขออนุญาตจากหลวงพ่อเพื่อจัดพิมพ์เผยแพร่เป็นวิทยาทาน ซึ่งท่านอนุญาตเรียบร้อยแล้ว

ขออานิสงส์จากการพิมพ์ตำรายานี้ ได้ส่งผลให้ญาติมิตรที่ร่วมบริจาคในการพิมพ์หนังสือ จงมีความสุข ความเจริญ และมีสุขภาพร่างกายจิตใจสมบูรณ์แข็งแรง ปราศจากโรคภัยอันตรายใด ๆ ทั้งปวงเทอญ

พ.อ.หญิง วาสุณี อนันตรพีระ
กองวิทยาการ กรมการทหารช่าง จ.ราชบุรี



%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

คติธรรมจากพุทโธโลยี ฉบับ “๗๒ ปี หลวงพ่อจรัญ”

“ถ้าใครรู้ว่าอาการเจ็บป่วยจะ เกิดขึ้น จงรีบรักษาเสียด้วยยา คือ ความอดทน เจริญพระกรรมฐาน กำหนดอดทนหนอ อดทนหนอ การคำนึงถึงภาษิตที่ว่า ใครแช่งใครด่าใครว่าเรา เหมือนยอดเขาถูกกระทบไม่หวั่นไหว จะทำให้สบายใจขึ้นอย่างประหลาด โปรดนำไปใช้ดูบ้าง คือ พระกรรมฐาน กำหนดจิตอดทนให้ได้ ได้ผลดีจริง ๆ “

“ ทน ” คือ ทนต่อสิ่งที่ชัง อันหมายถึง สิ่งที่ไม่ชอบนั่นเอง ซึ่งพอจะประมวลให้ทราบลงเป็น ๓ อย่าง คือ

๑. ทนต่อความลำบาก
๒. ทนต่อความเจ็บป่วย
๓. ทนต่อความเจ็บใจ

เวลาใดทำใจให้ผ่องแผ้ว เหมือนได้แก้วมีค่าเป็นราศรี
เวลาใดทำใจให้ราคี เหมือนมณีแตกหมดลดราคา
อันความสุขทางใจนั้นหายาก คนส่วนมากไม่ชอบแสวงหา
หวังแต่สุขเพื่อสนุกเพียงหูตา มันจึงพาชักจูงให้ยุ่งใจ

ฉนั้นการที่จะรักษาร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บใด ๆ นั้น ต้องเริ่มที่การทำจิตใจให้ผ่องใสก่อน เพราะจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว เมื่อนายดี บ่าวก็มีความสุข ถึงตอนนี้หยูกยาอะไรก็หมดความจำเป็น แต่ถ้ากายมีโรคภัยแล้ว ยาในตำรับเหล่านี้ คงจะพอช่วยได้




%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

อนุสนธิ

เมื่อประมาณเดือน ก.ย. ๔๒ ข้าพเจ้าไปตรวจร่างกายไว้ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ แล้วพบว่า ตนเองเป็นมะเร็งที่ไตซ้ายจนต้องตัดทิ้งไป ทุกวันนี้เหลือไตขวาอยู่ข้างเดียว ซึ่งวันดีคืนดี ก็จะมีอะไรผิดปกติมาพอให้ผวาเล่น กับมีก้อนมะเร็งที่ปอดขวาอีก ๑ ก้อน ซึ่งหมอก็ตัดก้อนทิ้งไปพร้อมกับเนื้อปอดอีกพอสมควร หมอบอกว่าเก็บเอาไว้หายใจบ้าง ขืนตัดออกหมดอาจจะตาย เพราะไม่มีอะไรหายใจ

ทุกวันนี้อาศัยการทำกรรมฐานช่วย โรคภัยไข้เจ็บจึงหายไปแล้ว ข้าพเจ้าเป็นลูกศิษย์ของหลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม แห่งวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งโชคดีที่ได้มีโอกาสฝึกกรรมฐานก่อนจะป่วยเป็นมะเร็งถึง ๒ ปี จึงทำให้พอมีสติ ที่จะปลงในเรื่องของความตาย และการกลัวความเจ็บปวดไปได้บ้าง มิฉะนั้นป่านนี้ อาจจะเหลือเพียงเถ้าถ่านไปแล้ว เพราะถ้าป่วยเป็นมะเร็ง แล้วยังมีความกลัวตาย วิตกกังวล และหวาดผวาถึงความเจ็บปวดที่เกิดจากโรคแล้ว อาการจะยิ่งทรุดลงเร็วมาก

สิ่งที่ควรต้องคิด และทำเมื่อท่านป่วยเป็นโรคนี้ (น่า จะโรคอื่น ๆ ด้วย) คือ การมีสติ และความเข้มแข็งของจิตใจ เพราะเมื่อใดที่จิตตก หดหู่และท้อถอย โรคจะกำเริบและกลับซ้ำได้ง่าย หากจะคิดก็คิดว่าคนเราเกิดมาแล้วต้องตายทุกคน จะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับ “กรรม” ที่แต่ละคนทำเท่านั้น เมื่อกายเราป่วย ก็อย่าให้จิตป่วย เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

หลังจากผ่าตัดและให้เคมีบำบัดแล้ว ข้าพเจ้ายังมีสุขภาพที่ทรุดโทรมอยู่มาก อาศัยว่ามาทำกรรมฐานที่วัดอัมพวัน ทุกเดือน ก็ประทังความทุกข์ทางจิตใจไปได้ ราวปลาย ธ.ค. ๔๔ ข้าพเจ้ามีอาการอ่อนเพลีย ลุกแล้วหน้ามืดอยู่ตลอดเวลา เลือดกำเดาออกมาจากจมูกทั้งวันทั้งคืน ติดต่อกัน ๕-๖ วัน จนกระทั่งลุกเดินไปมาแทบไม่ไหว ข้าพเจ้าไปกราบหลวงพ่อที่กุฏิ และกราบเรียนท่านว่า “เลือดกำเดาลูกไหลตลอดเวลาทุกวันเลย หากลูกตาย หลวงพ่อกรุณาเผาลูกด้วย” ท่านยังชี้มาที่ข้าพเจ้าและบอกว่า “ยังไม่ตายหรอก เราเป็นภูมิแพ้ ให้ออกกำลังกาย และเอายาไปกิน” ตำรายาก็คือ ใบพุทรา(ไทย)สด ๓ กำมือ ข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้ หนักอย่างละ ๔ บาท นำมาต้มรวมกันแล้วดื่มต่างน้ำ

ข้าพเจ้ากลับบ้านแล้วมาทำตามตำราของหลวงพ่อ มหัศจรรย์จริง ๆ ที่ดื่มยายังไม่ทันจืดเลย เลือดกำเดาที่ไหลมาเป็นอาทิตย์ ก็หยุดเป็นปลิดทิ้ง และหายมาจนทุกวันนี้ ข้าพเจ้าจึงอยากจะนำมาถ่ายทอดให้ทุกคนได้รับรู้ เป็นยาที่ง่ายมาก แต่ได้ผลชะงัด จะมีข้อเสียอยู่นิดหนึ่งตรงที่ดื่มครั้งแรก ๆ จะมีรสฝาดจากใบพุทราอยู่บ้าง แต่ก็ดีกว่าความทรมานจากเลือดกำเดาแน่นอน

ยาอีกตำรับหนึ่งที่ข้าพเจ้าใช้เองและได้ผล คือ ข้าพเจ้ามีอาการปวดท้องน้อยมานานแล้ว เวลาปวด จะเหมือนปวดประจำเดือน ซึ่งผู้หญิงทุกคนจะเข้าใจความรู้สึกนี้ดี ปกติเมื่อครั้งที่ยังไม่ได้ฝึกก รรมฐาน หากมีอาการปวดมากขนาดนี้ ต้องรีบหายาแก้ปวดกิน แล้วถือโอกาสนอนพัก เพราะทรมานมาก มันปวดกรุ่น ๆ เหมือนจะถ่ายอุจจาระแต่ก็ไม่ถ่าย คราวนี้ปวดมากขนาดนั้น แต่อาศัยเคยฝึกกรรมฐาน จึงใช้วิธีกำหนดเวทนา ก็หายได้เป็นพัก ๆ แล้วก็ปวดอีก เป็นอย่างนี้ประมาณ ๔-๕ เดือนแล้ว

ข้าพเจ้าคิดว่าหากทิ้งไว้เนิ่นนาน ถ้ากลายเป็นอย่างอื่น จะทำอย่างไร จึงตรวจปัสสาวะ ตรวจอุจจาระ และตรวจเลือดดูก่อน (เกรงว่าจะเป็นมะเร็งระยะลุกลา ม) ผลออกมา ก็ปกติทุกอย่าง จึงไปตรวจภายใน แพทย์บอกว่าเซลล์มดลูก และรังไข่เริ่มฝ่อ จึงทำให้ปวดท้อง จำเป็นต้องให้ฮอร์โมน ซึ่งถ้าข้าพเจ้ากินฮอร์โมนแล้ว โอกาสเป็นมะเร็งจะเพิ่มสูงขึ้น

จำได้ว่า หลวงพ่อเคยพูดให้ฟังถึงยาขนานหนึ่งที่ช่วยแก้ในเรื่องม ดลูกดีมาก (ท่านพูดมา ๓ ปีแล้ว เพิ่งนึกขึ้นได้) คือ เกลือ ๓ ส่วน มะขามเปียก ๗ ส่วน บอระเพ็ด ๕ ส่วน หรือสูตร เกลือสาม มะขามเจ็ด บอระเพ็ดห้า ที่ลูกศิษย์ลูกหาของหลวงพ่อจะได้ยินกันบ่อย ๆ โดยนำตัวยาทั้ง ๓ ชนิด มาโขลกรวมกัน แล้วปั้นรับประทานตามแต่ความ เหมาะสมของธาตุของตน หลังจากข้าพเจ้ากินยานี้ได้ราว ๒ อาทิตย์ อาการปวดท้องน้อยเริ่มหายไป การขับถ่ายดีขึ้น และทุกวันนี้ก็ยังกินอยู่ เมื่อข้าพเจ้ากินยาจากตำราของหลวงพ่อแล้วได้ผลดี จึงอยากจะบอกกล่าวมายังทุกท่าน ซึ่งเป็นศิษย์ของหลวงพ่อให้ได้รับรู้ เพื่อว่าวันข้างหน้า ท่านเกิดเจ็บไข้ไม่สบาย จะได้นำตำรานี้ไปใช้ เมื่อหายแล้วจะได้ถ่ายทอดต่อไปเป็นวิทยาทาน

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

สมุนไพร ที่หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

เมตตาแนะนำแก่ญาติโยม


๑. ชาตะไคร้
สรรพคุณ แก้ปวดกระดูก ปวดหลัง ปวดแข้ง ปวดขา ป้องกันกระดูกผุ นั่งดูหนังสือแล้วตาลาย ลุกขึ้นแล้วหน้ามืด ป้องกันโรคไต เบาหวาน คอเลสเตอรอล
วิธีทำ เอาต้นตะไคร้ล้างให้สะอาด (ตะไคร้ที่ใช้ทำอาหาร) ใช้ส่วนที่เป็นต้น ใบกับรากไม่เอา
หั่นตากแดดให้แห้งสนิท แล้วนำมาคั่วให้เหลืองหอม เก็บไว้ชง หรือ ต้มกินต่างน้ำ เหมือนน้ำชา

๒. ยาอายุวัฒนะ
สรรพคุณ แก้มะเร็งเม็ดเลือด เสกด้วยนวหรคุณ ๙
รักษาโรคมะเร็งระยะเป็นใหม่ ๆ รักษาเอดส์ ต้องเสกด้วยพุทธคุณ ๑๐๘
แก้ท้องเฟ้อ มดลูกเสีย กินทุกวันทำให้ร่างกายแข็งแรง
วิธีทำ เกลือทะเลเม็ด ๓ ส่วน
บอระเพ็ดสดหั่น ๕ ส่วน
มะขามเปียกเอาเม็ดและซางออก สับ ๗ ส่วน
นำมาโขลกผสมกัน กินเช้า-เย็น หรือก่อนนอน ครั้งละก้อนเท่าหัวแม่มือ
ถ้าต้องการให้ถ่าย กินตามธาตุหนัก-เบา แล้วดื่มน้ำตามมาก ๆ

๓. โรคไตวาย
วิธีทำ ให้ไปถากเปลือกงิ้วแดง ถากขึ้น ๒ ถากลง ๑ มาต้มดื่มต่างน้ำ (ต้มสด ๆ เลย)
(เวลาถากเปลือก อย่าถากรอบต้น ต้นไม้จะตาย)

๔. เสียงแหบแห้ง
วิธีทำ ให้นำกระเทียม พริกไทย โขลกให้ละเอียด ละลายด้วยน้ำผึ้งกิน

๕. ตกขาว
วิธีทำ นำสับปะรดทั้งหัวหมกปูนขาว ๓ วัน (ถ้ายังไม่สุก หรือฉ่ำให้หมกต่อ) แล้วนำมาปอกกินตามปกติ

๖. โรคชัก เส้นเลือดหัวใจตีบ โรคป่วง
วิธีทำ นำพริกไทยเม็ดโขลกให้ละเอียด ใส่แคปซูลไว้ นำพริกขี้หนูป่นใส่แคปซูล
กินพร้อมกันอย่างละ ๑ แคปซูล (ของยาแผนปัจจุบัน) กินก่อนอาหารเช้า-เย็น

๗. โรคกระเพาะ
วิธีทำ ให้เอากล้วยน้ำว้าดิบฝานบาง ๆ ตากแดดให้แห้งสนิท แล้วป่นให้เป็นแป้ง
เวลากินตักครั้งละ ๑ ช้อนคาว ใส่น้ำสุกอุ่น ๆ แล้วดื่ม

๘. เลือดกำเดาออก
วิธีทำ เอาใบพุทรา ๓ กำมือ ยาข้าวเย็นเหนือ หนัก ๔ บาท ยาข้าวเย็นใต้ หนัก ๔ บาท มาต้มดื่มต่างน้ำ

๙. มะเร็ง
วิธีทำ นำลูกใต้ใบทั้ง ๕ กับต้นไมยราบทั้ง ๕ มาต้มกินต่างน้ำ
(ทั้ง ๕ หมายถึง ราก, ต้น, ใบ, ดอก และผล)

๑๐. โรคตับแข็ง
วิธีทำ กินบอระเพ็ด วันละ ๕ แว่น (ยาวประมาณ ๒ ซ.ม. หรือ องคุลี)
โดยเฉพาะคุณแม่ที่กินยาดองหลังคลอดบุตร และรักษามะเร็ง
หรือโรคท้องมานต้องลงด้วย “นะโม พุทธายะ”

โรคตับอีกขนาน
บอระเพ็ดสด ๑ ช้อนคาว เคี้ยว ๆ แล้วตามด้วย น้ำผึ้งเดือนห้า

๑๑. ร้อนใน อาเจียน
วิธีทำ ใบตำลึงต้มกินหาย อีกขนานให้เอายอดกะทกรก และยอดตำลึงต้มกิน หรือคั้นเอาน้ำกิน

๑๒. โรคภูมิแพ้
วิธีทำ ให้กินบอระเพ็ด

๑๓. โรคหอบ-หืด
วิธีทำ นำต้นตำแยแมวมาโขลกใส่น้ำซาวข้าว กรองเอาแต่น้ำกิน

๑๔. โรคหัวใจโต
วิธีทำ กินกระถินแล้วเอาเปลือกกับรากมาต้มน้ำดื่ม

๑๕. นมหลง (ปวดนม หรือนมคัด)
วิธีทำ เอานุ่นมาจุดไฟแล้ว ใส่ไหกระเทียม อย่าให้ควันออก เอาปากไหกดครอบเต้านม ไม่นาน น้ำนมจะไหล หายปวด

๑๖. กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ปัสสาวะเป็นเลือด นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
วิธีทำ ข้าวเย็นเหนือ. ข้าวเย็นใต้ หนัก ๔ บาท
ฟ้าทะลายโจร (สด) ๑ กำมือ
หญ้าหนวดแมว (สด) ๑ กำมือ
รากหญ้าคา (สด) ๑ กำมือ
นำตัวยาทั้งสี่อย่าง นำมาต้มดื่มแทนน้ำ

๑๗. ไข้ทับระดู (เป็นไข้ระหว่างมีประจำเดือน)
วิธีทำ หญ้าเจ้าชู้ ๓ กำมือ ยาข้าวเย็นเหนือ, ข้าวเย็นใต้ หนัก ๔ บาท
นำตัวยาทั้งหมดมาต้มดื่มต่างน้ำ

๑๘. บิดหัวลูก (เป็นโรคบิดระหว่างตั้งครรภ์ ลูกขี้ มักตายในท้อง หรือไม่ก็คลอดออกมาแล้วตาย)
วิธีทำ
๑. นำเปลือกมะพร้าวอ่อน (ปอกผิวสีเขียวออกเอาเฉพาะส่วนที่กาบอ่อน) บิดเอาน้ำ ๑ แก้ว
๒. น้ำปูนใส (ปูนกินหมาก) ๑/๒ แก้ว
๓. เปาะหอม ทั้งสามสิ่งนำมาโขลก กรองเอาแต่น้ำมากิน

๑๙. โรคลำไส้เน่า เป็นยาเทวดา
ท่าน ผู้พิพากษา หัวหน้าศาลจังหวัดสิงห์บุรี ชื่อ มหาเทียบ นองบุญนาค เปรียญธรรม ๖ ประโยค (เสียชีวิตไปตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐) เป็นคนทำถวาย
วิธีทำ ใช้หม้อดิน เอาเกลือมา ๓ กำ ให้กลั้นใจหยิบ ๓ จับ แล้วเทใส่หม้อ
ท่านสอนให้ท่อง “พุทธัง ปัจจักขามิ ๑ กำ ธัมมัง ปัจจักขามิ อีก ๑ กำ สังฆัง ปัจจักขามิ อีก ๑ กำ”
ใส่หม้อ สตุเกลือ (โดยไม่ต้องใส่น้ำ) จนละเอียดไปหมดแล้ว ปลงลงมา
เอาไข่ขาว (ไข่ไก่ ๕ ฟอง ไม่เอาไข่แดง) ใส่แล้วคนให้เข้ากัน ท่อง “พุทธัง ปัจจักขามิ, ธัมมัง ปัจจักขามิ, สังฆัง ปัจจักขามิ”
กินครั้งละ ๑ ช้อนคาว

๒๐. รักษาผิวหน้าไม่ให้เหี่ยวย่น
วิธีทำ ขนาน ๑ ใช้น้ำผึ้ง กับ ผิวมะนาว ทาหน้าเป็นประจำ
หรือขนาน ๒ ใช้ไส้ตะเกียงเจ้าพายุที่ใช้แล้ว ผสมน้ำมะนาว ทาหน้าเป็นประจำก็ได้

๒๑. ผมอ่อนสลวย
วิธีทำ ใช้น้ำส้มมะขาม (มะขามเปียก) สระผม

๒๒. ตื่นเช้า แกว่งแขน ๑๐๐ ครั้ง เตะขาขึ้น ๑๐๐ ครั้ง
แล้วอย่าเพิ่งไปล้างหน้า ดื่มน้ำสะอาดบริสุทธิ์ ๕ แก้ว
(ถ้าอายุเกิน ๔๕ ปี กินน้ำต้ม ถ้ายังไม่ถึง ๔๕ ปีไม่ต้องต้ม)
รับรองอุจจาระดี หูตึงหาย ปวดศีรษะซีกหนึ่ง น้ำตาไหล ปวดลูกตา หายเลยทีเดียว

ขออานิสงส์จงปราศจากโรคภัย ทั้งปวงเทอญ

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

ยาตำรับพิเศษ

ยาทั้งหมด ๒๐ ตำรับที่รวบรวม มาลงหนังสือเล่มนี้ เป็นยาที่ใช้รักษาโรคทางกายเท่านั้น ในส่วนของโรค และความผิดปกติทางจิตวิญญาณ หลวงพ่อก็ยังมียาพิเศษไว้รักษาด้วย

๑. “สวดมนต์เป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยากิน”

๒. การทำกรรมฐาน ทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง รักษาโรคคิดมาก วิตกกังวล นอนไม่หลับ ความดันโลหิตสูงต่ำ และโรคหัวใจได้

๓. การเจริญกรรมฐาน จะทำให้อารมณ์ดี มีจิตใสสะอาด จะรู้บุญคุณของพ่อ-แม่ ไม่ลืมพระคุณของชาติภูมิ มาตุภูมิ และบ้านเกิดเมืองนอนของตน ไม่ลืมคุณครูบาอาจารย์

๔. การเจริญกรรมฐาน เวลานั่ง กำหนดลมหายใจยาว ๆ เข้าไว้ หายใจเข้ายาว ๆ หายใจออกยาว ๆ ให้สม่ำเสมอ จะทำให้ใจเย็น และเกิดปัญญา แก้ไขปัญหาได้

๕. ผู้ที่เจริญกรรมฐาน จิตใจจะโน้มเอียงไปในทางดี จะรักษาโรคเห็นแก่ตัว โรคอิจฉาริษยาได้ จะทำให้เกิดความเมตตา สงสารผู้อื่น

๖. กรรมฐานสามารถรักษาโรค และต่ออายุได้

๗. กรรมฐานเป็นการป้องกันจิตวิญญาณไว้ มิให้หลงตาย ทำให้มีสติอยู่ตลอดเวลา

๘. กรรมฐานช่วยรักษาโรคกรรม ซึ่งหมอทั่วไปรักษาไม่หาย

๙. โลกเราที่ยุ่งยากเดือดร้อนทุกวันนี้ ทางหนึ่งย่อมเกิดจากความโลภของคนเราที่คอยเผาดวงใจให้เร่าร้อน ทำใจให้พร่อง ทำใจให้หิว

๑๐. อารมณ์ร้ายเป็นอารมณ์อันตราย ที่สำคัญต้องหาความอดทนมาเป็นเครื่อง ป้องกันไว้ คำด่าว่า เสียดสีนินทานี่แหละ ที่ทำใจให้ร้อน เมื่อใจร้อนแล้ว เรื่องร้อนต่าง ๆ ก็ตามมาอย่างที่เห็นกันอยู่เสมอ วิธีที่เหมาะสมวิธีหนึ่ง คือ การวางตัว

๑๑. การสร้างความดี ก็ต้องละความชั่ว สร้างความดี ก็ต้องละบาปมาทำบุญ แล้วยังมีบาปในใจมากอีก รับรองไปไม่รอด

๑๒. การสร้างความดี เป็นการใช้หนี้กรรม เราควรชดใช้ให้หมดไปในชาตินี้ ดีกว่าไปใช้หนี้ บวกดอกในเมืองนรกเป็นร้อยปี

๑๓. ความดี สร้างให้กันไม่ได้ เราต้องสร้างเอง ต่างคนต่างทำ เราเลือกเกิดไม่ได้ เลือกตายไม่ได้ แต่เราเลือกทำความดีได้

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

อาจาริยบูชา

เสียง นำสวดมนต์.....โยโสภควา อรหังสัมมา..... ดังกังวานขึ้นทั่ววัดอัมพวัน ในเวลาตีสามกว่า ห้วงเวลาเข้าพรรษาทุกปี หลวงพ่อจะนำสวดมนต์ในโบสถ์ทุกวันไม่เคยเว้น แม้แต่เป็นไข้ไม่สบาย หลวงพ่อก็ฝืนสังขารลงมา บางวันนอนตอนนีสอง ตีสามก็ตื่นแล้ว

การที่หลวงพ่อต้องตรากตรำสังขารร่างกายเช่นนี้ ทำให้ท่านมีสุขภาพทรุดโทรมและป่วยบ่อย ลูกศิษย์ทุกคนรักหลวงพ่อ ต้องการให้หลวงพ่อมีความสุข แต่บางครั้งความรักนั้นแฝงไว้ด้วยความเห็นแก่ตัว เอาแต่อารมณ์และความพอใจของตนเป็นหลัก มีการขัดแย้งแตกความสามัคคี

ลองสมมติว่า หลวงพ่อเป็นพ่อที่มีลูกหลายคน แบ่งความรักให้ทุกคนเท่า ๆ กัน แต่ลูกต่างหากที่รับได้ไม่เท่ากัน คนขยันคนดีก็รับ (ธรรมะ) ไปได้มาก และสร้างเพิ่มเติม ขยายผลจนร่ำรวย คนขี้เกียจก็อยู่ไปวัน ๆ หนึ่ง เวลาเดือดร้อนที ก็มารบกวนพ่อทีหนึ่ง เรียกว่า เลี้ยงไม่โต แล้วก็คอยรังแกกัน อิจฉากัน ถามหน่อยเถอะว่า พ่อที่ไหนจะมีความสุขได้ เวลาตายจะนอนตาหลับไหม ก็ไม่รู้

ฉันใดก็ฉันนั้น หากเราทุกคนเป็นลูกพ่อเดียวกัน ต้องรักกัน หนักนิดเบาหน่อยต้องอภัยกัน พ่อแก่แล้ว จะอยู่กับพวกเราได้นานแค่ไหน เวลาผ่านไปทุกนาที ถามตัวเองกันบ้าง ว่าเราเคยทำอะไรให้พ่อชื่นใจบ้าง ไม่จำเป็นต้องไปกราบหลวงพ่อ เช้า-เย็น หรือหาอะไรมาถวายมากมายหรอก แค่เพียงนำคำสอนของหลวงพ่อมาปฏิบัติ และเป็นคนดีเท่านั้น ขอให้ทุกคนมั่นใจว่า หลวงพ่อนั้น ไม่ว่าลูกศิษย์จะอยู่ที่ไหน ท่านจะรับรู้ได้เสมอว่าเราคิดอะไร

หลายครั้งที่ฉันเคยคิดว่าสิ่งที่คิด และทำนั้น หลวงพ่อไม่รู้ไม่เห็น แต่สุดท้ายท่าน”รู้” และ “เห็น” จน ได้ ฉะนั้นใครก็ตามที่คิดเหมาเอาว่า หลวงพ่อพูดอะไรทำอะไรลงไป เพราะความไม่รู้ หรือถูกคนบางคนมาหลอกนั้น น่าจะไม่ใช่ลูกศิษย์ที่รู้ใจจริง สำหรับฉันนั้นมั่นใจว่า หลวงพ่อ “รู้” ทุกอย่างและเคยยืนยันไว้แล้วในหนังสือกฎแห่งกรรมเล่ม ๑๖ พวกเรามองด้วยตาเนื้อ และคิดโดยจิตที่หยาบ แต่ท่านมองและคิดด้วยตาและจิตที่ละเอียดกว่า

เคยมีหลายคนปรารภว่า คนบางคนทำปัญหามากมาย ทำไมหลวงพ่อไม่ว่าเขาบ้าง หลวงพ่อเคยพูดว่า “พูดไปขัดใจเขา คำเราเบาราคา ทำอะไรขัดนัยน์ตา เดี๋ยวลดราคางานเราเอง” หลวงพ่อท่านต้องอาศัยคนมากมายในการทำงาน คนเราต้องมีทั้งดีและชั่ว แม้แต่ตัวเราเอง ฉะนั้นคนที่มีความบกพร่องในบางอย่าง เขาอาจจะมีข้อดีในบางอย่าง และเป็นข้อดีที่ช่วยทำประโยชน์ให้กับงานของเราก็ได้ หลวงพ่อท่านจึงเฉย และท่านเองก็รู้ว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นแต่ละอย่างนั้น เป็นวิถีทางแห่ง “กรรม” ที่ผู้เกี่ยวข้องนั้นจะต้องรับเองอยู่แล้ว

หลวงพ่อเตือนลูกศิษย์เสมอให้ “ชดใช้หนี้กรรมให้หมดในชาตินี้” เช่นเดียวกับตัวท่านเองที่ชดใช้หนี้กรรมอยู่ตลอดเวลา เราทั้งหลายที่เป็นลูกศิษย์ โปรดคิดและทำตามครูบาอาจารย์ที่ท่านนำทำเป็นตัวอย่าง จะได้ไม่ต้องแบกหนี้ไปใช้ชาติหน้า เร่งทำความดี ชดใช้กรรมของตัวเอง และทำให้พ่อแม่ ครูบาอาจารย์หมดห่วงพวกเราด้วย จึงจะชื่อว่า ทดแทนบุญคุณท่าน

หลวงพ่อเคยบอกฉันว่า “หากจะตอบแทนบุญคุณครูอาจารย์ ให้ทำในขณะท่านยังมีชีวิตอยู่” เพราะถ้าท่านตายไปแล้ว จะเห็นได้อย่างไร มนุษย์เรามักประมาท ลืมคิดว่าความตายนั้นอยู่ใกล้มาก แค่ลมหายใจเท่านั้น เรารักกันไว้ ดีกว่าเกลียดกัน หลวงพ่อสอนว่า รักใครอย่ารักจนหมดใจ เผื่อจะเกลียดกันในวันหน้า เกลียดก็เหมือนกัน อย่าเกลียดจนหมดใจ เผื่อจะกลับมารักกันบ้าง อะไร ๆ ก็ไม่แน่นอน มันเป็นกฎของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา

เราเป็นศิษย์หลวงพ่อเหมือนกัน รักสามัคคีกันดีกว่า ข้อเขียนนี้ฉันขอถวายเป็นเครื่องบูชาพระคุณของครูอาจารย์ คือ หลวงพ่อ ผู้ซึ่งให้ทั้งชีวิต และธรรมะแก่ฉัน ขอให้อานิสงส์จากการพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ส่งผลให้หลวงพ่อมีสุขภาพแข็งแรง มีอายุยืนยาว เป็นมิ่งขวัญของพวกเราตราบนานเท่านาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น