++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ปรทัตตูปชีวีเปรต เขียนโดย สืบ ธรรมไทย









ย้อนหลังลงไปเป็นระยะเวลาประมาณ ๙๒ กัปนับจากสมัยปัจจุบัน สมัยนั้นสมเด็จพระบรมศาสดาที่ทรงประกาศเผยแผ่หลักพระธรรมคำสอน ในบวรพระพุทธศาสนาของเราทรงพระนามว่า สมเด็จพระปุสสะบรมโลกนาถ ขณะที่พระองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพนั้น พุทธศาสนาถือได้ว่ามีความเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์ ขุนนาง ตลอดจนไพร่ฟ้าประชาชนทุกหมู่เหล่า ต่างก็พากันตั้งตนอยู่ในศีลในธรรมกันเสียเป็นส่วนใหญ่

แลครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้าพิมพิสารแห่งกรุงราชคฤห์ที่เราท่านต่างรู้จักกันดี พระองค์ได้ทรงถือกำเนิดเกิดมาเป็นขุนคลัง ข้าราชบริพารภายใต้พระบารมีของพระราชกุมารสามพระองค์แห่งกษัตริย์สมัยนั้น

ขุนคลังผู้นี้ได้รับมอบหมายหน้าที่จากพระราชกุมารทั้งสาม ให้เป็นผู้ดูแลเรื่องการจัดเลี้ยงถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ที่ทรงนิมนต์ให้มาฉันอยู่ที่วังเป็นประจำ ทุกวันมิได้ขาด เนื่องจากจำนวนของภิกษุในแต่ละวันนั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นด้วยกำลังเพียงลำพังเขาเกรงว่าจักไม่สามารถดูแลได้ทั่วถึง ไหนจักต้องคอยกำกับเรื่องของแห้งของสดที่ใช้ในการประกอบอาหาร ไหนจักต้องคอยต้อนรับขับสู้บรรดาพระคุณเจ้าให้ได้รับความสะดวกสบาย เขาจึงรู้สึกว่ามันค่อนข้างที่จักกินแรงพอสมควร

ฉะนั้นเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระตน จึงไปเกณฑ์บรรดาญาติๆให้มาช่วยคุมงานที่โรงครัว คอยทำหน้าที่กำกับดูแลม่ครัวแทนตน ส่วนตัวเขาจักได้คอยต้อนรับพระคุณเจ้าทั้งหลายแต่เพียงหน้าที่เดียว

แรกๆญาติเหล่านี้ก็ทำงานกันอย่างขยันขันแข็งดี แต่พอนานเข้าก็ชักจักเริ่มประมาท มีการแอบบริโภคอาหารก่อนพระภิกษุสงฆ์บ้าง มีการแอบเอาของแห้งของสดที่ใช้ประกอบอาหารไปขายแลกเงินบ้าง หรือหากไม่ขายก็นำไปทำเป็นอาหารกินกันเองที่บ้านบ้าง

พวกเขาเฝ้ากระทำกรรมอันเป็นบาปอยู่อย่างนี้เรื่อยมาจนติดเป็นนิสัย ครั้นพอชีพวายตายไป บาปกรรมที่ทำไว้จึงเข้ารวมตัวกัน ก่อเกิดเป็นชนกกรรมฉุดนำพวกเขาให้ต้องไปเกิดยังนรกภูมิ เสวยทุกข์โทษทัณฑ์อยู่ที่นั่นสิ้นกาลช้านาน ครั้นพอพ้นผ่านจากนรกมาแล้ว ก็ยังไม่แคล้วต้องมาเกิดเป็นเปรต ทนทุกขเวทนาอย่างแรงกล้าแสนสาหัส ต่อไปอีกหลายชาติหลายภพ

จนสุดท้ายได้มาเกิดเป็นปรทัตตูปชีวีเปรตซึ่งถือว่าเป็นเปรตชั้นดีหน่อย สามารถที่จักรับส่วนบุญส่วนกุศลจากญาติมิตรได้แล้ว แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความอดอยากหิวโหยอยู่เหมือนเดิม เนื่องจากไม่มีญาติสนิทมิตรสหายคนใดอุทิศ แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลมาให้กับพวกเขาเลย

จักหวังพึ่งขุนคลังกับพระราชกุมารทั้งสามนั้นหรือก็พากันไปเกิดเป็นเทพยดาอยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นฟ้ากันเสียหมด หาได้มีผู้ใดจักมีโอกาสเข้ามาสัมผัสสัมพันธ์กับพวกเปรตพวกผีที่เกิดอยู่ในภพภูมิชั้นต่ำเยี่ยงพวกเขาไม่ ดังนั้นถึงแม้จักได้มาเกิดเป็นเปรตที่สามารถรับส่วนบุญส่วนกุศลได้แล้วก็จริง แต่ทว่าพวกเขาก็ยังมิอาจที่จักล่วงพ้นไปจากความทุกข์ทรมานได้

พวกเขาต้องซัดเซพเนจรเที่ยวเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ เพื่อหวังจักพบ จักเจอะ จักเจอกับญาติสนิทมิตรสหายหรือคนที่เคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อนในสมัยที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ ซึ่งหากบุคคลเหล่านี้ทำบุญแล้วเกิดระลึกนึกถึงพวกเขาขึ้นมา ก็คงจักแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลมาให้ กับพวกเขาบ้างไม่มากก็น้อย ครานั้นพวกเขาก็คงจักมีโอกาสได้บริโภคดื่มกินน้ำท่าข้าวปลาอาหารบ้าง พอให้บรรเทาเบาบางความทุกข์ที่มีอยู่อย่างมากล้นพ้นประมาณนี้ลงไปถึงไม่มากแม้แค่เพียงเศษเสี้ยวก็ยังดี

แต่อนิจจา ! พวกเขาจักคิดกันบ้างหรือเปล่าหนอ ? อย่าว่าแต่คนที่เคยรู้จักเมื่อชาติที่แล้วเลย แม้แต่คนที่เรารู้จักในชาตินี้ขณะยังมีชีวิตอยู่แท้ๆ เช่นเจอกันตามงานเลี้ยงสังสรรค์หรือตามสถานที่ต่างๆ ยังมีบ่อยครั้งไปเวลาไปพบกันข้างนอกแล้วเราจำเขาไม่ได้ หรือเขาจำเราไม่ได้ เนื่องจากต่างเวลาต่างสถานที่กัน แล้วนับประสาอะไรกับเรื่องที่ผ่านมา แล้วเป็นชาติเป็นภพอย่างนี้จะมาคิดเอาว่าเขาต้องจำเราได้นั้น มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ! หรือหากเป็นได้มันก็มีโอกาสที่น้อยมากจริงๆ

แต่ก็นั่นแหละกับพวกเปรตพวกผีเหล่านี้ที่ทุกๆเวลานาทีมีแต่ความทุกข์ทรมาน แม้จักรู้ว่าเป็นแค่เพียงความหวังลมๆแล้งๆซึ่งอาจจะเป็นไปมิได้เลย แต่มิว่าอย่างไรพวกเขาก็จะไม่ยอมปล่อยให้โอกาสที่มีอยู่เพียงน้อยนิดนี้หลุดลอยไปเป็นอันขาด เพราะมันคือความ หวังเดียวของพวกเขา

ดังนั้นพวกเขาจึงสู้ทนตะเกียกตะกาย พากันเที่ยวตระเวนค้นหาบรรดาญาติสนิทมิตรสหายที่ตนเคยรู้จักไปในตามที่ต่างๆ ด้วยใจหวังว่าสักวันคงจักต้องพบเข้าบ้าง กระทั่งกาลเวลาได้ล่วงเลยผ่านพ้นศาสนาขององค์สมเด็จพระปุสสบรมโลกนาถล่วงเข้าสู่ยุคของ สมเด็จพระกกุสันโธพุทธเจ้า( พระพุทธเจ้าพระองค์แรกในยุคภัทรกัป )

ปรากฏว่าระยะเวลาอันยาวนานถึงหนึ่งพุทธันดรที่ผ่านมา บรรดาเปรตเหล่านี้ก็ยังไม่มีเปรตตนใดได้รับส่วนบุญส่วนกุศลจากญาติแผ่อุทิศมาให้เลยแม้แต่เพียงสักตนเดียว เนื่องจากไม่มีญาติสนิทมิตรสหายคนใดระลึกนึกถึงพวกเขาเลย พวกเขายังต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความอดอยากหิวโหยอยู่เหมือนเดิม

ในยุคขององค์สมเด็จพระ กกุสันโธพุทธเจ้านี้พุทธศาสนาหลังจากที่เสื่อมสลายไป บัดนี้ก็ได้กลับฟื้นขึ้นมามีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นใหม่อีกครั้ง บรรดาผู้คนที่เกิดอยู่ในยุคนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ที่มีจิตใจฝักใฝ่อยู่แต่ในบุญในกุศล

ทุกๆยามเช้าพอพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าได้ไม่เท่าไหร่ จะเห็นชาวบ้านชาวเมืองต่างพากันจูงลูกจูงหลานออกมารอตักบาตรถวายทานกันให้คึกคักไปหมด มีตั้งแต่ชรายันไปจนถึงทารก แต่ละคนล้วนมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส จักหาผู้ใดที่มีสีหน้าทุกข์ใจแม้แต่เพียงสักผู้สักคนก็มิได้ ช่างเป็นภาพที่งามจับจิตจับใจสำหรับผู้ที่ได้พบเห็นเสียยิ่งนัก

หลังจากตักบาตรถวายทานแล้วใครคนไหนที่มีญาติล่วงลับไป เช่น พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย พี่ป้าน้าอา หรือแม้แต่กระทั่งเพื่อนสนิทคนใดก็ตาม พวกเขาก็จักพากันกรวดน้ำแผ่อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ทำนั้น ไปให้กับบรรดาญาติๆหรือผู้ที่ล่วงลับเหล่านี้กันให้พร้อมเพรียงไปทั่ว ฝ่ายผู้ที่ตายเมื่อเห็นญาติของตนแผ่อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลมาให้ ต่างก็พากันดีอกดีใจ ยกมือพนมขึ้นเหนือหัวร่วมอนุโมทนาในบุญในกุศลนั้นกันให้สลอนไปหมด

บัดนั้นเองพื้นที่รอบๆอาณาบริเวณแทบนั้นก็ให้ปรากฏเป็นภาพที่อัศจรรย์ขึ้นมา บรรดาผู้ที่ล่วงลับจากที่เคยเห็นเป็นเปรตเป็นผีผอมแห้งอดโซ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ผิวเนื้อกระดำกระด่าง มีความเป็นอยู่อดอยากแร้นแค้น พอเขาเหล่านั้นยกมืออนุโมทนาในบุญที่ญาติอุทิศมาให้เท่านั้น

ฉับพลันต่างก็สลายหายวับไปต่อหน้าต่อตา พากันไปเกิดในภพใหม่ภูมิใหม่กันให้พรึบพรั่บไปหมด บ้างก็ไปเกิดเป็นเทวดา บ้างก็ไปเกิดเป็นมนุษย์ ตนไหนที่บุญน้อยหน่อยก็ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ทั้งนี้ทั้งนั้นตามแต่บุญแต่กรรมจะนำ ไป จะเหลือ อยู่ก็แต่บรรดาเปรตที่เป็นญาติของขุนคลังเท่านั้น ที่ยังคงสภาพของความเป็นเปรตอยู่อย่างเหนียวแน่น เนื่องจากไม่มีญาติคนไหนทำบุญแผ่อุทิศมาให้

พวกเขาเมื่อเห็นเปรตตนอื่นๆพอได้รับส่วนบุญจากญาติ ต่างก็พากันไปเกิดใหม่กันให้คึกคักเช่นนั้น ก็ให้รู้สึกน้อยใจในโชควาสนาของตนเสียเหลือเกิน จึงต่างชักชวนพวกพ้องน้องพี่พากันไปเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระกกุสันโธพุทธเจ้ า เพื่อที่จักทูลถามว่าเมื่อใดหนอพวกตนจึงจักพ้นไปจากสภาพของเปรตนี้ได้ ?

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้นเมื่อทรงสดับคำถามของพวกเขา พระองค์จึงทรงมีพระพุทธฏีกาตรัสแก่พวกเขาว่า

“ ดูก่อนเปรต ! แม้ในศาสนาเรานี้พวกท่านก็ยังมิอาจที่จักพ้นไปจากสภาพของเปรตนี้ได้ดอก ต่อเมื่อตถาคตนิพพานไปแล้วเป็นเวลานานจนแผ่นดินสูงขึ้น ๑ โยชน์ สมัยนั้นจักมีพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งนามว่าโกนาคมโนลงมาตรัสรู้ที่ในโลกนี้ ขอพวกท่านจงคอยพากันไปถามเอากับพระองค์เถิด ”

เปรตทั้งหลายพอได้ฟังพระพุทธฎีกาตรัสดังนั้น ต่างก็ให้รู้สึก ท้อแท้สิ้นหวังกันไปตามๆกัน ค่อยๆทยอยทูลลาองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคออกมากันอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง จากนั้นก็โซซัดโซเซพเนจรกันต่อไปตามยถากรรม

กาลเวลายังคงหมุนเวียนไม่เคยหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งล้วนแปรเปลี่ยนไปตามกฎของไตรลักษณ์ จักหาอะไรที่เที่ยงแท้แน่นอนมิได้ ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งศาสนาขององค์สมเด็จพระกกุสันโธพุทธเจ้า ในที่สุดศาสนาของพระ องค์จากที่เคยเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ก็ได้เสื่อมคลายหายไปจากโลกตามกาลเวลา กระทั่งผ่านเข้าสู่ยุคของศาสดาพระองค์ใหม่พระนามว่า สมเด็จพระโกนาคมโน พุทธเจ้า

ตลอดเวลาสองพุทธันดรที่ผ่านมานั้น บรรดาเปรตญาติของขุนคลังพวกเขามิเคยที่จักว่างเว้นไปจากความทุกข์ทรมานอันเนื่องมาจากความหิวเลย ครั้นบัดนี้ทราบว่าได้มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใหม่อุบัติขึ้นแล้ว พวกเขาจึงให้รู้สึกตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างยิ่ง รีบชักชวนพวกพ้องน้องพี่พากันไปเข้าเฝ้าพระองค์กันทันทีทันใด เพื่อจักถามว่าตนนั้นจักพ้นไปจากสภาพของเปรตนี้ไปได้เมื่อไหร่เหมือนเดิม

องค์สมเด็จพระชินสีห์ครั้นได้ทรงสดับถ้อยพาทีของเปรตแล้ว พระองค์จึงทรงมีพระเมตตาตรัสกับพวกเขาว่า

“ ดูก่อนเปรต ! แม้ในศาสนาเรานี้พวกท่านก็ยังมิอาจจักพ้นไปจากสภาพของเปรตได้ดอก ต่อเมื่อตถาคตนิพพานไปแล้วจนแผ่นดินสูง ขึ้นอีก ๑ โยชน์ เพลานั้นจักมีศาสดาพระองค์ใหม่นามว่าสมเด็จพระกัสสปะ(กัสสโป)พุทธเจ้าลงมาตรัสรู้ยังโลกมนุษย์นี้ ขอพวกท่านจงคอยถามเอากับพระองค์เถิด ”

บรรดาเปรตพอได้ฟังพระพุทธฎีกาตรัสดังนั้น ต่างก็ให้โศกาอาดูรกันไปตามๆกัน
บางตนก็ถึงกับแข้งขาอ่อนจนลุกไม่ขึ้น ล้มลงนอนเกลือกกลิ้งอ้าปากพะงาบๆหายใจ เห็นแล้วไม่ต่างอะไรกับปลาที่ถูกจับขึ้นมาอยู่บนบก บางตนก็ตีอกชกตัว จิกทึ้งหนังหัวเพื่อระบายความคับแค้นใจ ที่ไม่อาจจักแก้ไขอันใดได้

แต่มิว่าอย่างไรสุดท้ายต่างก็ค่อยๆทยอยกันทูลลาองค์สมเด็จพระบรมศาสดา เพื่อออกเสาะแสวงหาอาหารกันต่อไป ถึงแม้จักรู้ว่าแทบเป็นไปมิได้เลย แต่ทว่าพวกเขาก็มิทราบจักทำอะไรได้ดีไปกว่านี้

จวบจนกระทั่งสิ้นศาสนาขององค์สมเด็จพระโกนาคมโนพุทธเจ้า เข้าสู่ยุคของ สมเด็จพระกัสสปะ พุทธเจ้า บรรดาเปรตญาติขุนคลังผู้ซึ่งทนทุกข์ทรมานเพราะความอดอยากหิวโหยมาเป็นเวลาถึงสามพุทธันดรแล้ว ครั้นทราบข่าวบัดนี้ได้มีพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งเกิดขึ้นแล้วยังโลกมนุษย์ พวกเขาต่างก็พากันกลับฟื้นขึ้นมามีชีวิตชีวาใหม่อีกครั้งอย่างน่าอัศจรรย์ รีบชักชวนพวกพ้องน้องไปเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคกันในทันใด เพื่อที่จักสอบถามเรื่องเดิมต่อพระองค์

สมเด็จพระพุทธองค์ผู้ทรงเปี่ยมไปด้วยพระเมตตา ครั้นได้ทรงสดับถ้อยวาจาของเปรตพระองค์จึงทรงประทานพระราชดำรัส ตรัสกับพวกเขาว่า

“ ดูก่อนเปรต ! แม้ในศาสนาของเราพวกท่านก็ยังมิอาจที่จักพ้นไปจากสภาพของเปรตนี้ได้ดอก ต่อเมื่อใดตถาคตนิพพานไปแล้วจนแผ่นดินสูง ขึ้นอีก ๑ โยชน์ สมัยนั้นจักมีพระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่งนามว่าพระศรีศากยมุนีโคดม ลงมาตรัสรู้ยังโลกมนุษย์ แลสมัยนั้นจักมีขัตติยาธิบดีผู้หนึ่งซึ่งเป็นพระญาติของพวกท่าน นามว่าสมเด็จพระเจ้าพิมพิสาร ท้าวเธอจักทรงถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสมณโคดม หลังจากทรงถวายทานแล้วก็จักทรงอุทิศแผ่ส่วนพระราชกุศลนั้นมาให้กับพวกท่าน ครั้งนั้นแลพวกท่านถึงจักได้บริโภคข้าวปลาอาหาร แลจักได้พ้นไปจากสภาพอันทุกข์ทรมานแห่งเปรตวิสัยนี้ได้ ”

บรรดาเปรตครั้นพอได้ฟังพระพุทธฎีกาที่ทรงประทานแก่พวกตนดังนี้ ต่างก็พากันตื่นเต้นดีอกดีใจกันยกใหญ่ ราวกับว่าพวกตนจักพ้นไปจากสภาพของเปรตกันในวันนี้พรุ่งนี้ก็มิปาน ทว่าจริงๆแล้วยังหรอก ยังต้องรอกันอีกถึงหนึ่งพุทธันดรโน่น ! ถึงจึงจักพ้นไปจากสภาพของเปรตนี้ได้

แต่ก็นั่นแหละ ! กับผู้ที่ตกอยู่ในห้วงความทุกข์ทรมาน ไร้สิ้นหนทางใดๆ มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดมน ครั้นจู่ๆพอทราบว่าตนสามารถกลับมามีความหวังขึ้นใหม่ แม้จะให้รออีกนานแค่ไหนพวกเขาก็พร้อมที่จะรอได้ เพราะรู้ว่ายังไงเสียสุดท้ายก็ต้องได้สมดังความมุ่งมาดปรารถนา

จนสิ้นสุดศาสนาขององค์สมเด็จพระกัสสปะพุทธเจ้า ล่วงเข้าสู่ยุคของ สมเด็จพระศรีศากยมุนีโคดม บรม ครูของเราท่านทั้งหลายนี่เอง หลังจากที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้
อฤมตธรรมในคืนเพ็ญวันวิสาขแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงเมตตาอบรมสั่งสอนบรรดาสรรพสัตว์ให้พากันเพียรลด ละกิเลส เว้นจากเหตุแห่งการก่อบาปสร้างกรรม ทรงแนะนำให้กระทำแต่ความดี และทำใจให้มีความบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่เสมอ

พระองค์ทรงสั่งสอนโลกด้วยพระทัยที่เปี่ยมล้นไปด้วยพระเมตตาอันเสมอภาค มิได้มีการเลือกชั้นวรรณะ ไม่ว่าจักเป็นอินทร์พรหมยมยักษ์ ตลอดจนถึงกษัตริย์ไพร่ยาจก
ก็ทรงให้ความสำคัญเท่าเทียมกันหมด แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็มิได้มีข้อยกเว้น ดังนั้นทั้งสามแดนโลกธาตุตั้งแต่อรูปพรหมลงไปจนถึงสัตว์นรก จึงต่างพากันให้ความเคารพเทิดทูนพระองค์ดุจดังกับพ่อแม่ครูอาจารย์ ด้วยกันทั้ง หมดทั้งสิ้น

แหละขุนคลังในสมัยนั้น หลังจากที่ไปเกิดเป็นเทพยดาอยู่บนสรวงสวรรค์เสียนานแสนนาน ครั้นพอมาถึงยุคนี้เขาก็จุติจากเทพลงมาเกิดเป็นกษัตริย์ในแค้วนมคธ ทรงพระนามว่า พระเจ้าพิมพิสาร

พระเจ้า พิมพิสารนี้เมื่อครั้งสมัยพุทธกาลพระองค์ทรงถือได้ว่าทรงเป็นผู้ที่มีบทบาทอันสำคัญต่อพุทธศาสนาของเราเป็นอย่างยิ่ง วัดเวฬุวัน ที่เราทั้งหลายต่างก็รู้จักกันดี และถือว่าเป็นวัดแห่งแรกของศาสนาพุทธเรา ก็เป็นวัดที่พระองค์ทรงสร้างถวายแด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคนั่นเอง

นอกจากจักทรงเป็นผู้ที่มีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงกับพุทธศาสนาแล้ว หากจักพูดกันถึงในด้านของภูมิธรรม พระองค์ก็ทรงถือว่ามิได้น้อยหน้าผู้ใดในสมัยนั้นอีกเช่นกัน เพราะทรงเป็นถึงพระอริย บุคคลชั้นต้นขั้นพระโสดาบันแล้วเช่นกัน ทรงเป็นผู้ที่ปิดประตูแห่งอบายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีแต่เทวภูมิกับมนุษยภูมิเท่านั้นที่จักทรงเวียนว่ายตายเกิด แหละช้าสุดก็ไม่เกิน ๗ ชาติเท่านั้น

เรื่องราวต่างๆของพระองค์หากจะนำมากล่าวกันให้หมดจริงๆแล้ว เห็นทีคงจะต้องใช้เวลากันเป็นวันๆเลยกว่าจะเล่าจบ ดังนั้นจักขอรวบรัดตัดความว่า หลังจากที่พระองค์ได้ทรงประกาศตนเป็นพุทธมามกะยังเบื้องพระพักตร์แห่งองค์สมเด็จพระบรมครูแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงถวายภัตตาหารอันมีอาหารหวานคาวนานาชนิดเป็นการใหญ่ แด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาค

แต่เนื่องจากขณะนั้นพระหทัยของพระองค์ทรงเปี่ยมไปด้วย อจลศรัทธา (ศรัทธาที่หนักแน่นมั่นคง ไม่สั่นไหวคลอนแคลน ไม่มีความสงสัยในพระรัตนตรัยแม้แต่น้อย )ทรงมีแต่ความปีติอิ่มเอิบอยู่เต็มดวงพระหทัยตลอดเวลา

ไม่ว่าจักเป็นก่อนหรือหลังการถวายทาน หรือในขณะที่กำลังถวายทาน พระองค์ก็ทรงคิดถึงแต่อานิสงส์แห่งผลทานที่ได้ทรงกระทำไป มิได้ทรงมีจิตมีใจจักไประลึกนึกถึงเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น ยิ่งกว่านั้นยังทรงคิดไปไกลถึงว่า หากได้ทรงถวายเสนาสนะคันธกุฎีแด่องค์พระผู้มีพระภาคอีก เห็นทีการนี้อานิสงส์ผลบุญที่ได้ คงจักต้องมากมายกว่าทานครั้งนี้เสียเป็นแน่

ดังนั้นพระหทัยของพระองค์ เลยทรงเพลิดเพลินดื่มด่ำอยู่กับการคิดถึงแต่เรื่องของอานิสงส์ผลบุญอยู่ตลอดเวลา กระทั่งทรงลืมที่จักแผ่อุทิศส่วนพระราชกุศลเหล่านี้ไปให้กับบรรดาเปรตพระญาติผู้ซึ่งกำลังกระวนกระวาย นั่งยืนอยู่ไม่เป็นสุข คอยแต่ชะแง้แลหา ว่าเมื่อใดหนาจึงจักทรงระลึกนึกถึงพวกเขาเสียที ทำการแผ่อุทิศบุญเหล่า นี้มาให้กับพวกเขาบ้าง

เพราะว่าตั้งแต่ทราบข่าวว่าสมเด็จพระบรมศาสดาจักเสด็จมายังแคว้นมคธ พวกเขาก็ได้ชักชวนพวกพ้องน้องพี่ พากันมาตั้งท่าคอยเพื่อจะร่วมอนุโมทนาในส่วนพระราชกุศลครั้งนี้กันตั้งเนิ่นตั้งนานแล้ว พอเห็นพระองค์ทรงถวายทานเสร็จก็คอยจับจ้องมองดูว่า เมื่อใดหนอจึงจักทรงแผ่อุทิศส่วนกุศลผลบุญนี้มาให้กับเขาเสียที เฝ้าแต่ชะแง้แลมอง ผุดยองผุดลุก ร้อนรุ่มอยู่มิเป็นสุขมาตั้งแต่ก่อนอรุณจักรุ่ง มาจนบัดนี้ดวงดาราต่างพากันเริ่มทอแสง พระอาทิตย์ฤาก็อ่อนแรงลาลับขอบฟ้าไปก็เนิ่นก็นานแล้ว แต่ก็ยังมิมีวี่แววว่าพระองค์จักทรงระลึกนึกถึงพวกเขาเลย

พระพุทธฎีกาแห่งองค์พระกัสสปะพุทธเจ้าที่ว่าพวกเขาจักได้บริโภคข้าวปลาอาหาร แลจักได้พ้นจากสภาพอันทุกข์ทรมานแห่งเปรตวิสัยนี้ ก็ในสมัยของสมเด็จพระสมณโคดมนั้น ยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาทของพวกเขาตลอดเวลา แม้กาลจักผ่านมานานถึงสามสี่พุทธันดรก็ตามเถอะ แต่พวกเขาก็ยังคงจำติดหูมิรู้ลืม ไฉนเมื่อทรงถวายทานเสร็จกลับทรงลืมพวก เขาไปเสียได้เล่า ?

ดังนั้นในกลางดึกของคืนวันนั้นเอง บรรดาเปรตผู้ซึ่งทนทุกข์ทรมานเพราะความอดอยากหิวโหยมาเป็นเวลาเนิ่นนานหนักหนาแล้ว ก็ถึงกาลสุดที่จักทนทานต่อไปได้อีก พวกเขาต่างพากันแผดเสียงกรีดร้องโหยหวน กันให้ระเบงเซ็งแซ่ จนดังลั่นไปทั่วทั้งอาณาบริเวณของพระบรมมหาราชวัง

ยังผลให้องค์ราชาผู้ซึ่งกำลังบรรทมหลับใหลอยู่อย่างเป็นสุขถึงกับทรงสะดุ้งตกพระทัย ทรงตื่นจากนิทราหลับใหลทันที พระองค์ทรงเกิดพระอาการปริวิตกไปต่างๆนานาจนมิอาจที่จักทรงข่มพระเนตรให้หลับต่อไปได้อีก จวบจนปัจจุสมัยจึงรีบเสด็จไปเข้าเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคทันที เพื่อที่จักทูลถามถึงเสียงประหลาดที่ทรงได้ยินเมื่อราตรีที่ผ่านมา

สมเด็จพระชินสีห์ครั้นได้ทรงสดับเรื่อง ราวแล้วจึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสแก่จอมราชาว่า

“ ดูก่อนมหาบพิต ! ขอพระองค์อย่า ได้ทรงวิตกกังวลในเสียงดังกล่าวเลย ความชั่วร้ายอัปมงคลใดๆจักได้มีขึ้นแก่พระองค์แม้แต่เพียงน้อยนิดก็หาไม่ เสียงที่ทรงได้ยินนั้นแท้จริงแล้วก็คือเสียงของเหล่าเปรตที่เป็นพระญาติของพระองค์ในครั้งอดีตชาติ เป็นผู้ส่งเสียงร้องขึ้นมานั่นเอง !

ด้วยว่าพวกเขาต้องการจักเตือนให้พระองค์ได้ทรงทราบว่า พวกเขาได้รับความทุกข์ทรมานจากความหิวโหยมาเป็นเวลาเนิ่นนานหนักหนาแล้ว แหละหวังจักได้รับส่วนบุญส่วนกุศลจากพระองค์มาตั้งแต่เมื่อเช้าวาน แต่พอพระองค์ทรงถวายทานเสร็จกลับทรงลืมกรวดน้ำอุทิศแผ่ส่วนพระราชกุศลนั้นไปให้กับพวกเขา พวกเขาเลยผิดหวังเศร้าใจกันยกใหญ่

ดังนั้นในราตรีที่ผ่านมาจึงพากันมาส่งเสียงร้องเพื่อจักเตือนให้พระองค์ได้ทรงทราบว่า อย่าได้ทรงลืมกรวดน้ำแผ่อุทิศส่วนกุศลผลบุญ มาให้กับพวกเขาด้วย ขอถวายพระพร ”

สมเด็จพระราชาธิบดีเมื่อได้ทรงสดับถึงสาเหตุแล้ว พระองค์จึงทรงกราบบังคมทูลขอถวายน้ำทักขิโณทกยังเบื้องพระพักตร์แห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคในทันใด แหละได้ทรงกล่าวคำอุทิศส่วนพระราชกุศลว่า “ อทํ โน ญาตีนํ โหตุ ” (ขอผลทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าด้วยเถิด )

ทันทีที่ทรงกล่าวคำอุทิศจบลง สระโบกขรณีอันดารดาษไปด้วยปทุมชาติหลากสีสันก็พลันอุบัติขึ้นแก่บรรดาเปรตเหล่านี้อย่างทันทีทันใด พวกเขาต่างดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง รีบพากันลงไปทำการอาบ ดื่ม กิน น้ำในสระกันอย่างสนุกสนานเป็นการใหญ่

บัดนั้นเองสรีระร่างกายจากที่เคยเห็นแล้วชวนให้เกิดอาการสะอิดสะเอียน เจียนจะสำรากออกมาเสียให้ได้นั้น ก็พลันมลายหายวับลงไปกับตา กลับกลายเป็นสุกใสเรืองรองราวกับทองทาปรากฏขึ้นมาแทนที่ทันใด ความหิวความโหยตลอดจนถึงความทุกข์ทรมานต่างๆที่เคยมีอยู่มากล้นพ้นประมาณ ฉับพลันก็ถึงซึ่งกาลระงับดับคลาย เหือดหายลงไปจนหมดจนสิ้นเช่นกัน

หลังจากที่จอมราชาได้ทรงกรวดน้ำ อุทิศแผ่ส่วนพระราชกุศลของเมื่อวันวานไปให้กับพวกเขาแล้ว จากนั้นพระองค์ก็ทรงถวายภัตตาหารของเช้าวันใหม่อันมีข้าวสวย ข้าวยาคู แลบรรดาสรรพอาหารนานาชนิดแด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคอีกครั้ง แหละครั้งนี้เมื่อทรงถวายเสร็จ ก็ทรงรีบอุทิศแผ่ส่วนกุศลผลบุญไปให้กับพวกเขาทันที

ทันใดนั้นเอง โภชนาทิพย์ทั้งหลายอันประกอบไปด้วยอาหารหวานคาวนานาชนิด ก็พลันบังเกิดขึ้นยังเบื้องหน้าพวกเขาอย่างทันทีทันใดเช่นกัน จากนั้นท้าวเธอก็ทรงถวายผ้าไตรจีวร เสนาสนะ คันธกุฎี แด่องค์สมเด็จพระชินสีห์อีก พอถวายเสร็จก็ทรงรีบอุทิศแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลนั้นไปให้กับพวกเขาอีกเช่นกัน

บัดนั้นเองผ้าทิพย์แลวิมานทิพย์ทั้งหลายก็พลันปรากฏขึ้นแก่พวกเขา อย่างทันทีทันใดไม่แพ้กัน เนื่องจากทันทีที่องค์ราชาธิบดีทรงแผ่อุทิศส่วนพระราชกุศลไปให้ บรรดาเปรตเหล่านี้ต่างก็พากันยกมือพนมขึ้นเหนือหัว ร่วมอนุโมทนาในส่วนบุญที่พระองค์ทรงแผ่ให้ในทันทีทันใดเช่นกัน

ดังนั้นบุญที่ได้จากการอนุโมทนาของพวกเขาจึงเกิดเป็นปัตตานุโมทนามัยกุศล (บุญที่เกิด ขึ้นจากการอนุโมทนา เมื่อรู้หรือเห็นผู้อื่นทำความดี หรืออีกนัยหนึ่ง บุญที่ได้มาจากผู้อื่นแผ่อุทิศมาให้ ) ยังผลให้พวกเขาได้พ้นไปจากสภาพอันทุกข์ทรมานของเปรตวิสัยนี้ไปได้ในที่สุด ต่างก็พากันไปเกิดเป็นเทพบุตรเทพธิดาอยู่บนสรวงสวรรค์ชั้นฟ้ากันโดยถ้วนหน้า แหละได้เสวยสุขจากความเป็นทิพย์กันต่อไป อีกตราบนานเท่านาน .

สืบ ธรรมไทย
ที่มา : พุทธชาดก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น