น้ำค้างทอประกายบนใบหญ้า
หิน
เกลี้ยงกลางแก่งแต่งวนา
เหมือนเมตตาแต่งในหัวใจคน
ลมโบกไม้ใบไหวระยับเกื้อกูลกรุณาน้อมสนอง
ดิบซับซาบน้ำเมื่อฉ่ำฝน
มณฑลรับ
แสงทองต้องมณฑล
เกิดโดยกลกฏแห่งการแบ่งปัน
คือนวลส่องแสงสว่างการสร้างสรรค์
มีหรือราตรีกาลนานนิรันดร์
มีหรือวันใดสว่างมิร้างรา
จะโหดเหี้ยมห้าวหาญไปปานไหนจะหนักแน่นนิ่งได้หรือไรเล่า
ไม่มีเลยหรือใจหวั่นผวา
แม้น
รู้จักสัจจะธรรมดา
คงเห็นจริงสัจจาทุกดวงใจ
ขุนเขายังรู้เลื่อนรู้เคลื่อนไหว
จะกร้าว
แกร่งกร้านกล้าเกินกว่าใคร
เพื่ออะไรที่กร้านให้การเกิน
โลกนี้มิใช่อยู่เพียงภูผาวันใดแม้ดวงอาทิตย์ดับ
ฝุ่นธุลีนานาก็อยู่เนิ่น
ไม่มีภูผาใดไม่
เชื้อเชิญ
หมางเมินหน่ายหนีธุลีดิน
โลกย่อมย่อยยับลงแล้วสิ้น
สรรพสิ่งบนพื้นปฐพิน
ถ้วนถิ่นเท่ากันเสมอกัน
ไม่มีดาวฤาจะรู้ระยะฟ้าแม้สิ้นศรัทธาหาเหตุผล
ไม่มีหน้ามีหลังได้อย่างไรนั่น
ไม่มีดินเบื้องล่างให้ย่างยัน
จะ
ดึงดันเย่อหยิ่งกับสิ่งใด
ไม่เห็นค่าของคนที่ต่ำใต้
ความเป็นคนจะมีอยู่ที่ใคร
เมื่อมิให้ตน
เห็นคนเป็นคน
นั่นดวงดาวประดับประดาบนฟ้ากว้าง
ถึงเจือจางแต่ก็พอเห็นหน
มีเมตตาประดับในหัวใจตน
ไว้ขับ
ความมืดมนในชีวิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น