++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2551

นักการเมืองจะทำลายชาติอีกหรือ?

โดย สิริอัญญา 7 ธันวาคม 2551 19:37 น.







นักการเมืองที่ไม่ละอายต่อบาปได้ตั้งท่านักเลงมาตั้งแต่ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยแล้ว ด้วยการกล่าวหาศาลต่างๆ นานา โดยหารู้ไม่ว่าระหว่างศักดิ์ศรีเกียรติภูมิของตนกับของศาลนั้น อย่างไหนผู้คนทั้งในประเทศและต่างประเทศเขาจะยอมรับนับถือมากกว่ากัน



ดังนั้นพอศาลตัดสินก็มีเสียงด่าทอตำหนิติเตียนจากนักการเมืองที่โกงเลือกตั้งกันจนวุ่นวาย แต่ก็หามีคุณค่าที่ใครๆ จะเชื่อถือรับฟังแต่ประการใดไม่ ผู้คนพากันดูถูกเหยียดหยามไยไพว่าศาลชี้ผิดถูกเช่นนี้แล้วยังไม่รู้จักเงาหัวตัวเอง



เท่านั้นยังมิหนำแก่ใจ ยังคิดสุมหัวกันจะตั้งรัฐบาลขึ้นมาใหม่ในกลุ่มขั้วเดิมเพื่อทำตัวเป็นหุ่นต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด



เรียกว่าได้แก้ผ้าล่อนจ้อนชนิดเย้ยฟ้าท้าดินกันทีเดียว แต่สภาพเช่นนั้นจะต่างอันใดกับคนบ้าที่แก้ผ้าโทงๆ แล้วเรียกตัวเองว่าเป็นสมเด็จนั่น สมเด็จนี่อึงมี่ไป ใครๆ จึงเห็นว่าพฤติกรรมแบบนี้เป็นพฤติกรรมแบบบ้าลิเกเท่านั้น



ดังนั้นเสียงค้านจึงขรมไปทั่วทั้งแผ่นดินว่าสร้างกรรมทำเข็ญตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดมาถึง 2 ชุดแล้ว ล้มครืนลงไปแล้ว ยังไม่รู้สึกสำนึกชั่วดี ยังจะหน้าด้านตั้งรัฐบาลหุ่นต่อไปอีก



บรรดาผู้คนวงการต่างๆ ทั้งทหาร ข้าราชการ อธิการบดี นักวิชาการ ภาคธุรกิจที่ได้แสดงท่าทีปฏิเสธรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มาก่อนและเรียกร้องให้คืนอำนาจแก่ประชาชนพากันร้องยี้และต้านทานขัดขวางไม่ให้ขั้วเก่าเจ้าเดิมจัดตั้งรัฐบาลอีก



เพราะหมดความชอบธรรมแล้วถึง 3 สถาน คือ ได้เป็นผู้แทนเพราะการโกงเลือกตั้งอย่างหนึ่ง จัดตั้งรัฐบาลหุ่นและล้มเหลวถึง 2 ชุดอย่างหนึ่ง และเกิดวิกฤตร้ายแรงที่สุดขึ้นในบ้านเมืองอีกอย่างหนึ่ง



ยิ่งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะได้ประกาศชัดเจนว่าถ้าขั้วเก่ายังตั้งรัฐบาลต่อไปอีกก็ต้องเจอกันอีก ซึ่งหมายความว่าหากนักการเมืองขั้วเก่ายังดื้อรั้นคิดจะทำร้ายชาติบ้านเมืองให้พินาศย่อยยับไปมากกว่านี้ ก็ถึงทีเป็นไรก็เป็นกัน



คนทั้งปวงจึงเล็งเห็นตรงกันว่าต้นเหตุเภทภัยของแผ่นดินก็คือนักการเมืองที่โกงเลือกตั้ง จึงถึงเวลาที่ต้องพิจารณาให้พรรคการเมืองอื่นได้จัดตั้งรัฐบาล เพื่อนำความสงบสุขกลับคืนมาสู่บ้านเมือง และพัฒนาชาติบ้านเมืองให้ฟื้นคืนดีเสียที



นั่นกล่าวได้ว่าอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนส่วนใหญ่ในแผ่นดินนี้มาลงตรงกันแล้วว่าถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนพรรคการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตย เพื่อหยุดยั้งความเสี่ยงภัยและอันตรายทั้งหลาย และนำชาติบ้านเมืองกลับสู่ความสงบสุขเสียทีหนึ่ง



สาธุ! ขอให้ความปรารถนาดังว่านี้ปรากฏเป็นจริงเถิด



และอยากจะขอเตือนบรรดานักการเมืองให้รำลึกด้วยว่าการดึงดันสร้างปัญหาให้กับบ้านเมืองนั้นเป็นการก่อกรรมทำเข็ญต่อประเทศชาติและประชาชน จะมีผลเป็นอนันตริยกรรมที่จะต้องรับวิบากกรรมอย่างสาหัส



ไม่เห็นหรือว่าคนผู้ตระบัดสัตย์ต่อคำถวายสัตย์ปฏิญาณแล้วตกอยู่ในสภาพการณ์อย่างไร บางคนมัจจุราชก็ส่งมะเร็งมาคร่าเอาชีวิตไปแล้ว หลายคนกำลังตกอยู่ในอุ้งหัตถ์แห่งมัจจุราชตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณไว้



ไม่สังเกตกันบ้างหรือว่าในการพิธีตรวจพลสวนสนามและถวายสัตย์ปฏิญาณของทหารมหาดเล็กและทหารรักษาพระองค์ในวันที่ 2 ธันวาคม 2551 นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงย้ำเตือนด้วยน้ำพระทัยอันเปี่ยมด้วยความห่วงใยและเมตตากรุณาต่ออาณาข้าราชการทั้งปวงว่า ให้ยึดมั่นปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้กล่าวคำสัตย์ปฏิญาณไว้



คำเตือนดังกล่าวนี้ย่อมเป็นไปเพื่อให้บรรดาผู้ถวายสัตย์ทั้งปวงถึงซึ่งความมงคล และปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง เพราะหากตระบัดสัตย์หรือเพิกเฉยละเลยหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบแล้วก็จะเป็นอันตราย และทำให้บ้านเมืองเป็นอันตรายด้วย



หลายคนคงสะดุ้งใจและหนาวยะเยือกไปถึงบึ้งใจเป็นแน่นอน



หลังคำตัดสินของศาล ได้เกิดปัญหาทางกฎหมายขึ้นหลายประการ



แต่ละเรื่องแต่ละราวล้วนแต่เป็นอุปสรรคขัดขวางคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจในบ้านเมืองทั้งนั้น ที่สำคัญได้แก่



ประการแรก ในส่วนของคณะรัฐมนตรีที่ตั้งท่าทำตัวจะเป็นคณะรัฐมนตรีรักษาการเต็มรูปแบบ ก็มีทีท่าว่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เพราะคณะรัฐมนตรีไม่มีอำนาจแต่งตั้งใครให้รักษาการนายกรัฐมนตรี หรือรักษาการรัฐมนตรีอื่น เนื่องจากเป็นอำนาจโดยเฉพาะของนายกรัฐมนตรีตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการแผ่นดิน



คณะรัฐมนตรีมีหน้าที่เพียงรับทราบเท่านั้น ก็แลเมื่อตัวเองไม่มีอำนาจ จะไปตั้งใครให้รักษาการนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี ย่อมไม่มีผลและเป็นโมฆะทั้งหมด



ประการที่สอง บรรดา ส.ส. ของพรรคการเมืองที่ถูกยุบและเตรียมการจะย้ายไปอยู่พรรคการเมืองอื่นซึ่งไม่เคยมีกิจกรรมทางการเมือง ไม่เคยผ่านการเลือกตั้งและไม่เคยมี ส.ส. ในสภาฯ เลย ดังแผนการที่เตรียมเอาไว้ก่อนหน้านั้น ก็มีปัญหาสาหัส อาจพา ส.ส. ไปตายเหมายกเข่งก็ได้



เพราะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญหลายท่านติงว่าหากเมื่อใดที่มีปัญหาต้องตีความว่าพรรคการเมืองใหม่ที่ว่านั้นไม่สามารถรองรับการย้ายพรรคได้ ก็เท่ากับว่าเมื่อพ้นกำหนด 60 วันแล้ว บรรดา ส.ส. ของพรรคที่ถูกยุบไม่มีพรรคสังกัด ก็ต้องพ้นจากตำแหน่งทันที หากเป็นเช่นนี้ก็ตายยกเข่ง



ส.ส.ท่านใดจะลองเสี่ยงก็เชิญได้ตามสบาย



ประการที่สาม บรรดา ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ เมื่อถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งและพ้นจากตำแหน่งแล้ว จะเลื่อนบุคคลในบัญชีถัดไปเป็น ส.ส. แทนได้หรือไม่



ย่อมไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะเมื่อพรรคถูกยุบ บุคคลในบัญชีนั้นก็เป็นอันสิ้นสุดลงด้วย ไม่มีทางที่จะเลื่อนขึ้นมาเป็น ส.ส. แทน



มีข่าวว่ามีการแก้เกมนี้ด้วยการทำทีเป็นว่า ส.ส. ที่เป็นกรรมการบริหารพรรคลาออกไปก่อนยุบพรรคแล้ว และมีการเลื่อนลำดับถัดไปขึ้นมาแทนแล้ว ซึ่งเป็นการทำหลักฐานย้อนหลัง



อย่างนี้ฉิบหายแน่! เพราะมันไม่ง่ายดังที่คิด เนื่องจากมีบทกฎหมายบังคับว่าในกรณีเช่นนี้จะต้องแจ้งต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ออกประกาศเลื่อนลำดับถัดไปขึ้นมาเป็น ส.ส. แทน และต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาด้วย จากนั้นก็ต้องรายงาน กกต. เพื่อออกหนังสือรับรอง แต่ปรากฏว่าไม่มีการดำเนินการเช่นนี้เลย



ขืนพรรคไหนทำและพรรคไหนรับ ส.ส. แบบนี้ ก็เท่ากับโกงและผิดกฎหมายเช่นเดียวกัน เข้าทำนองเข้าสู่อำนาจโดยไม่ใช่วิถีทางแห่งรัฐธรรมนูญ อันอาจถูกยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งซ้ำเข้าไปอีก



แต่คงไม่มีพรรคการเมืองไหนกล้าทำหรือหน้ามืดทำการเช่นนี้หรอก จึงได้แต่ภาวนาให้เป็นแค่ข่าว อย่าได้เป็นความจริงตามข่าวนั้นเลย มิฉะนั้นจะต้องเสียเงินแผ่นดินไปเลือกตั้งซ่อมครั้งมโหฬารในต้นปีหน้าเป็นแน่นอน



ประการที่สี่ ฝ่ายรัฐบาลแถลงว่าจะเปิดประชุมสภาฯ เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 8 หรือ 9 ธันวาคม 2551 โดยให้ ส.ส. เข้าชื่อกันตามรัฐธรรมนูญ



การพูดเช่นนี้แสดงถึงวุฒิภาวะและจิตสำนึกของผู้พูดได้เป็นอย่างดีว่าเป็นอย่างไร เพราะการเปิดสภาฯ สมัยวิสามัญนั้นเป็นพระราชอำนาจ ต้องกระทำโดยพระบรมราชโองการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ไม่ใช่รัฐบาลหรือประธานสภาฯ จะทำได้ตามใจชอบ



ทั้งประธานรัฐสภาก็เผยท่าทีแล้วว่าควรเลื่อนการเปิดสภาฯ สมัยวิสามัญออกไปก่อน



การประกาศให้เปิดสภาฯ และเลือกนายกรัฐมนตรีดังกล่าวจึงไม่น่าจะเป็นไปได้อย่างนั้นเลย



เพราะขณะนี้บรรดา ส.ส. ของพรรคที่ถูกยุบยังไม่รู้ว่าใครสังกัดพรรคไหน ในขณะที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ ส.ส. ต้องสังกัดพรรค เมื่อยังไม่สังกัดพรรคก็ยังไม่รู้ว่าเป็นผีหรือเป็นคน อาจไม่สามารถทำหน้าที่ ส.ส. ได้ และอาจไม่มีสิทธิที่จะเข้าชื่อกันขอเปิดสภาฯ จนกว่าจะได้ผ่านกระบวนการสังกัดพรรคให้เรียบร้อยตามกฎหมายก่อน



เพราะเหตุนี้กระมัง ประธานรัฐสภาจึงเผยท่าทีว่าต้องการให้เลื่อนการเปิดสภาฯ ในวันที่ 8 หรือ 9 ธันวาคม 2551 ออกไปก่อน เพราะขืนทำไปก็อาจถูกตีกลับมาหรือกลายเป็นโมฆะ แล้วจะพากันยุ่งเหยิงกันไปใหญ่



เห็นหรือยังว่าการตั้งท่าเล่นเกมทศกัณฐ์ถอดดวงใจฝากไว้กับพระฤาษีโคบุตรนั้น มันเป็นการหลีกเลี่ยงกฎแห่งกรรม เป็นการกระทำที่ขาดความสำนึกรับผิดชอบ โดยเฉพาะคือไม่มีกติกามารยาททางการเมือง ดังนั้นจึงเกิดวิบากกรรมที่ยุ่งเหยิง ยุ่งยากสับสนถึงปานนี้



เจตนารมณ์ของกฎหมายต้องการให้นักการเมืองได้รู้สึกสำนึกตัว แล้วกลับเนื้อกลับตัวเห็นแก่บ้านแก่เมือง เมื่อพรรคถูกยุบแล้วก็พึงย้ายไปอยู่พรรคที่ไม่มีปัญหากับบ้านเมืองและจะไม่ก่อกรรมทำเข็ญให้กับบ้านเมืองอีก ไม่ใช่ทำตัวเป็นทศกัณฐ์อยู่ร่ำไป



ขืนดื้อรั้นก็หวั่นว่าวิบากกรรมจะตามทันเร็วกว่ากำหนดเป็นแน่แท้.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น