++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2554

TOO DIFFERENT

ในแต่ละวันที่เราลืมตามองโลกใบนี้ จะมีใครบ้างหรือเปล่าที่พอลืมตาแล้วจะมองเห็นฝ้าเพดานหรือผนังห้องนอนทันที โดยไม่คิดอะไร และจะมีสักกี่คนที่คิดถึงว่าตอนลืมตาตื่นนอนในตอนเช้าหรือตอนใกล้เคลิ้มหลับตาในตอนค่ำ ตัวเองหายใจเข้าหรือหายใจออก
โดยธรรมชาติของจิต มันมีควานว่องไว รวดเร็วกว่าสิ่งใดๆทั้งมวล ดังนั้นแทบทุกคนพอลืมตาขึ้นมาแล้ว ก็คิดไปเรื่องโน้นคิดไปเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา จนวันๆคิดไปได้ประมาณ 50,000 เรื่อง จากที่เขาทำวิจัยกันมาถือว่าเยอะมากจริงๆ เพราะความว่องไวแห่งจิตนั่นเอง
ดังนั้นการจะให้จิตมันนิ่งหรือสงบ มันจึงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นที่จะทำได้แค่ชั่วลัดมือเดียว หรือชั่วเวลาไม่นาน ซึ่งต้องอาศัยการฝึกอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นการฝึกในแบบสมถะกรรมฐานหรือที่ใครๆมักจะเรียกอีกอย่างว่าฝึกสมาธิ และการฝึกวิปัสสนากรรมฐาน หรือฝึกการรู้กายเคลื่อนไหว รู้ใจคิดนึกก็เป็นอีกหนทางหนึ่ง เพื่อจะเห็นกาย เวทนา จิต ธรรมที่เรียกกันว่าสติปัฎฐานสี่ ที่เป็นคำที่มีมากที่สุดในพระไตรปิฎก ดังที่หลวงปู่พุทธทาสภิกขุท่านสอนในการเทศน์หลายๆครั้ง
ธรรมชาติของจิตที่ไม่หยุดนิ่ง มันก็แส่ส่ายตวัดไปทางโน้นทีไปทางนี้ทีเพื่อจะไปในทางที่คิดว่าอยากไปและหลบจากทางที่คิดว่าไม่อยากไป
คนทั้งหลายจึงจมไปกับความคิดต่างๆกันมากมาย ความชอบหลายๆอย่างของหลายๆคนอาจจะเหมือนกันบ้างและอาจจะแตกต่างกันบ้าง แม้กระทั่งในคนๆเดียวกันยังมีความเห็นไม่ลงรอยกันเองเลยก็มีมาก
ดังคำพูดที่ว่าปากอย่างใจอย่าง ไม่ใช่กับคนอื่นเท่านั้นที่เป็นอย่างนั้น แม้กระทั่งกับตัวเองก็ยังมีอาการปากอย่างใจอย่างเลย เพราะจิตมันฟุ้งซ่านมันไม่สงบ
เหมือนคนเราที่มีความสุขได้ไม่เหมือนกันเพราะความคิดเห็นที่แตกต่าง ต่างคนต่างชอบกันคนละอย่าง จึงสุขกันคนละแบบเมื่อได้รับการตอบสนองความอยากของตนเอง เหมือนคำโบราณที่พูดถึงคนทั่วๆไปว่ าคนบ้าห้าร้อยจำพวก เพราะชอบกันไปคนละอย่างสองอย่าง
ท่านผู้อ่านลองนึกภาพความคิดของตัวเองนะคะ อย่างตอนที่ถึงเวลาทานข้าว บางคนอาจจะพอรู้ว่าจะเลือกทานอะไรเพราะคิดไว้ก่อนแล้ว แต่มีบางคนไม่รู้จะทานอะไรเพราะจิตมันฟุ้งซ่านทั้งๆที่เมนูอาหารอยู่ต่อหน้าต่อตานับร้อยรายการ
ความขัดแย้งทางความคิดเห็นจึงมีผลเสียต่อตนเองและต่อผู้อื่น ซึ่งจะนำพาปัญหาต่าง ๆนานาในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปมาให้
หากมีความเห็นแตกต่างกับคนอื่นมาก ถึงกับอยู่ด้วยกันไม่ได้ก็เยอะ ส่วนที่ต้องทนอยู่ด้วยกันอาจจะต้องอยู่ด้วยกันแบบแตกแยก เพราะความแตกต่างนี่แหละที่เรียกว่าไม่ลงรอยกัน นั่นแหละ หากฝืนอยู่ด้วยกันต่อไป
สำหรับผู้ที่มีความเห็นขัดแย้งกันกับตัวเองมากๆ ก็จะเป็นคนเจ้าอารมณ์ ฟุ้งซ่าน เซื่องซึม หากเป็นมากๆกเข้าก็พาลจะเป็นโรคประสาท และถ้ายิ่งเป็นอยู่อย่างต่อเนื่องไปกว่านั้น ก็จะึถึงขั้นวิกลจริตหรือบ้าไปจริงๆ
ในชีวิตจริงจึงมีคนจำนวนหนึ่งผ่านความฟุ้งซ่าน สับสน มึนงงกับความคิดเห็นที่แตกต่างของคนอื่นและความคิดเห็นที่แตกต่างของตัวเองออกไปได้ เพราะอาศัยธรรมะเป็นเครื่องชี้ทางแห่งความเป็นจริง ที่ไม่มีสับสน เป็นคำตอบที่ถูกที่สุด จริงแท้แน่นอน เช่นไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือเป็นคนบ้าห้าร้อยจำพว กล้วนต้องตกตายไปตามกันทั้งสิ้น
เมื่อคนเข้าใจความเป็นจริงของชีวิตที่มีแต่การเปลี่ยนแปลง ก็จะไม่สับสนอีกต่อไป จะสามารถอยู่ร่วมกับมันได้ ร่วมทุกข์กับมันได้ เพราะเห็นว่ามันเป็นของธรรมดาหรือธรรมชาติเท่า นั้นเอง ที่เกิดขึ้นมาด้วยความอยากทั้งสิ้น ไม่ว่าจะอยากได้อยากมีอยากเป็นอะไรก็ตาม
นักบวชทั้งหลายที่เดินทางตามหาความเป็นจริง จึงต่างเร่งฝีกจิตให้สงบเพื่อให้มีปัญญาแทงตลอดในอวิชชาหรือสิ่งที่เกิดขึ้นที่ใจนี่ เพื่อหาหนทางแห่งการเป็นผู้รู้ในธรรมทั้งหลาย สะอาดไปด้วยศีล สมาธิ ปัญญา
แต่คนเหล่านี้จำเป็นต้องสันโดษที่แปลว่าพอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี มักน้อยจนทำให้ความยึดติดนั้นหายไป ดังครูบาอาจารย์ผู้ปฎิบัติได้แสดงเอาไว้ให้เห็นเป็น แบบอย่างมากมายหลายต่อหลายท่าน แต่จะมีคนสักเท่าไรกันที่จะเห็นความจริงดังท่านทั้งหลายนั้น
ความขัดแย้งกับผู้อื่นยังแก้ได้และแก้ง่ายกว่าความขัดแย้งในตนเอง เพราะมีเงื่อนไขในการอยู่ร่วมกัน อาศัยซึ่งกันและกันในสังคม
แต่การขัดแย้งกับตนเองจำเป็นต้องอาศัยตนเองเป็นคนแก้ไขอย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นก่อนที่จะมาฝึกใจให้สงบ ก็ต้องไปหาจิตแพทย์รักษาให้หายเสียก่อน แม้จะเป็นกรรมเก่าแต่ก็ต้องแก้ด้วยกรรมปัจจุบัน
พระอริยเจ้าแต่เดิมท่านก็ไม่ได้คิดผิดแปลกแตกต่างไปจากบุคคลทั่วไปทั้งหลายคือยังคงมีความเห็นแตกต่างกับบุคคลทั่วไปและตนเอง ท่านฝึกและเฝ้าดูจิตของตนเองจนหมดความเห็นที่แตกต่างกับตนเอง แต่กลับมีความเห็นแตกต่างจากบุคคลทั่วไปโดยสิ้นเชิง
เมื่อเห็นความจริงในอริยสัจ เห็นความไม่เที่ยงแท้ เห็นความทุกข์อันทนได้ยาก เห็นทุกอย่างเป็นสิ่งไร้ตัวตน ไร้กายไร้ใจ สักแต่ว่าเป็นธรรมธาตุอันหนึ่งๆ ที่ประกอบกันและไหลเวียนกันไป จากสิ่งหนึ่งไปสู่สิ่งหนึ่ง ที่เป็นเช่นนั้นเองมาแต่ไหนแต่ไร และที่ท่านเห็นแตกต่างกันโดย สิ้นเชิงกับผู้คนทั่วไปก็คือ เห็นทุกข์ไม่มี เพราะไม่มีใครจะทุกข์ ด้วยความเห็นชอบหรือสัมมาทิฏฐิที่หมายถึงความเห็นที่ถูกต้องนั่นเอง

ธรรมะสวัสดี

หนูมะลิ

คนทั่วไปเกิดมาเพราะยึด แต่พระอริยเจ้าท่านต่างฝึกการปล่อยวางอย่างเอาชีวิตนี้เป็นเดิมพัน เพราะพระนิพพานอยู่ฟากตาย และท่านก็เห็นแตกต่างไปจากนี้ เพราะท่านเห็นว่าสรรพสิ่งทั้งหลายไม่มีตัวไม่มีตนทั้งสิ้น
มีพราหมรณ์คนหนึ่งมากราบเรียนถามพระพุทธองค์ว่า ทรงตรัสสอนพุทธศาสนามาตั้ง 45 ปีสามารถอธิบายธรรมทั้งหมดของพุทธศาสนาด้วยประโยคเดียวได้หรือไม่ซึ่ง
พระองค์จึงทรงตรัสว่าสัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ-สภาวธรรม(สิ่ง)ทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ซึ่งเป็นหัวใจพุทธศาสนานั่นเอง ( พุทธทาสภิกขุุ )
ขอบคุณหนูมะลิ ว่างๆเขียนมาใหม่นะครับ

สะมะชัยโย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น