++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2552

คนไทยกับความรักชาติ


โดย พิมลวัฑฒิ์ ชูโต


เมื่อปี 2544 ประดิษฐ์ พีระมาน ได้เขียนหนังสือชื่อ “ฮวงจุ้ยและทรัพยากรที่ยิ่งใหญ่ของไทย” ซึ่งมีใจความสำคัญพอสรุปได้ว่า ประเทศไทยมีฮวงจุ้ยที่ดีที่สุด และดีมากอย่างไม่น่าเชื่อถือเพราะ:

*หันหลังพิงเขา ได้แก่ที่ราบสูงทิเบตซึ่งมีความลาดเอียงลงมาอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใกล้ชิดจนรู้สึกว่าถูกกดดัน ไม่มีการพังทลายอย่างรุนแรงของภูเขา และไม่ถูกกระแสน้ำไหลบ่าอย่างรุนแรง

*มีรูปร่างเหมือนขวาน และถูกโอบล้อมด้วยขุนเขาและป่าไม้ทั้ง 3 ด้าน ทางเหนือซึ่งเปรียบเสมือนรั้วกันภัย (แต่คนไทยตัดรั้วจนเหลือแต่ภูเขาหัวโล้น)

*มีสายน้ำโอบอุ้มหลายสาย เช่น เจ้าพระยา ป่าสัก แม่กลอง ท่าจีน ชีและมูล ช่วยให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ เป็นเส้นทางคมนาคมและเป็นแหล่งอาหารอีกมาก (คนไทยกลัยเอาขยะและสารพิษจากโรงงานทิ้งลงแม่น้ำทุกวัน)

*ตอนกลางของประเทศเป็นที่ราบลุ่มที่สมบูรณ์ที่สุด1 ใน 3 ของโลก ซึ่งเหมาะสำหรับการเกษตรและมีเนื้อที่ถึง 35 ล้านไร่ (แต่คนไทยเอาเคมีเกษตรไปใส่ เอาโรงงานไปตั้งและปล่อยน้ำเสีย)

*ทิศใต้ซึ่งเปรียบเสมือนหน้าบ้านเป็นทะเลยิ่งถ้าขุดคอคอดกระจะยิ่งดี เพราะเป็นการเชื่อมมหาสมุทรทั้งสองด้าน

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง นักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกคนหนึ่งทำนายว่า ระหว่างประเทศญี่ปุ่นกับไทยในอนาคต ประเทศไทยจะพัฒนาและเจริญรุ่งเรืองกว่าญี่ปุ่น เพราะประเทศไทยมีขนาดกำลังดี จำนวนประชากรไม่มากหรือน้อยเกินไป มีความอุดมสมบูรณ์ ทรัพยากรมากมาย มีภูมิอากาศดีและไม่มีปัญหาขัดแย้งในเรื่องเชื้อชาติ เมื่อพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ ดังกล่าว สรุปได้ว่าประเทศไทยสมัยประมาณ 60 ปีที่แล้ว มีศักยภาพที่สูงมากสำหรับการพัฒนาให้เจริญรุ่งเรือง

อย่างไรก็ตาม ตลอดเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยไม่สามารถพัฒนาได้ตามศักยภาพ ทั้งนี้เพราะประเทศไทยไม่เคยแก้ปัญหาอันเลวร้ายที่สุดที่ปรากฏอยู่ร่วมกัน ทั้งในรัฐบาลอำมาตยาธิปไตย รัฐบาลเผด็จการทหาร รัฐบาลนักเลือกตั้ง และรัฐบาลนายทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐบาลนายทุนซึ่งบริหารประเทศเกือบตลอด 7-8 ปีที่ผ่านมา ได้มีพฤติกรรมคอร์รัปชันและฉ้อฉลอย่างหนักหน่วงที่สุด โดยใช้ข้าราชการทุกระดับเป็นเครื่องมืออย่างกว้างขวาง และรุนแรงอย่างไม่เกรงกลัวต่อขื่อแปของบ้านเมืองท่ามกลางความเฉยเมยของคน จำนวนมากรวมทั้งนักวิชาการประเภท “กลัว กลวง และกั๊ก” การฉ้อราษฎร์บังหลวงซึ่งเคยเป็นการ “กินตามน้ำ” ได้กลายเป็น “กินทวนน้ำ” และจำนวนเงินที่โกงกินมีมูลค่าเป็นแสนๆ ล้านบาทต่อปี ซึ่งเงินจำนวนมหาศาลดังกล่าวสามารถแปรสภาพประเทศไทยให้เป็นรัฐสวัสดิการ ซึ่งจะยังประโยชน์ให้ประชาชนทั้งประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนยากจนและชาวไร่ชาวนาได้อย่างแท้จริง แต่กลับถูกฉกฉวยไปโดยนักการเมืองและลูกมือซึ่งเป็นข้าราชการจำนวนหนึ่งเท่า นั้น

ถ้าคนไทยถูกถามว่ารักประเทศชาติหรือไม่ ทุกคนจะตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่า “รัก” อย่างไรก็ตาม เมื่อพูดถึงคำว่ารักชาติ นักวิชาการบางคนจะนึกถึงการล้างสมองโดยผู้บริหารประเทศให้ “เกลียดชัง” เพื่อนบ้าน หรืออาจนึกถึงคนจำนวนมากที่ยอมอุทิศตนอย่างมืดบอดให้กับผู้นำที่กระหายอำนาจ และนักรัฐศาสตร์มักจะประณามว่าความรักชาติเป็นต้นเหตุของสงครามหรือความหิว กระบวนในดินแดน และผลประโยชน์ของประเทศอื่น ขณะเดียวกัน นักเศรษฐศาสตร์ก็อาจจะกล่าวโทษว่าความรักชาติเป็นอุปสรรคของ “การค้าเสรี” และขัดขวางความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ฉะนั้นคำว่า “รักชาติ” จึงมักเป็นคำพูดที่มักถูกกล่าวถึงในทางลบตลอดมา

อย่างไรก็ตาม ความคิดดังกล่าวอาจไม่ใช่ความคิดเห็นที่ถูกต้องนัก ในชีวิตประจำวัน การที่เรารักคนในครอบครัวไม่ได้หมายความว่าเราจะเกลียดชังเพื่อนบ้าน และความรักชาติก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความชิงชังชนชาติอื่นเสมอไป ในทางตรงกันข้าม ความรักชาติกลับเสริมสร้างการ “ผนึกรวม” ของคนในชาติ และช่วยให้บุคคลแต่ละคนลดความเห็นแก่ตัว แล้วร่วมมือกันยึดถือและมุ่งมั่นในเป้าหมายเดียวกันคือ การเสียสละผลประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม พฤติกรรมดังกล่าวจะช่วยในการสร้างความเจริญรุ่งเรือง ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และความผาสุกให้ประเทศ

ระหว่างปี 2538-2547 โครงการสำรวจทางสังคมระหว่างประเทศ (International Social Survey Programme-ISSP) ซึ่งมีสำนักงานอยู่ในประเทศนอร์เวย์ ได้สำรวจ “เอกลักษณ์” หรือ “ลักษณะเฉพาะ” ของประเทศ 34 ประเทศ ในหลายทวีปและพบข้อมูลที่น่าสนใจว่า ในประเทศที่ประชาชนรักชาติ คนที่ทำร้ายสังคมหรือคอร์รัปชันจะถูกต่อต้านและคว่ำบาตร การโกงกินและฉ้อฉลที่ลดลงจะช่วยสร้างเสริมกิจกรรมต่างๆ ให้โปร่งใส เข้มแข็งและเจริญก้าวหน้า ประชาชนที่ไม่รักชาติจะทำลายซึ่งกันและกัน เพื่อประโยชน์ส่วนตัว และพฤติกรรมดังกล่าวย่อมนำไปสู่ความไม่ไว้วางใจ และความไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งย่อมส่งผลร้ายให้เศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศโดยตรง ความรักชาติเปรียบเสมือนคุณค่าที่ปรากฏใน “สังคมผึ้ง” ซึ่งสมาชิกทุกตัวต่างผนึกรวมกันอย่างมั่นคงเพื่อความอยู่รอด และความเจริญเติบโตของเผ่าพันธุ์

โครงการสำรวจข้างต้นได้รายงานผลการสำรวจเป็น 3 หัวข้อ และในแต่ละหัวข้อก็เรียงอันดับประเทศตามคะแนนที่ได้โดยสรุปดังนี้

1. ประเทศที่ประชาชนมีความรักชาติมาก และมีรายได้ต่อหัวสูงกว่าประเทศที่ประชาชนมีความรักชาติน้อยตามลำดับคือ : สหรัฐฯ ญี่ปุ่น สวิส สวีเดน ไอร์แลนด์ นอร์เวย์ เยอรมนี ฟินแลนด์ แคนาดา ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส อิสราเอล เกาหลี นิวซีแลนด์ สโลวีนีย โปแลนด์ สโลวะเกีย ลัตเวีย บัลแกเลีย รัสเซีย ชิลี ฟิลิปปินส์ แอฟริกาใต้ เวเนซุเอลา ฯลฯ

2. ประเทศที่ประชาชนมีความรักชาติมาก และมีการคอร์รัปชันน้อยตามลำดับคือ : สหรัฐฯ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา เดนมาร์ก ออสเตรีย นอร์เวย์ สหราชอาณาจักร ฟินแลนด์ สวีเดน เยอรมนี สวิส ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส อิสราเอล เกาหลี แอฟริกาใต้ รัสเซีย ฟิลิปปินส์ เวเนซุเอลา ฯลฯ (ในเอเชีย ประเทศทไยมีคอร์รัปชันสูงเป็นที่สองรองจากฟิลิปปินส์)

3. ประเทศที่ประชาชนมีความรักชาติมาก และมีระบบยุติธรรมที่เข้มแข็งตามลำดับได้แก่ : สหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น นอร์เวย์ สวิส ฟินแลนด์ สหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ เยอรมนี ฝรั่งเศส เกาหลี อิสราเอล ฮังการี อุรุกวัก รัสเซีย ฟิลิปปินส์ เวเนซุเอลา ฯลฯ

ข้อมูลของธนาคารโลกชี้ด้วยว่าประเทศที่ประชาชนมีความรักชาติมากจะเป็นประเทศ ที่มีการคอร์รัปชันต่ำ ประชาชนจะสนใจไยดีในเพื่อนร่วมชาติ และจะไม่ละเมิดกฎหมายและสิทธิของผู้อื่น ประเทศที่ประชาชนรักชาติจะมีการใช้กฎหมายและตุลาการภิวัฒน์อย่างเข้มแข็ง นักการเมือง ข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่รัฐที่คอร์รัปชันเป็นกลุ่มบุคคลที่หาผลประโยชน์บน ความสูญเสียของเพื่อนร่วมชาติ ถ้าพวกเขามีความรักชาติ พวกเขาย่อมไม่ทำความเสียหายให้สังคมและประเทศ ยิ่งกว่านั้น ความรักชาติยังทำให้คนในสังคมไม่ยอมรับการคอร์รัปชัน ในขณะที่ประชาชนที่ต่างก็เห็นแก่ตัวจะไม่สนใจในเรื่องการฉ้อฉลกลโกง และความพินาศของประเทศ ธนาคารโลกสรุปว่าประเทศที่รุ่งเรืองทางเศรษฐกิจจะมีการคอร์รัปชันต่ำ และประชาชนมีความสุขมาก

ดร.ไสว บุญมา ผู้จบปริญญาเอกทางเศรษฐศาสตร์ และทำงานกับธนาคารโลกมากว่า 20 ปี โดยมีความชำนิชำนาญด้านการพัฒนาประเทศ กล่าวว่า

“อาร์เจนตินาล้มเหลวในการพัฒนาประเทศตลอดมา เพราะยังข้าม “หุบเหว” ของการคอร์รัปชันไม่ได้ และประเทศไทยก็ยังอยู่ในภาวะล้มลุกคลุกคลานตลอดมาด้วยปัญหาเดียวกัน ในขณะที่เกาหลีใต้สามารถกระโดดข้ามหุบเหวดังกล่าวไปได้แล้ว เพราะตระหนักดีว่าการฉ้อราษฎร์บังหลวงเป็นปัญหาอันเลวร้ายที่สุดของประเทศ จึงพร้อมใจกันใช้พลังแผ่นดินแก้ปัญหาอย่างแน่วแน่และเด็ดขาด (ประธานาธิบดีสองคนติดคุกและคนหนึ่งตายในคุก) ประเทศที่มีฐานะทางศีลธรรมหรือจริยธรรมที่ไม่เข้มแข็งจะไม่สามารถพัฒนาได้ และต้องล้มลุกคลุกคลานตลอดไป ปัญหาของประเทศไทยคือความฉ้อฉลกลโกงซึ่งเลวร้ายกว่าการคอร์รัปชัน เพราะใช้กลยุทธ์ทุกประการเพื่อการแผ่อำนาจและการโกงกิน เมื่อต้นน้ำสกปรก น้ำในสาขาย่อยของแม่น้ำก็สกปรกหมด หรือกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อไปก็ผิดหมด ฉะนั้น คนไทยต้องตั้งมาตรฐานทางศีลธรรมว่าการฉ้อฉลกลโกงเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้อีกต่อไป ไม่ใช่ยอมรับว่าโกงบ้างไม่เป็นไร”

สุด ท้ายนี้ขอจบด้วยคำถามของท่าน ว.วชิรเมธี ที่ว่า “ทำไมคนไทยจึงยอมให้คนเลวมีอิทธิพลเหนือบ้านเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า???”... คำถามข้างต้นเป็นคำถามที่คนไทยทุกคนต้องช่วยกันตอบ!!


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000032540

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น