++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ใครที่ชั่วร้ายกว่าระบอบทักษิณ

โดย สุรวิชช์ วีรวรรณ     4 ธันวาคม 2551 16:12 น.
       ในฐานะที่เป็นผู้ชุมนุมและกลไกเล็กๆ ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เข้าร่วมชุมนุมครบ 193 วัน โดยไม่ขาดแม้แต่วันเดียว ขอยืนยันว่าเจตจำนงและเป้าหมายของพันธมิตรฯ นั้นเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นสำคัญ
      
       การประกาศยุติการชุมนุมอย่างทันทีหลังรัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติถูกศาลรั ฐธรรมนูญพิพากษายุบพรรค จนนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดต้องพ้นจากตำแหน่ง แสดงให้เห็นถึงการธำรงคำมั่นและเป้าหมายที่แจ่มชัดซึ่งพันธมิตรฯ ประกาศไว้ต่อประชาสังคมว่า พันธมิตรฯ จะยุติการชุมนุมทันทีที่การขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดและคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมน ูญบรรลุเป้าหมาย
      
       น่าตลกที่สุดก็คือ พอพันธมิตรฯ ยุติการชุมนุมอย่างทันที ฝ่ายที่คัดค้านการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ และเคยเรียกร้องให้พันธมิตรฯ ยุติการชุมนุมเสมอมา กลับตั้งคำถามว่า การประกาศยุติการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างทันทีนั้น ทำไมถึงสอดประสานรับลูกอย่างเหมาะเจาะกับการตัดสินยุบพรรคการเมือง กลายเป็นเรื่องที่จงใจหรือวางแผนไว้ล่วงหน้าไปโน่น
      
       น่าตลกเพราะว่า ตกลงแล้วมันอยากให้เราเลิกชุมนุมหรือชุมนุมต่อนะครับพี่น้อง หรือว่า มันมีเหตุผลที่จะตะแบงกล่าวหาพันธมิตรฯ ไปได้เรื่อยๆ เพราะมีอคติที่ครอบงำอยู่
      
       หากย้อนกลับไปตั้งแต่การเริ่มชุมนุมเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 เป้าหมายของการชุมนุมที่ประกาศชัดเจนในวันนั้นก็คือ การคัดค้านรัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติ และคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกผิดให้กับคนในระบอบทักษิณ โดยไม่เปลี่ยนแปลงเป้าหมายเลย อย่างที่สื่อมวลชน นักวิชาการ บางกลุ่มบางคนที่อคติกับการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ พยายามใส่ไคล้ โดยเอาเรื่อง “รายทาง” มาขยายความ
      
       และการที่พันธมิตรฯ ตั้งเงื่อนไขว่าจะกลับมาชุมนุมอีกครั้ง หากรัฐบาลหุ่นเชิดขายชาติและมีความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้ง ก็ไม่ได้บิดผันไปจากเจตจำนงที่ตั้งเอาไว้ตั้งแต่ต้น และไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่อย่างใด
      
       ดังนั้นการชุมนุมของพันธมิตรฯ ตลอด 193 วันนั้น ได้ปอกเปลือกให้เห็นถึงเนื้อในของสื่อมวลชนและนักวิชาการบางกลุ่มบางคนอย่าง ล่อนจ้อน หากตั้งคำถามง่ายๆ ต่อ สิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นพยายามกล่าวหาและเรียกร้องให้พันธมิตรฯ ยุติการชุมนุม โดยใส่ร้ายว่า พันธมิตรฯ สร้างเงื่อนไขให้เกิดความรุนแรง แต่ทำไมเรากลับไม่เห็นพวกเขาเหล่านั้น ประณามความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับพันธมิตรฯ ครั้งแล้วครั้งเล่า
      
       ทำไมพวกเขาเห็นว่า การยกกำลังมาทำร้ายพันธมิตรฯ ถึงบริเวณที่ปักหลักชุมนุมอยู่ ไม่ใช่ความรุนแรง ทำไมพวกเขามองว่า การปาระเบิดและยิงเอ็ม 79 เข้าใส่พันธมิตรฯไม่ใช่ความรุนแรง เพราะพวกเขาไม่เคยออกมาตำหนิพฤติกรรมเหล่านั้นเลย
      
       แต่พวกเขามองว่า การที่การ์ดพันธมิตรฯ เตรียมท่อนเหล็กท่อนไม้ เพื่อป้องกันตัวจากการถูกทำร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า คือ ความรุนแรง
      
       พวกเขามองว่า การที่กลุ่ม นปช. ยกกำลังมาเพื่อทำร้ายพันธมิตรฯ ที่ชุมนุมอยู่ที่สะพานมัฆวานฯ คือ การแสดงออกในระบอบประชาธิปไตย แต่เรียกการชุมนุมเพื่อคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกผิดว่า การทำลายระบอบประชาธิปไตย
      
       องค์กรสื่อมวลชนออกมากล่าวถึงการที่ ASTV ถูกยิงเอ็ม 79 เข้าใส่อย่างเสียไม่ได้ โดยพ่วงเข้าไปในในแถลงการณ์ที่ต้องการตำหนิการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ กล่าวหาว่า ASTV ละเลยการนำเสนอข่าวที่เป็นข้อเท็จจริงและตรวจสอบได้ และยอมตนเป็นเครื่องมือทางการเมือง ทั้งที่ ASTV ไม่ได้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของใคร แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเมืองภาคประชาชน ที่เปิดโปงความชั่วร้ายของรัฐบาล
      
       ซึ่งต้องตั้งคำถามต่อองค์กรสื่อว่า การออกมาต่อต้านและขับไล่รัฐบาลที่ฉ้อฉลนั้น เป็นเครื่องมือทางการเมืองของใคร องค์กรสื่อเหล่านั้นทำอะไรบ้างนอกจากใช้ความเป็นสื่อจัดงานหาเงินเข้าองค์กร ของตัวเอง และรับเชิญไปต่างประเทศ
      
       สื่อมวลชนบางกลุ่มให้คุณค่ากับการที่การ์ดพันธมิตรฯ ทำร้ายบุคคลที่เข้ามาก่อกวนในที่ชุมนุม มากกว่าการยิ่งเอ็ม 79 เข้ามาใส่ในที่ชุมนุมจนมีผู้เจ็บตายจำนวนมาก
      
       น่าตลกปนสมเพชอีกอย่างก็คือ สื่อมวลชนเหล่านั้นกลับไม่ใส่ใจเลยว่า เหตุการณ์ที่คนร้ายเอาระเบิดมาปา เอาเอ็ม 79 มายิงใส่ผู้ชุมนุมนั้น เป็นฝีมือของใคร ใครอยู่เบื้องหลัง แต่พอคดีอาชญากรรมคดีเล็กคดีน้อยพวกเขากลับทำสกู๊ปขุดคุ้ยออกเป็นเรื่องเป็น ราว
      
       กระทั่งต้องตั้งคำถามว่า การที่หนังสือพิมพ์อังกฤษ 20 อันดับประเทศอันตรายที่สุดในโลกและให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 7 นั้น เกิดขึ้น เพราะพันธมิตรฯ ชุมนุมตามสิทธิในระบอบประชาธิปไตย หรือเพราะมีการใช้อาวุธสงครามมายิงถล่มกลางกรุงโดยที่ตำรวจและรัฐบาลให้ท้าย อันธพาลการเมืองที่ตัวเองจัดตั้งขึ้นมากันแน่
      
       นักวิชาการและสื่อมวลชนกลุ่มนี้กลับไม่ใส่ใจที่อำนาจรัฐและอันธพาลกา รเมืองใช้อาวุธสงครามทำร้ายร่างกาย และทำลายทรัพย์สินกลุ่มผู้ชุมนุมของพันธมิตรฯ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จนมีผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 7 ราย, อาการโคม่า 1 ราย, พิการ 6 ราย และบาดเจ็บ 625 ราย โดยที่ผู้กระทำความผิดยังไม่ได้ถูกจับกุมหรือถูกลงโทษแม้แต่รายเดียว
      
       ทัศนคติของนักวิชาการและสื่อมวลชนที่เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุม สะท้อนถึงความ “จอมปลอม” ของคนเหล่านี้ เพราะถ้าพวกเขาไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงจริง พวกเขาต้องไม่เห็นด้วย ไม่ว่าจะเกิดความรุนแรงกับใคร
      
       แน่นอนว่า มวลชนที่สนับสนุนระบอบทักษิณย่อมจะมีพลังบริสุทธิ์ที่สนับสนุนทักษิณด้วยรัก และศรัทธา แต่นักวิชาการและสื่อมวลชนมองไม่เห็นการขับเคลื่อนที่แตกต่างของพลังมวลชนส่ วนใหญ่ทั้งสองฝ่ายเลยหรือว่าใครเป็นของแท้หรือของเทียม แล้วทำไมถึงไม่บอกความจริงกับสังคม
      
       หรือพวกเขามองไม่เห็นความชั่วร้ายของระบอบทักษิณได้อย่างไร
      
       นักวิชาการและสื่อมวลชนประเภทนี้ย่อมเป็นอันตรายต่อประเทศชาติที่เลวร้ายยิ่งกว่าระบอบทักษิณ ใช่หรือไม่ใช่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น