Theขี้ฝุ่นริมทาง
วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
.+*+. นิ ท า น ข อ ง พ่ อ .+*+.
กาลหนึ่งนานมาแล้ว นานเท่าไหร่ไม่รู้ พ่อมักจะเริ่มต้นเรื่องอย่างนี้ทุกครั้ง
มีเจ้าหญิงอยู่องค์หนึ่ง เจ้าหญิงคนนี้เป็นคนขยัน ทำอาหารเก่ง ชอบทำงานบ้านเสมอ ๆ
เจ้าหญิงของพ่อมักจะเป็นคนที่ขยันเสมอ ๆ ...
เจ้าหญิงได้พบกับชายแปลกหน้าคนหนึ่งในสวนดอกไม้ข้าง ๆ ปราสาท
ในขณะที่เจ้าหญิงกำลังเก็บดอกไม้
ผมพิมพ์มาถึงตรงนี้ ก็ต้องกด Delete ลบข้อความนั้นทิ้งเสียหมด
หลังจากที่ผมนั่งจ้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ร่วมครึ่งชั่วโมงแล้วมั้ง
แต่งานเขียนของผมก็ยังอยู่เหมือนเดิม
ไม่มีอะไรคืบหน้า ไม่มีอะไรขยับเขยื้อนไปสักอย่าง
ทั้ง ๆ ที่ผมจะต้องส่งต้นฉบับในวันพรุ่งนี้แล้ว
แย่จริง ๆ สมาธิหายไปไหนหมดนะ
บรรยากาศ ภาพความหลังในวัยเด็กหายไปไหนหมดนะ
- - นี่ผมคิดผิดหรือเปล่าหนอ? - -
ที่รับงานเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับพ่อมา
ก็เพราะคำว่า พ่อ นี่แหละที่ทำให้ผมเขียนไม่ออก
ไม่รู้จะเขียนอะไร เพราะพ่อไม่เคยอยู่ในความทรงจำของพ่อ
หรือเป็นฮีโร่เยี่ยงอย่างพ่อคนอื่น ๆ จนบางครั้งผมมีความรู้สึกราวกับว่า
พ่อกับผมเป็นคนแปลกหน้าที่ต่างวัยและบังเอิญมาอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน
พ่อยังเป็นคนทำลายครอบครัว ทำลายความรักที่แม่มีต่อพ่ออย่างหมดสิ้น
จนแม่ทนไม่ไหวต้องหย่าร้างกันไปในที่สุด และพ่อยังจะทำลายความฝันของผมอีก
ผมอยากเรียนหนังสือ ผมชอบงานเขียนหนังสือ
ผมบอกกับพ่อในวันที่พ่อบอกให้ผมเลิกเรียนหนังสือ
และออกมาช่วยกันทำงานที่โรงกลึงของตนเอง..
แกจะเรียนไปทำไมนักหนา กิจการของพ่อก็มี
แล้วนายความฝันบ้า ๆ บอ ๆ ของแกอีก
ผมทิ้งมันไม่ได้ ผมทิ้งความฝันของผมไม่ได้หรอกพ่อ ผมเถียง
แต่แกต้องทิ้งมัน แกต้องมาช่วยฉันทำงาน พ่อขึ้นเสียงตอบกลับมา
พ่อ มันหมดสมัยที่พ่อจะบังคับลูกแล้วนะ
“แต่ฉันจะบังคับแก” พ่อยืนคำขาด
พรุ่งนี้แกต้องไปลาออก
ผมเกลียดพ่อ ผมเกลียดความคิดโง่ ๆ ของพ่อ
เกลียดการกระทำของพ่อ
ที่วัน ๆ มัวแต่นั่งทำงานงก ๆ พ่อไม่เคยสนใจผม
พ่อไม่เคยถามผมสักคำว่าผมต้องการอะไร เอ๊ะอะอะไรพ่อก็บังคับผม ผมเกลียดพ่อ
ฝ่ามืออันหนักอึ่งของพ่อกระทบลงบนใบหน้าแก้มข้างขวาของผมอย่างจัง
แกออกไปแกออกไปจากบ้านของฉันเดี๋ยวนี้นะ แกไม่ใช่ลูกฉัน
ดูแลตัวเองดี ๆ นะ ผมหันมาบอกน้องชายที่ยืนอยู่ห่าง ๆ
ก่อนที่ผมจะก้าวเดินออกจากบ้านหลังนั้นมา
ด้วยความเครียดแค้นที่สุมรุมอยู่ในหัว
นับจากวันนั้นมา ผมเลือกใช้ชีวิตอยู่ในห้องเช่าหลังหนึ่งตามลำพัง
ยังดีที่มีเงินเหลืออยู่ในบัญชีเกือบหมื่น ซึ่งมันก็พอจะเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ได้บ้าง
แต่ผมก็ยังเฝ้าหางานทำอยู่หลายที่
แต่มาตกอยู่กับการเป็นนักแสดงสมทบ
หรือที่ใคร ๆ เรียกกันติดปากว่า “ตัวประกอบ” เพื่อแลกกับเงินเพียงไม่กี่ร้อย
แต่ผมก็ยังไม่ละทิ้งความฝันที่อยากจะเป็นนักเขียนหรอก
ผมเฝ้าฝึกฝีมืองานเขียนจนคิดว่าดีพอถึงได้ลองส่งไปลงยังนิตยสารฉบับหนึ่ง
จนในที่สุดก็ได้รับการตีพิมพ์
ผมเริ่มมีความสุขกับการเขียนหนังสือมากขึ้น
เมื่อความฝันของผมเป็นจริง
หนังสือเล่มแรกในชีวิตของผมพิมพ์เสร็จเป็นรูปเล่มเรียบร้อยแล้ว
ผมรับหนังสือจากพี่ใหม่มา เปิดออกดูทีละหน้า ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า
ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะมีโอกาสแบบนี้จริง ๆ
นี่มันสุดยอดความฝันของผมเลยครับพี่ ขอบคุณมากครับ
เอ้า!นี่หนังสือของนัทเก้าเล่ม พี่ให้นัทเอาไว้แจกเพื่อน ๆ
ถ้าไม่พอยังไงก็เข้ามาเอาใหม่ล่ะกัน พี่ใหม่หยิบห่อกระดาษยื่นให้ผม และนี่เช็คเงินสดค่าเรื่อง
ขอบคุณมากครับ พี่ใหม่
ผมรับเช็คค่าความคิด ค่าน้ำหมึกของผมมาถือไว้ด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
แต่ที่แน่ ๆ มันเต็มเปี่ยมจนล้นไปด้วยความภาคภูมิ
มาถึงตอนนี้ผมมั่นใจได้แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความจริง ไม่ใช่ความฝัน
ผมอยากให้พ่อรู้เหลือเกินว่าในที่สุดผมก็ทำความฝันของผมได้สำเร็จ
ผมละภาพความหลังเก่า ๆ
ละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยการไปเดินเล่นที่ท่าน้ำ
สายน้ำแห่งเจ้าพระยายังคงไหลเวียนไม่ขาดสาย
ประกายแสงจากดวงอาทิตย์สะท้อนผืนน้ำระยิบระยับ
เรือลำน้อย เรือลำใหญ่แล่นว่ายอย่างเช่นเคย
ที่ตรงนี้ล่ะที่ทำให้ผมมีความสุข รู้สึกสบายอกสบายใจทุกครั้ง
และมักจะได้คำตอบหรือแนวพล็อตเรื่องอยู่เสมอ ๆ
วันนี้ผมก็หวังไว้เช่นนั้นเหมือนกัน
เสียงเรียกเครื่องเพจเจอร์ทำลายความเงียบนั้นลง
พ่อถูกรถชน พี่รีบมาด่วนนะ ผมกดข้อความจากน้องชายอ่านซ้ำไปมา
ใจหนึ่งลังเลจะไปดีหรือไม่ดี แต่ขาน่ะสิรีบก้าวออกไปก่อนโดยไม่รอคำตอบ
ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ล่ะ ผมถามน้องชายเมื่อไปถึงโรงพยาบาล
ก็พ่อน่ะสิ ทำหนังสือหล่นกลางถนน เลยหยุดเก็บ ก็เลย
น้องชายพูดเสียงสั่นเครือ
แค่หนังสือเนี๊ยนะ เอามาแลกกับชีวิต พ่อนี่บ้าหรือเปล่า
ผมยังวายหยุดว่าพ่อ
ถ้าไม่ใช่หนังสือของพี่ พ่อก็คงไม่เก็บหรอก
คำพูดของน้องชายทำเอาผมอึ้งไปพูดไม่ออก
หนังสือของผม
เพราะหนังสือของผมเหรอ
พอพ่อรู้ว่า หนังสือของพี่วางแผง พ่อก็รีบไปซื้อทันที
พ่อบอกว่า…ไม่ซื้อไม่ได้… นี่ผลงานของลูก นี่ความฝันของลูก
และพ่อยังบอกอีกว่าพ่อจะซื้อหนังสือของพี่ทุกเล่ม
มาถึงตรงนี้หยาดน้ำตาก็เริ่มไหลเอ่อรื้นอยู่เต็มขอบตา
พี่รู้ไหมพ่อคิดถึงพี่มากแค่ไหน พ่อคิดถึงพี่เสมอนะ
พ่ออยากให้พี่กลับมาอยู่ด้วย
พ่อยังบอกอีกว่า พ่อจะไม่บังคับอะไรลูก ๆ อีกแล้ว
ชีวิตเป็นลูกพ่ออยากให้ลูกเลือกเดินเอง
แต่พ่อจะคอยอยู่ข้างหลังคอยเป็นกำลังใจให้ในยามที่ลูกเหนื่อยลูกท้อ
พ่อยังบอกอีกว่าพ่อเชื่อว่าลูกสามารถทำความฝันของตนเองเป็นจริงขึ้นได้อย่างมั่นคง
คำพูดของน้องชายทำเอาน้ำตาที่เต็มไหลอาบแก้มเมื่อครู่ไหลอาบแก้มอย่างไม่รู้ตัว
ผมไม่เคยรู้สึกดีกับพ่อมาก่อนอย่างนี้
ผมไม่เคยรู้สึกรักพ่อมาก่อนเท่าครั้งนี้
ถึงเวลานี้ผมได้แต่นั่งรอเวลาที่ผมจะโผเข้าสวมกอดร่างของพ่ออีกครั้ง
จะนานแค่ไหนไม่รู้
จะนานกี่ชั่วโมงไม่รู้
กว่าที่ประตูห้องฉุกเฉินนั่นจะเปิดออก
แล้วผมจะกลับเข้าบ้านหลังนั้นอีกครั้ง กลับเข้าไปสู่อ้อมแขนของพ่ออีกครั้ง
และครั้งนี้มันคงทำให้ผมเขียนเรื่องสั้นได้ทันส่งต้นฉบับวันพรุ่งนี้แน่นอน
ผมตั้งชื่อเรื่องรอไว้ก่อนแล้วว่า ‘นิทานของพ่อ’
พ่อคนเดียวที่สอนให้ผมรู้จักตัวเอง ให้ผมเข้มแข็ง
ให้ยืนหยัดได้ด้วยความฝัน สองแขนสองขาของตัวเอง
ผมอยากบอกว่า ผมรัก รักมาก อย่างที่ไม่เคยรักมาก่อน
และผมก็รักพ่อไม่น้อยกว่าที่รักแม่หรอก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น