ผมมองตรงกันข้าม แต่ไม่ทั้งหมด
นำ้้ท่วมรอบนี้ ได้เห็นอะไรดีๆ หลายอย่าง เช่น
1. คนไทยต่างเอื้ออาทรช่วยเหลือกันเองมากขึ้น อาจเป็นเพราะหากรอคอยรัฐบาลอาจอดตายได้
2. สื่อมวลชนทำหน้าที่ได้ดี นอกจากเสนอข่าวแล้ว ยังลงมือลงแรง หาสิ่งของไปช่วยอีกแรง
3. นักการเมือง ฝ่ายค้าน ได้ทำงานช่วยเหลือ ปชช. ไม่ใช่แต่ว่าต้องเป็นฝ่ายรัฐบาลเท่านั้น
4. สิ่งที่ซาบซึ้งในหัวใจคนไทยมากที่สุด และได้รับทุกครั้ง คือ ความห่วงใยที่มีจากพระเจ้าอยู่หัวและราชวงศ์
จะเห็นว่า คนไทยไม่ได้เห็นแก่ตัวทุกคน
ปัญหาน้ำท่วมส่วนหนึ่งเป็นเพราะอากาศเปลี่ยนแปลง ส่วนหนึ่งมาจากความเห็นแก่ตัวของคน บางกลุ่ม บางคน การขยายตัวของชุมชน การสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน สร้างตึก อาคาร ส่วนใหญ่ขวางทางน้ำไหลทั้งสิ้น เมื่อน้ำมันไหลไม่ได้ มันก็ท่วม เป็นเรื่องธรรมชาติ อย่างพื้นที่ลุ่มภาคกลาง ไม่ใช่ว่าน้ำพึ่งจะมาท่วม แต่ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปสมัยอยุธยา ดินแดนแหลมทอง มีแต่น้ำและน้ำ ชาวตะวันตกที่เดินทางมายังบางกอก จะบรรยายเรื่องราวของไทยไว้อย่างชัดเจน สงครามระหว่างไทยกับพม่า เวลาทัพพม่ายกมาตีกรุงศรีหรือคิดจะล้อมกรุงศรีฯ หากเวลาล่วงเลยไปจนถึงหน้าน้ำหลากแล้ว พม่าก็จะอยู่ไม่ได้ ต้องยกทัพกลับ ที่ลุ่มภาคกลาง เช่น อยุธยา ชัยนาท อ่างทอง สิงห์บุรี สุพรรณบุรี เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก นำ้ก็จะท่วมทุ่งเต็มไปหมด พม่าต้องยกทัพกลับเพราะขืนอยู่ เดี๋ยวอดตายหรือจมน้ำกันหมด ผมจึงไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใดกับวิกฤติน้ำท่วมภาคกลาง หรือแม้แต่ที่อื่นๆ เพียงแต่ว่า ปีนี้ มันยาวนานเกินเหตุ และมากเหลือเกิน อาจเป็นเพราะมีลมมรสุมมากกว่าทุกปี และมีเขื่อนที่คนเราสร้างกันเองมากขึ้น (บ้าน ถนน สนามกอล์ฟ)
ผมเชื่อว่า หากเรายังมีผู้นำและนักการเมืองแบบนี้ คงไม่มีทางแก้ไขปัญหาได้ นี่ขนาดว่ายังไม่ถมทะเลนะ หากถมทะเล คงได้สนุกกันมากกว่านี้
KO
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น