++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

บางส่วนจาก รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์

บางส่วนจาก รู้คนขังสุข รู้คุกขังสัตว์

รู้ คือ รู้อะไร - รู้อย่างไร* รู้แค่ไหน? รู้แล้วจะเป็นไฉน
คน คือ อะไร? ทำไมสำคัญนัก?
ขัง คือ อะไร? ที่ไหน?
สุข คือ อะไร? เป็นอย่างไร?
คุก คือ อะไร? เป็นอย่างไร?
สัตว์ คือ อะไร? อยู่ที่ไหน?

รู้คน รู้สุข รู้คุก รู้สัตว์ รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริง

เรามาทำความเข้าใจกับคำว่า "รู้" หรือ "ความรู้" คำนี้ กันเสียก่อน  ให้ชัดเจน แจ่มแจ้ง ให้ครบความหมาย ครบสิ่งที่กำหนด หรือ ตามนิยาม หรือ ตามที่จะจำกัดความไว้

ไม่เช่นนั้น ก็จะพูดกันไม่รู้เรื่อง มันจะคนละกำหนด คนละจุดหมาย หรือกว้างไป นอกขอบเขตที่หมายไป

"ความรู้" ขั้นปริญญาเอก ก็ยัง "พ้นอวิชชา" ไม่ได้

คำว่า "รู้" ในที่นี้ เป็น "ความรู้" ที่จำเพาะเจาะจงลงไป ว่า "รู้อะไร?-รู้อย่างไร?- รู้แค่ไหน? รู้แล้วจะเป็นไฉน?"
ซึ่งหมายเอา "ความรู้" ตามแบบฉบับพระพุทธเจ้าที่พระองค์ตรัสรู้ ซึ่งเป็น ความรู้ชนิดพิเศษ อันมีสูตรสำเร็จ สุดวิเศษ ท่านเรียกว่า "วิชชา" ที่ตรงข้ามกับ "อวิชชา"

มนุษย์ทั้งหลาย ตกอยู่ในวังวนของ "ปฏิจจาสมุปบาท" ที่ถูกกำหนดด้วย "อวิชชา" เป็นประธานหลัก

เพียงแต่ว่า "อวิชชา" ของใครจะแย่มากแย่น้อย จะร้ายมากร้ายน้อย แรงมากแรงน้อย ไปในทางไหน เท่าใด

ที่จริง "อวิชชา" นี้ มีความหมายที่สุดยอดมากสำหรับความเป็นคน ที่เมื่อเปลี่ยน "อวิชชา" ให้เป็น "วิชชา" ใส่ตนได้แล้ว ก็จะ "รู้" พิเศษอย่างมหัศจรรย์ทีเดียว

"รู้" มหัศจรรย์ที่ว่านี้ ก็ไม่ได้หมายความว่า สามารถ "รู้" อะไรพิลึกๆ แปลกประหลาดน่าทึ่ง เหมือนคนเล่นกล เหมือนคนมีญาณพิเศษทายของหาย  พยากรณ์ล่วงหน้าแม่น รู้ว่าคนนั้นจะเสียของรัก คนนี้จะถูกหวยรวยเบอร์ คนนั้นเคราะห์ร้าย หรือหยั่งรู้ อะไรต่ออะไรได้วิเศษเกินคนปกติ

แม้จะ "รู้" เพราะได้เรียน "ความรู้" รอบตัวมากมายตามโลก หรือจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัย ๑๐ ใบ ก็ตาม ก็ยังไม่ชื่อว่า "พ้นอวิชชา" หรือมี "วิชชา" อยู่ดี

ซึ่งการรู้อย่างนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นเดรัจฉานวิชา โลกียวิชาทั้งสิ้น ไม่ใช่ "วิชชา" หรือยังไม่ใช่ "พ้นอวิชชา"

พระพุทธเจ้าระบุชัดว่า "อวิชชา" นั้น "ไม่รู้" อะไร

"อวิชชา" คือ มัน "ไม่รู้" ว่า "สังขาร-วิญญาณ-นามรูป-สฬายตนะ-ผัสสะ-เวทยา-ตัณหา-อุปาทาน-ภพ-ชาติ-โสกะ-ปริเทวะ-ทุกขะ-โทมนัส-อุปายาส" คือ อะไร? อย่างไร? นี่เอง

ผู้มี "วิชชา" คือ  ผู้สามารถ รู้จัก รู้แจ้ง รู้จริงสภาวธรรม
ซึ่ง ทั้งรู้ และทั้งปฏิบัติในภาวะต่างๆ คือ "สังขาร-วิญญาณ-นามรูป-สฬายตนะ-ผัสสะ-เวทนา-ตัณหา-อุปาทาน-ภพ-ชาติ-โสกะ-ปริเทวะ-ทุกขะ-โทมนัส-อุปายาส" ที่ควรทำให้ดับไปหรือควรอาศัยอยู่ นี่แหละสำคัญมากในกระบวน ความรอบรู้ทั้งหลายของโลก

จนกระทั่งบรรลุผลสำเร็จ ในการทำความเกิดและความดับของ "สังขาร-วิญญาณ-นามรูป-สฬายตนะ-ผัสสะ-เวทนา-ตัณหา-อุปาทาน-ภพ-ชาติ-โสกะ-ปริเทวะ-ทุกขะ-โทมนัส-อุปายาส" ได้อย่างถูกตัว ถูกสัดส่วนอย่างสัมบูรณ์

และ "วิชชา" นั้นคือ "รู้" อะไร ตรงไหนกันแท้

นั่นก็คือ ผู้สามารถรู้แจ้ง "ความเป็นโลก-เป็นชีวิต" ได้ทะลุปรุโปร่ง หมดความสงสัย หมดความเดือดร้อน สิ้นความดิ้นรนทุกข์ยาก จากที่ตนยังหลงงมงายเป็นทาสอยู่

"รู้" ในที่นี้ จึงหมายเอา "วิชชา" ตัวนี้เอง

มิได้หมายเอาการรู้อะไรต่ออะไรทั่วไป รู้สารพัดให้มากที่สุด ซึ่งเป็นความรู้ทั่วไปรอบโลก

แต่ถ้าผู้ใดปฏิบัติกระทั่งเกิด "วิชชา" แล้ว ผู้นั้นจะได้รู้ได้ว่า แล้วมันรู้อะไรในโลกนี้ได้พิเศษวิเศษขนาดไหน



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น