++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เวทีนโยบาย:'สิทธิเกษตรกร' จุดร่วมเจรจาต่อรอง พ.ร.บ.สภาเกษตรกร

โดย ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ


แม้นไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศกสิกรรมมาช้านาน
หากทว่าชีวิตเกษตรกรกลับลำบากยากแค้นขัดสน ยิ่งทำยิ่งทับถมหนี้สิน
รุ่นแล้วรุ่นเล่าต้องตกเป็นทาสในเรือนเบี้ยของบรรษัทปุ๋ยเคมียาฆ่าแมลง
และการเกษตรพันธสัญญา (Contact farming) ที่กัดกินลึกถึงกระดูกสันหลัง

ครั้นหวังจะเป็น 'ไท'
ไถ่ถอนพันธนาการหนี้สินล้นพ้นตัวก็ยากยิ่งยวดด้วยถูกจำกัดสิทธิในการเข้าถึง
ทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นปัจจัยหลักในการประกอบอาชีพทั้งที่ดิน แหล่งน้ำ
และเมล็ดพันธุ์ ทั้งยังวิกฤตซ้ำซ้อนจากปัจจัยภายในที่นับวันเกษตรกรจะถูกจำแนกผ่านสังกัด
สหกรณ์ กลุ่มอาชีพ แหล่งทุน กระทั่งการเรียกร้องสิทธิต่างๆ
ตั้งวางอยู่บนผลประโยชน์กลุ่มมากกว่าสาธารณะ

การผลักดันแนวทางการเกษตรระดับชาติที่ตอบสนองความต้องการของเกษตรกร
มากกว่ากลุ่มธุรกิจการเกษตรจึงกระทำไม่ได้ด้วยไร้การรวมตัวกันของเกษตรกร
เป็นภาคีเครือข่ายเข้มแข็งจนสามารถเจรจาต่อรองกับบรรษัทเกษตรกรรมยักษ์ใหญ่
และกลุ่มธุรกิจการเมืองอย่างมีพลัง

กระนั้น การกำหนดให้รัฐต้องดำเนินการส่งเสริมการรวมกลุ่มของเกษตรกรในรูปของสภา
เกษตรกรเพื่อวางแผนการเกษตรและรักษาผลประโยชน์ร่วมกันของเกษตรกร ตามมาตรา
84 (8) แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550
ก็นับเป็นจังหวะดีที่เกษตรกรจะร่วมกันทวีภาคีเครือข่ายหลายหลากเข้าด้วยกัน
เพื่อผลักดันร่าง
พ.ร.บ.สภาเกษตรกรแห่งชาติฉบับประชาชนให้ส่งเสริมสิทธิของตนเอง

เนื่องจาก พ.ร.บ.สภาเกษตรกรแห่งชาติฉบับอื่นๆ
นั้นมีข้อน่ากังวลมากทั้งด้านวิธีการสรรหาตัวแทนเกษตรกร
สัดส่วนเกษตรกรรายย่อย การบริหารผูกติดกลไกรัฐ และการขาดหลักประกันด้าน
'สิทธิเกษตรกร' (Farmers' rights)
โดยเฉพาะสิทธิในการเข้าถึงปัจจัยการผลิต สิทธิในการใช้ทรัพยากรร่วมกัน
สิทธิในความมั่นคงของผลตอบแทน และสิทธิในวิถีชีวิตและวัฒนธรรม

ถึงแม้ว่ามาตราข้างต้นของแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจจะกำหนดให้รัฐต้อง
คุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ของเกษตรกรในการผลิตและการตลาด
ส่งเสริมให้สินค้าเกษตรได้รับผลตอบแทนสูงสุดแล้วก็ตาม แต่ทว่า 4
สิทธิหลักของเกษตรกรที่ขาดหายไปใน พ.ร.บ.ฉบับต่างๆ
นั้นก็จำกัดการพังทลายพันธนาการด้านหนี้สินของเกษตรกรอย่างมาก

ด้วยตราบใดไม่สามารถเข้าถึงปัจจัยการผลิตที่ดิน แหล่งน้ำ
และเมล็ดพันธุ์ขณะตลาดสินค้าเกษตรถูกบิดเบือนราคา
ไม่อาจอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตเกษตรกรรมรายย่อย
และไม่มีส่วนร่วมจัดการและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่นตาม
สิทธิชุมชน จนถึงต้องดิ้นรนปากกัดตีนถีบเพื่อพยุงชีพให้มีปัจจัย 4
เนื่องจากไม่มีความมั่นคงในผลตอบแทนแม้นจะมีการประกันราคาสินค้าเกษตร
การรับซื้อรับจำนำผลิตผล และยกเว้นดอกเบี้ยกรณีประสบภัยพิบัติ
ตราบนั้นชีวิตเกษตรกรไทยก็จะคงยังยากจนข้นแค้นแสนสาหัสต่อไป

ในห้วง 5 ร่าง พ.ร.บ.สภาเกษตรกรแห่งชาติกำลังชิงชัยกันในสภานั้น
นอกจากภาคประชาชนต้องพยายามผลัก
พ.ร.บ.ฉบับนี้ให้สอดรับกับเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญที่ต้องการส่งเสริมให้สภา
เกษตรกรมาจากการรวมกลุ่มผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรสาขาต่างๆ
ได้ทำหน้าที่ดูแลรักษาผลประโยชน์ร่วมกันมากสุดแล้ว
ระหว่างนี้ยังต้องทุ่มเทเคลื่อนร่าง
พ.ร.บ.ฉบับประชาชนที่เน้นความสำคัญของเกษตรกรรายย่อยผ่านกระบวนการเสนอ
กฎหมายโดยตรงของประชาชน 10,000 รายชื่อ เพื่อจะได้เข้าไปเป็น 1 ใน 3
ของจำนวนกรรมาธิการเจรจาต่อรองเรื่องสิทธิเกษตรกรด้วย

เหนือ อื่นใดต้องกำหนดให้ 'สิทธิเกษตรกร'
เป็นทั้งปรัชญาและยุทธศาสตร์ของ
พ.ร.บ.สภาเกษตรกรแห่งชาติให้ได้ถึงแม้จะมีแรงต้านมหาศาลจากกลุ่มธุรกิจการ
เกษตรก็ตามที

ดังนั้น การใช้กลยุทธ์การเจรจาต่อรอง (Negotiation)
เพื่อหาข้อตกลงร่วมกันยามต่างฝ่ายต่างมีจุดยืนด้านผลประโยชน์ต่างกันชัดเจน
เช่นนี้จึงจำเป็นยิ่งนัก เพื่อท้ายสุดจะบรรลุข้อตกลงเป็น
พ.ร.บ.สภาเกษตรกรแห่งชาติที่ทั้งคุ้มครองสิทธิเกษตรและส่งเสริมการสร้าง
เครือข่ายเข้มแข็งตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ
ขณะเดียวกันธุรกิจการเกษตรก็ดำเนินไปได้โดยไม่ละโมบมากมาย

จะบรรลุผลได้
ต่างต้องไม่มุ่งเจรจาต่อรองเพื่อให้ฝ่ายตนได้ประโยชน์สูงสุดตามประเภทการ
เจรจาต่อรองแบบแบ่งสันปันส่วน (Distributive negotiation)
ที่เมื่อฝ่ายหนึ่งได้ส่วนแบ่งมากขึ้น
อีกฝ่ายก็ได้ส่วนแบ่งที่มีปริมาณคงที่น้อยลงโดยปริยาย
กระทั่งทำให้การเจรจาต่อรองประเภทนี้เป็นเกมที่มีผลรวมเป็นศูนย์
(Zero-sum game) เพราะมีชนะ-แพ้ (Win-lose)
แต่ต้องใช้การเจรจาต่อรองแบบบูรณาการ (Integrative negotiation)
ที่ทุกฝ่ายใช้ความสร้างสรรค์และการแลกเปลี่ยนข้อมูลสร้างผลประโยชน์โดยรวม
สูงสุดสำหรับการจัดสรรในภายหลัง เป็นชนะ-ชนะ (Win-win)

ทว่าความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มธุรกิจการเกษตรกับ
เกษตรกรกว้างขวางมาก
การสร้างผลประโยชน์รวมสูงสุดทั้งฝั่งตนและฟากตรงข้ามไม่ง่าย
ด้วยไม่เพียงแต่ละฝ่ายต้องสลายจุดยืนผ่านการมุ่งผลประโยชน์แทนที่
ทว่ายังต้องเรียกร้องผลประโยชน์แบบมีหลักการตรงตามรัฐธรรมนูญด้วย
ทั้งยังต้องผ่านกระบวนการเจรจาต่อรองหลายรอบหลายฝ่ายอีกต่างหาก

เกษตรกร จึงต้องสร้างพันธมิตรกลุ่มอำนาจ (Coalition)
ทั้งกลุ่มอำนาจโดยธรรมชาติและกลุ่มอำนาจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเพื่อเพิ่มพู
นพลานุภาพตนเองให้พลิกจากอ่อนแอเป็นแข็งแกร่งจนสามารถขับเคลื่อนสิทธิ
เกษตรกรหลักๆ หรือกระทั่งขัดขวางมาตราลิดรอนสิทธิต่างๆ

หาไม่แล้วเกษตรกรไทยที่ถือเป็นชนชายขอบของเศรษฐกิจทุนนิยมจะตกเป็น
ฝ่ายเสียเปรียบต้องผ่อนปรนสิทธิที่ควรได้รับลงไป ในขณะเดียวกันสารัตถะของ
พ.ร.บ.สภาเกษตรกรแห่งชาติก็จะละม้ายกับสภาการเกษตรที่เอื้อกลุ่มธุรกิจการ
เกษตรมากกว่าเกษตรกร
ตลอดจนสิทธิเกษตรกรก็จะถูกลิดรอนขัดขวางโดยพวกคนทำเสีย (Spoiler)
ที่ไม่ปรารถนาให้มีการบรรลุข้อตกลง

ทั้งนี้ การเจรจาต่อรองเรื่องสิทธิเกษตรกรกับกลุ่มอำนาจธุรกิจการเกษตรที่แนบแน่นกับ
กลุ่มธนกิจการเมืองในยุคการค้าเสรีเช่นนี้
กลุ่มเกษตรกรต้องรู้ว่าทางเลือกดีที่สุดหากไม่มีข้อตกลง (Best
alternative to a negotiated agreement: BATNA) ของตนคืออะไร
และในกรณีหมดทางเลือกจริงๆ การสร้างสรรค์ทางเลือกอื่น อาทิ
ผนึกเครือข่ายเกษตรกรที่กระจัดกระจายให้กลับมาผลักดันวาระสิทธิเกษตรกรร่วม
กัน หรือขยายพื้นที่ที่สามารถตกลงกันได้ (Zone of possible agreement:
ZOAP) โดยทั้งสองฝ่ายพึงพอใจจากการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันก็น่าสนใจ

กระนั้นในภาคปฏิบัติ
ต่างฝ่ายต่างยึดมั่นจุดยืนและผลประโยชน์ตนเองจนเกินไปกระทั่งการเจรจาต่อรอง
ต้องล่มลงเพราะเลยจุดพึงพอใจน้อยสุดที่จะทำข้อตกลงหรือภาษาธุรกิจเรียกว่า
ราคาการตัดใจ (Reservation price) เสียแล้ว
รวมทั้งยังไม่เรียนรู้เข้าใจจุดยืนและผลประโยชน์ของฝั่งตรงข้ามจนสูญเสีย
โอกาสรับรู้ว่าสิ่งที่ทุกฝ่ายคิดเห็นตรงกันหรือผ่อนปรนกันได้คืออะไรบ้าง

ทว่านั่นไม่ได้หมายความว่าสิทธิเกษตรกรใน
พ.ร.บ.ฉบับนี้จะต้องลดน้อยถอยลงจากการเจรจาต่อรอง
เนื่องเพราะกลุ่มเกษตรกรตระหนักดีอยู่แล้วว่า BATNA ของตนเองคืออะไร
ขอบเขตของ ZOAP ที่ยอมรับได้กว้างขวางแค่ไหน
และจะยอมยืดหยุ่นภายใต้กรอบเป้าหมายใหญ่ที่ต้องการสร้างเสริมสิทธิเกษตรกร
เพียงใด ด้วยไร้ประโยชน์จะผลักข้อเรียกร้องสุดโต่งไปชนทางตัน

ขณะเดียวกันก็อ้างอิงมาตรฐานกฎหมายสูงสุดเพื่อสร้างความชอบธรรมของ
ข้อเรียกร้องใน พ.ร.บ.ที่มีลำดับศักดิ์รองลงมาจนฝ่ายตรงข้ามคัดค้านหรือหลีกเลี่ยงร่วมเจรจา
ต่อรองไม่ได้ด้วย
แม้นว่ากลุ่มธุรกิจการเกษตรจะไม่อยากเข้าร่วมเพราะได้ประโยชน์จากโครงสร้าง
เดิมอยู่แล้วก็ตาม

ฉะนั้น ผลลัพธ์อันเป็น
พ.ร.บ.สภาเกษตรกรแห่งชาติที่ดีที่สุดจึงขึ้นอยู่กับยุทธวิธีการเจรจาต่อรอง
ของกลุ่มเกษตรกรว่าจะสามามารถวางกรอบการเจรจาต่อรองที่ฝ่ายตรงข้ามยอมรับได้
การปรับเปลี่ยนเชิงกระบวนการเท่าทันพลวัต
และการประเมินอย่างต่อเนื่องได้มีประสิทธิภาพแค่ไหน

เหนือ อื่นใดต้องแผ้วถางทางให้ 'สิทธิเกษตรกร'
เป็นจุดร่วมของการเจรจาต่อรองของ พ.ร.บ.สภาเกษตรกรแห่งชาติให้ได้เสียก่อน
ไม่เช่นนั้นกระดูกสันหลังเกษตรกรก็โก่งงอต่อไปเพราะไม่เพียงเข้าไม่ถึงสิทธิ
หลักอันเป็นรากฐานชีวิตวิถีวัฒนธรรมดังเดิม
ทว่ายังต้องพึ่งพิงพึ่งพาภาคราชการและธุรกิจการเกษตรผู้นำพาหนี้สินมาให้ร่ำ
ไป.-

เวทีนโยบายสาธารณะ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000052438

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น