++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2550

ประชามติกับความรู้เรื่องการเมืองของคนไทย


ทำไมประชาธิปไตยแบบไทยๆ ดูวุ่นวายมากกว่าที่อื่นๆ
ทุกช่วง 10-20ปี ต้องมีปฏิวัติ รัฐ ประหาร
มีการคอรัปชั่นที่ล้ำลึกมากขึ้น
เวลาที่พูด เรื่องการเมืองในปัจจุบัน คนไทยหลายกลุ่มเข้าใจมากแค่ไหน

มีแต่มุมมอง ความคิดเห็น ผสมกับอารมณ์ ความรู้สึกออกมามากมาย
แล้วมีความรู้ และความเข้าใจในเรื่องนั้นหรือไม่


คำวินิจฉัยของตุลาการ รัฐธรรมนูญ มีความรู้ความเข้าใจแค่ไหน ทำไมถึงได้ตัดสินเช่นนั้น
คำวินิจฉัยนั้น มีทั้งหลักการ และมาตราที่ใช้กำกับไว้ชัด ซึ่งจะบอกเหตุที่ต้องใช้ มาตรานั้นในการตัดสิน

แต่หลายคนชอบที่จะแสดงความคิดเห็น บนพื้นฐานความไม่รู้
ความไม่รู้ คือ ขาดความรู้

หลายคนชอบฟังความเห็นจากคนอื่น ก็เข้าใจว่า นั่นคือ ข้อมูล ก็เอามาใส่ความเห็นของตนเองเพิ่มเข้าไปอีก
ใส่ความรู้สึก อารมณ์ เพิ่มเข้าไป
นั่นคือ การรับรู้ ไม่ใช่ความรู้

หลายคนรับฟัง รับรู้มาก แต่นั่นอาจไม่ใช่ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้อง

เมื่อสังคม ไทย มีแต่ความคิดเห็น อารมณ์ ความรู้สึก มากกว่า ความรู้
ทำให้การเมืองไทยยิ่งดูยุ่งเหยิงมากยิ่งขึ้น




ในการออกเสียง แสดงประชามติในหลายเรื่องของคนไทย
จึงเน้นที่ปริมาณมากไว้ก่อน
เน้นจำนวนคนเป็นหลัก เอามากๆเข้าไว้

การเมืองไทยจึงแบ่งออกเป็น 2 ขั้วอย่างชัดเจน
และคงจะยุ่งไปอีกนาน






Technorati : , , , , ,

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ25 กรกฎาคม 2551 เวลา 01:04

    เพราะว่า ต่างฝ่าย(ตรงข้ามกัน)ก็อ้างเอาเรื่องรัฐธรรมนูญ และ อ้างอิงศาลสูงสุด มาเป็นเครื่องมือหักล้างอีกฝ่ายหนึ่ง ให้เข้ามาสู่กับดักทางการเมืองในมาตราใดมาตราหนึ่ง อีกประมาการหนึ่งคือ ฝูงชนที่ไร้ขอบเขตทิศทาง ที่ได้ถูกชักจูงเข้ามา หรือ ถูกล้างสมองด้วยการยัดเยียดถ่ายทอดสื่อเข้าไปถึงที่ พูดซ้ำพูดย้ำ ให้คนเกลียดชังกัน(ฝ่ายตรงข้าม)ดังนั้นจึงกลายเป็นการแบ่งข้างว่า "ใครชอบฝ่ายพาลทะมิด" หรือไม่ชอบ ก็แปลว่าต้องเป็นอีกฝ่ายหนึ่ง แต่แท้ที่จริงแล้ว น่าจะมีประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่ไม่ได้เห็นชอบด้วยกับพฤติกรรมของฝ่ายที่ชอบอ้างแต่เรื่อง "กู้ชาติ" กับอีกฝ่ายก็ยึดถือหลักของประชาธิปไตยที่ได้รับมาจากการเลือกตั้ง และ แน่นอนว่า...จะต้องขัดแย้งกันต่อไปอีกยาวนาน ถ้าหากยังดึงเอาชื่อของอดีตผู้นำที่กำลังอยู่ในกระบวนการของศาลฯ เพราะฝ่ายที่อยากกอบกู้ชาติ ก็คงไม่มีมุขอะไรมาแอบอ้างที่จะ "ก่อฝูงชนฯ" เพื่อนำมาเข้าเป็นพวก แล้วกระทำการอย่างที่ได้เห็นกันมาหลายครั้งแล้ว (ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้ง) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนยังขาดความรู้ ยังไม่มีจิตสำนึกถึง"ประเทศชาติ" ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่พวกใดพวกหนึ่ง ที่จะต้องได้รับผลกระทบต่างๆ ติดตามมาจากการกล่าวหาโจมตี ฯลฯ สาวไส้ประจานกันออกอากาษทั้งวันทั้งคืนอยู่อบ่างนี้ (น่าขายหน้าคนทั้งโลก) สุดท้ายแล้วระบบเศรษฐกิจก็จะทรุดลง และ อาจเข้าขั้นวิกฤติในอนาคตอันใกล้ โดยสรุปเห็นว่า "กฎหมายรัฐธรรมนูญ" ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ เพราะคนเขียนไม่ได้เขียนบนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ทั่วไป(คนไทย) ใครทำอะไรเฉียดเข้าไปในมาตราใด ก็เสียเวลาเสียเงินค่าใช้จ่าย ต้องมาคอยตั้งองค์กรนั้นองค์กรนี้ตรวจสอบกันวุ่นวายไปหมด อย่าว่าแต่คนที่จบการทั่วไปจะไม่เข้าใจเลย การศึกษาสูงๆ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า "มันจะอะไรกันนักกันหนา การเมืองไทย" ดูเหมือนเราเดินหน้า แต่ถอยหลังเข้าคลองยังไงก็ไม่ทราบ "แก้ที่รากเง้าของความเชื่อ ให้เลิกยึดติดอดีตก่อนดีกว่า" แล้วการเมืองจะเดินหน้าต่อไปได้ เอาความสามารถมาวัดกันเลย หากเป็นไปได้ ขอเสนอให้ยกเลิกกฎหมาย "ห้ามซื้อเสียงขายเสียง" เพราะในประเพณีนิยมแบบไทยๆ ยังไงๆ ถ้ามีคนขอเขาก็ต้องให้กันเป็นธรรมดา เช่นการช่วยเหลือ ซื้อสิ่งของ ทำบุญ บริจาค ฯลฯ สารพัด เพราะสังคมไทยเป็นสังคมเอื้อเฟื้อและแบ่งปัน (ฝังรากลึก รากเง้านี้มีมาแต่บรรพบุรุษ) เสียเวลาที่จะมานั่งคิดวิธีจัดการกับสิ่งเหล่านี้ เพราะในเมื่อโลกหมุนไปทุกวัน บ้านเมืองไทยเรายังไม่ไปถึงไหนกันเลย และ อีกประการหนึ่งคือ สังคมไทยไม่ชอบการกล่าวหากัน ใครเห็นว่าฝ่ายไหนถูกเอาเปรียบ หรือ ถูกกล่าวหา ก็ย่อมจะเข้าข้างกัน(ถือหางกัน) เป็นปกติ เหมือนการดูชกมวย มันก็เลยต้อง "ชกกันอุตลุต" แบบนี้ไปเรื่อยๆ คิดแล้วก็น่าเสียดายงบประมาณต่างๆ เกี่ยวกับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ไม่ได้คิดถึงการฝังค่านิยมเรื่องประชาธิปไตย(ที่คิดเป็น) ให้เด็กๆ ไว้เลย

    ตอบลบ