นี่คือบทความเชิงสารคดีเรื่องเล็กๆ ที่มีคนยึดถือเป็นต้นแบบในการเริ่มต้นเขียนหนังสือเล่าเรื่องราว เป็นบทความที่อยู่ในหนังสือพ็อกเก็ตบ๊คส์ ต่วย'ตูน ปักษ์แรก ฉบับธันวาคม 2540
เรื่องนี้อาจไม่ใช่ผลงานที่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่คุณน้อย ลิขิต ผู้ที่ยึดถือเรื่องนี้เป็นต้นแบบของงานเขียนของเขา จึงภูมิใจที่จะนำเรื่องนี้มาเผยแพร่ เพื่อแบ่งปันให้กับผู้สนใจได้อ่านกันครับ
ตำนานซุ้มสาวกอด
โดย ดิตถ์ ตัณฑไพบูลย์
ณ หุบเขาที่โอบล้อมด้วยเทือกเขาสลับซับซ้อน สูงทะมึน มีดินแดนเขียวขจีของไม้ดอก ไม้ใบ ที่ปลูกไว้บนชั้นบนขั้นของพื้นดินลาดเทสู่พื้นราบที่เรียกว่า "นาขั้นบันใด" ในความเขียวชอุ่มของทิวเขาสลับซับซ้อนและแปลงไร่นาพืชผล ซึ่งส่วนใหญ่ได้ปลูกไม้ดอกโซนหนาว คือ ดอกกุ๊ชชี่ และท่ามกลางความกรุ่นระเหยของโอโซนฝนซึ่งแผ่ซ่านความหอมของกลิ่นดิน ที่นี่เป็นหุบเขานาคามที่เต็มไปด้วยสันติสุข แม้จะเยือกเย็นด้วยสายหมอกที่เรี่ยยอดไม้อยู่ชั่วนาตาปี แต่ก็อบอุ่นด้วยไมตรีจิตที่อวลด้วยสายใยแห่งมิตรภาพบริสุทธิ์
ที่นี่เป็นที่ตั้งของโครงการหลวงห้วยน้ำริน ที่มีวัตถุประสงค์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรแก่ชาวเขาภาคเหนือของประเทศไทย เร่งรัดขจัดการปลูกฝิ่น และปรับปรุงมาตรฐานการครองชีวิตให้ดีขึ้น โครงการนี้ตั้งอยู่บนเทือกเขานางแก้ว กิโลเมตรที่ 64 และแยกทางเข้าไปตามเส้นทางไหล่เขาอีก 9 กิโลเมตร บนทางหลวงสายเชียงใหม่-เวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นหมู่บ้านของชาวเขาเผ่ามูเซอดำ ที่มีชื่อภาษาอังกฤษ และจีนว่า LAHU หรือ ล่าหู่
มันเป็นที่ตั้งของแผ่นดิน "ตำนานรักดอกกุ๊ชชี่" เป็นนิวาสถานของชนเผ่ามูเซอดำ ผู้มีประวัติการต่อสู้ของพรานป่า และรักการผจญภัยล่าเสือร้าย-กระทิงเปลี่ยวยิ่งกว่าการนอนกกผู้หญิง
มูเซอ เป็นเสรีชนเผ่าพม่า-ธิเบต ชอบอาศัยอยู่บนเขาที่มีความสูงตั้งแต่ 4,000 ฟุตขึ้นไป อพยพถอยหนีจีนผู้รุกรานเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2518 แล้ว เป็นชนเผ่ารักสงบ พลเมืองมีราว 45,000 คน โยกย้ายเข้ามาตั้งภูมิลำเนาอยู่บ้านห้วยน้ำริน จังหวัดเชียงรายร่วม 100 ปีมาแล้ว มีประชากราว 350 คน
ชาวเขาผู้ใฝ่สันติ มูเซอนี้ นับถือผีป่า ผีดอย ผีฟ้า ผีไร่ อย่างเคร่งครัด เพื่อขอความคุ้มครองให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะผีบรรพบุรุษ จะต้องทำพิธีอัญเชิญวิญญาณมาเป็นประธานงานในวันเทศกาลใหญ่ๆ เช่น วันขึ้นปีใหม่ เป็นต้น
มูเซอ จัดเป็นกลุ่มชาวเขาเผ่าเดียวที่รักการผจญภัย ล่าสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งจะออกป่าล่าสัตว์เป็นพวกเป็นหมู่ หมู่ละ 10-15 คน ยกย่องผู้ล่าสัตว์เก่ง อาวุธที่ใช้ล่าสัตว์มีทั้งปืนและหน้าไม้ที่อาบยาพิษ การล่าสัตว์ป่านิยมการติดตามแกะรอย เมื่อพบรอยสัตว์ที่พึงประสงค์แล้วก็จะบนบานบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าเขาเพื่อขอล่าสัตว์เจ้าของรอยเป็นอาหาร เมื่อล่าสัตว์ได้แล้วก็จะทำพิธีสังเวยด้วยเนื้อสัตว์เคราะห์ร้ายเช่นกัน
การแกะรอยล่าสัตว์ป่า บางวันก็พบง่าย บางครั้งก็ข้ามวันข้ามคืน แกะรอยติดตามเสือลำบากบ้าง กระทิงที่ถูกปืน ป่วยทั้งสาหัสและไม่สาหัส ซึ่งสองกรณีนี้จำเป็นต้องติดตามพิฆาต มิเช่นนั้นจะเป็นอันตรายต่อชาวบ้าน เพราะมันจะทำร้ายคน ไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ ด้วยความอาฆาตมาดร้าย ดังนั้น บางครั้งผู้ติดตามแกะรอยสัตว์ลำบาก ก็จะเจอจุดจบเสียเองเพราะจะถูกสัตว์ร้ายซุ่มโจมตีจนเสียชีวิตไปก็มีอยู่เสมอ
ในที่นี้ผมใคร่จะกล่าวถึงบทบาทสำคัญอีกประการหนึ่งของชนชาวมูเซอ ที่มีอารมณ์สุนทรีย์ของความรักและระบบการครองเรือนที่ผิดแผกกับชาวเขาเผ่าอื่นๆ
วิถีชีวิตรักของเผ่าชาวเขาบนดอยสูง จะเน้นความอิสระเสรีในการเลือกคู่ครองด้วยพฤติกรรมที่แตกต่างกัน เป็นต้นว่า ชาวมูเซอดำ กลุ่มที่ผมกำลังเขียนถึงอยู่นี้ เป็นชาวเขากลุ่มเดียวที่เน้นระบบผัวเดียวเมียเดียว ไม่นิยมมีเมียครั้งละหลายๆคน เช่น ชาวเขาเผ่าอื่นๆ เมื่อผิดใจไม่ลงรอยกันก็จะขอเลิกรักกัน แม้ฝ่ายหญิงก็มีสิทธิ์ที่จะขอเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อนด้วย ในกรณีที่ฝ่ายชายเอาแต่ล่าสัตว์ไม่ใส่ใจทำการบ้านการมุ้ง ปล่อยให้ฝ่ายหญิงว้าเหว่เอกาแต่ผู้เดียว โดยเฉพาะเรื่องนี้ เป็นกติกาที่ผู้หญิงจะต่อต้านที่เป็นตายร้ายดีอย่างไร ก็ต้องหาผัวคนใหม่ที่รู้จักอารมณ์อ้าวว้างเดียวดายยามฝนตกพรำๆของผู้หญิง
กลไกควบคุมระบบสังคมเรื่องนี้ หนีไม่พ้นกติกาที่ถูกครอบงำด้วยระบบผี เช่นเดียวกับชาวเขาเผ่าอื่นๆ กรณีไม่ว่าจะได้เสียกัน จะเลิกร้างกัน หรือผิดผัวผิดเมีย เป็นกากีร้อยชู้ ก็จะต้องเสียค่าปรับไหม เป็นเงินรูเปีย (เงินทำด้วยโลหะเงิน 100% เป็นเงินของรัฐบาลอังกฤษสมัยปกครอง ชาวเขานิยมใช้เงิน 1 รูเปียเท่ากับเงินไทย 100 บาท) มากน้อยตามแต่กติกาของสังคม กำหนดบทลงโทษเอาไว้ (ตั้งแต่ 50-150 รูเปีย)
การหย่าร้างจะเกิดขึ้นเสมอ เพราะผู้ชายมูเซอชอบออกล่าสัตว์ ไม่สนใจการบ้านการมุ้ง หรืออาจจะจงใจเพื่อจะได้เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆก็เป็นได้
เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม ศกนี้ (พ.ศ.2540) ผมได้ร่วมไปทำงานวิจัยกับชาวเขาเผ่ามูเซอ พร้อมด้วย ดร.ไพบูลย์ สุทธสุภา และคุณฐานิศวร์ วงศ์ประเสริฐ นักวิจัยชาวเขาแห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คุณฐานิศวร์ วง์ประเสริฐ เป็นผู้ศึกษาชีวิตชาวเขาโดยเฉพาะเผ่ามูเซอ ผ่านการศึกษาขั้นปริญญาโทจากประเทศออสเตรเลียได้ทำหน้าที่เป็นล่ามให้กับผม โดยได้สัมภาษณ์ทั้งผู้แก่ (ผู้ใหญ่บ้าน) ชื่อ จะก่าโหล และปู่จองหรือครูหมอผีประจำหมู่บ้าน ชื่อจะแบะ ด้วยภาษามูเซอที่นับว่า สื่อความกับชาวบ้านได้ดีเยี่ยม ส่วน ดร.ไพบูลย์ สุทธสุภา ได้ติดกลุ่มมาร่วมดูแลโครงการหลวงในฐานะผู้เชี่ยวชาญการเกษตรจากมหาวิทยาลัยนอตติ้งฉอม ประเทศอังกฤษ พร้อมกับคุณฐานิศวร์ เป็นเวลา 15 ปีมาแล้ว ดังนั้น ข้อมูลต่างๆ ที่ผมเก็บมาเขียนมาเล่านี้ จึงมิใช่ยกเมฆ นั่งเทียนเขียนแน่นอน
ผมมีเรื่อง "โลกเสรีภาพแห่งความรัก" ของชาวเชาเผ่ามูเซอดำมาเล่าให้ฟังพอเป็นกระสาย เพื่อให้หนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่และหนุ่มกลัดมันวัยรุ่นทั้งหลายน้ำลายสอหาโอกาสขึ้นไป Weekend พบปะอีสาวบนเขาสูง แต่ขอเตือนจงระวัง AIDS เอาไว้บ้าง เพราะได้ข่าวฝรั่งฮิปปี้นำเชื้อไปเผยแพร่มานมนานหลายปีมาแล้ว แถวเมืองปายกับชาวเขาเผ่าอื่นๆ ก็มี
เรา- หมายถึงผม ดร.ไพบูลย์ สุทธสุภา และคุณฐานิศวร์ วงศ์ประเสริฐได้พักอยู่บนบ้านพักรับรองของศูนย์วิจัยฯ ห้วยน้ำรินอยู่หลายคืนเพื่อรอดูผลการวิจัยระบบสังคม SEX เสรีของชนเผ่า แล้วเหตุก็พิสูจน์ให้เห็นในคืนที่ 3 นั่นเอง
บนแอ่งเขาฝาชีหงาย สลับภูเขาลูกแล้วลูกเล่าก่ายทะมึนเป็นหลืบเป็นชั้น เบื้องหน้าเป็นดอกระฆังที่แบ่งเขตสามจังหวัด ทั้งเชียงใหม่ เชียงรายและลำปาง ที่มีความสูงกว่า 2,000 เมตร หม่นมัวด้วยแสงจันทร์ขึ้น 15 ค่ำ เพราะฝุ่นดินลอยขึ้นไปเปื้อนฟ้า ป่าแล้งจัดมาแรมเดือนตั้งแต่ก่อนสงกรานต์ ดาวไก่น้อยเรืองแสงกระพริบอยู่เบื้องตะวันออกแสนไกล แล้วเหมือนฟ้าจะหลั่งเมตตาเกรงผู้คนร้อนตาย จึงประทานห่าฝนลงมาชุ่มดิน เมื่อสองคืนที่แล้วติดต่อกัน พอดับร้อนกระตุ้นดอกกุ๊ชชี่ที่กำลังตูมให้เร่งบาน
พวกเราซึ่งมี ดร.ไพบูลย์ คุณฐานิศวร์ และพนักงานโครงการหลวงห้วยโป่งอีก 2 คน ชื่อ คุณจิระและคุณชาติชาย ซึ่ง คุณจรัล หัวหน้าโครงการห้วยโป่งใช้ให้ขึ้นมาตามพวกเราให้ลงเขาไปรับประทานอาหารเย็นร่วมกับอธิการบดีของวิทยาลัยอัสสัมชัญ กทม. ซึ่งขึ้นมาควบคุมการก่อสร้างอาคารที่ทางวิทยาลัยเขาได้บริจาคเงินเพื่อร่วมอุทิศ สมทบโครงการด้วย แต่เนื่องจากเป็นเวลาค่อนข้างดึกที่พวกเราเองก็ติดลมกับเจ้าน้ำอมฤตสีอำพันกันแล้ว เราจึงขอผัดลงไปพบในวันรุ่งขึ้น
ไกลออกไป ณ ดินแดนหมอกเหมยไม่เคยจางหายนี้ และเห็นยอดดอยตะคุ่มผลบโผล่เป็นหลืบเป็นชั้นปิดกั้นม่านฟ้า แสงจันทร์นวบสาดประกายผ่องขาวไปทั่วหุบในแอ่งกระทะ เต็มไปด้วยเสน่ห์และมนต์ขลังกระไรปานนั้น
อากาศหัวดึกเริ่มเย็นลงแล้ว ได้ยินเสียงสวบสาบ-กรอบแกรบของกิ่งไม้หักดังขึ้นข้างหู พร้อมกับกลิ่นสาบสาวชาวเขาโชยมากระทบจมูก แลเห็นเงาผู้หญิงสามคนตะคุ่มๆ บนลานบ้านพัก เหมือนสาวเจ้าจะขึ้นมาทักทายร่วมวง แต่ก็เสมือนหมึ่นจะเอียงอายแล้วหลบเร้นเพราะไม่คุ้นเคย
สักครู่ แลเห็นไม้ซีกแยงทะลุขึ้นมาจากพื้นฟากและฝาขัดแตะ แล้วเขี่ยที่ขาของคุณชาติชายและคุณจิระ ชายหนุ่มทั้งสองหันมามองหน้ากันแล้วหันมาสบตากับผมเป็นเชิงบอกขอตัว เพราะมีสาวมูเซอดำมาขอพบ ผมพยักหน้าอย่างรู้ทัน แล้วทั้งคู่ก็ค่อยๆลงกระไดละจากวงลงไปพบอีสาวและเกี่ยวก้อยจูงแขนกัน 4 คน 2 คู่ลับหายเข้าไปในซุ้มไม้ที่ฝ่ายหญิงตบแต่งเอาไว้ ซุ้มใครซุ้มมัน ได้ยินทั้งเสียงหยอกเอินและตัดพ้อ ถ้าจะแปลความคงต่อว่าที่ทั้งสองหนุ่มหายหน้าหายตาได้เชยชมแล้วก็ลาลับไม่ใยดี ได้ยินเสียงสองชายร้องคงถูกหยิกข่วน สักครู่หนึ่ง เสียงหัวร่อต่อกระซิบก็แว่วตามมา เพราะพุ่มไม้ที่ลาดเทไปตามไหล่เขาอยู่ไม่ไกลบ้านพัก และแล้ว ทั้งสองซุ้มก็แผ่วเสียงลง เสียงครวญครางที่เต็มไปด้วยความสุขความหรรษาก็เข้ามาแทนที่ ภายใต้แสงจันทร์ที่สกาวฟ้า แลเห็นยอดพุ่มไม้ไหวยวบยาบเป็นพักแล้วเงียงเสียงลงในที่สุด
ขอวาดฝันแต่งแต้มลงในลมหายใจของความรักของแต่ละชนเผ่านั้น ย่อมฝังประทับความละไมละมุนของประเพณีไว้ด้วย มันมิใช่สิ่งมาย แต่มันศักดิ์สิทธิ์และอบอวลไปด้วยภาษาของความอ่อนโยนชำแรกแทรกซึมอยู่อย่างมั่นคงสถาพร
ตะวันรอนอ่อนแสงลงเรี่ยยอดไม้ ลมเย็นพัดโชยต้นดอกกุ๊ชชี่ลู่ใบโอนเอน ในไร่ไม้ดอก อีสาว 2-3 คน นั่งร้องเพลงชาวดอย พร่ำรำพันถึงความรักความเสน่หาบ้างคลอด้วยขลุ่ยจาตุแล ที่วิเวกหวานข้ามเนินเขาเล็กๆ ที่จับกลุ่มด้วยหนุ่มน้อยวัยรุ่น 15-16 สองสามคน โต้ตอบเพลงรักกันข้ามเนินที่ขวางกั้นด้วยไร่มะเขือเทศ อีสาวครวญเพลงรักชื่อว่า "พี่ไปไร่กับใคร" ด้วยภาษาเผ่าพอภอดเป็นร้อยแก้ว ดังนี้
" ส่งเสียงเจื้อยแจ้วไป
พี่จำเสียงของน้องได้ไหม
วันนี้ น้องฝากเสียงเพลงลอยตามลมไป
และฝากความคะนึงหาพร่ำบอกไปกับนก
หากพี่ได้ยินเสียงนกร้อง
ได้ยินสายลมครวญมากับพรายน้ำ
นั่นแล คือเสียงพร่ำบอกความคิดถึงของน้อง"
หนุ่มหนึ่งในสามวัยรุ่น โต้กลับด้วยเสียงกังวานก้อง
"จาตุแลดังม่วนล้ำ สาวเฮย
เสียงของสูเจ้าพลิ้วมากับลมโชยพัดเฉื่อย
เหมือนหนึ่งเจ้าจะบอกลาไปไร่หนุ่มอื่น
คนอื่นเขามีคู่แล้ว
เหลืออยู่แต่ข้าคนเดียว
นางนกเอย เจ้าช่วยคาบคำข้า
บอกสาวเจ้าว่าข้าแสนจะห่วงใย"
ดอกกุ๊ชชี่บานเต็มพื้นที่ไร่ที่ลาดเอียง แดง-เหลือง-ขาว-สลับฟ้า แต่งแต้มสีสันระเนระนาดประดับป่า ข้าวแตกรวงเหลืองอร่ามทั่วท้องทุ่ง ทีมีลำห้วยไหลผ่านไม่มีวันทวนไหลกลับคืน - ไม่ทวนไหลกลับคืน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น