๗. เรื่องสุปปพุทธกุฏฐิ [๕๑]
ข้อความเบื้องต้น พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเวฬุวัน ทรงปรารภบุรุษโรคเรื้อน ชื่อว่าสุปปพุทธะ ตรัสว่าธรรมเทศนานี้ว่า "จรนฺติ พาลา ทุมฺเมธา" เป็นต้น.
สุปปพุทธะกราบทูลคุณวิเศษแด่พระศาสดา
เรื่องสุปปพุทธะนี้มาแล้วในอุทาน๑- นั่นแล.
ก็ในกาลนั้น สุปปพุทธกุฏฐินั่งที่ท้ายบริษัท ฟังธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว บรรลุโสดาปัตติผล ปรารถนาจะกราบทูลคุณที่ตนได้แล้ว แด่พระศาสดา (แต่) ไม่อาจเพื่อจะหยั่งลงในท่ามกลางบริษัท ได้ไปยังวิหารในเวลามหาชนถวายบังคมพระศาสดากลับไปแล้ว.
____________________________
๑- ขุ. อุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๑๑๒.
คนมีอริยทรัพย์ ๗ เป็นผู้ไม่ขัดสน
ขณะนั้น ท้าวสักกเทวราชทรงทราบว่า "สุปปพุทธกุฏฐินี้ใคร่เพื่อกระทำคุณที่ตนได้ในศาสนาของพระศาสดาให้ปรากฏ" ทรงดำริว่า "เราจักทดลองนายสุปปพุทธกุฏฐินั้น" เสด็จไปยืนในอากาศแล้ว ได้ตรัสคำนี้ว่า "สุปปพุทธะ เธอเป็นมนุษย์ขัดสน เป็นมนุษย์ยากไร้, เราจักให้ทรัพย์หาที่สิ้นสุดมิได้แก่เธอ, เธอจงกล่าวว่า ‘พระพุทธไม่ใช่พระพุทธ, พระธรรมไม่ใช่พระธรรม, พระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์, อย่าเลยด้วยพระพุทธแก่เรา, อย่าเลยด้วยพระธรรมแก่เรา, อย่าเลยด้วยพระสงฆ์แก่เรา."
ลำดับนั้น สุปปพุทธกุฏฐินั้นกล่าวกะท้าวสักกะนั้นว่า "ท่านเป็นใคร?"
สักกะ. เราเป็นท้าวสักกะ.
สุปปพุทธะ. ท่านผู้อันธพาล ผู้ไม่มียางอาย, ท่านเป็นผู้ไม่สมควรจะพูดกับเรา, ท่านพูดกะเราว่า ‘เป็นคนเข็ญใจ เป็นคนขัดสน เป็นคนกำพร้า’, เราไม่ใช่คนเข็ญใจ ไม่ใช่คนขัดสนเลย, เราเป็นผู้ถึงความสุข มีทรัพย์มาก,
ทรัพย์เหล่านี้ คือ ทรัพย์คือศรัทธา ๑, ทรัพย์คือศีล ๑,
ทรัพย์คือหิริ ๑, ทรัพย์คือโอตตัปปะ ๑,
ทรัพย์คือสุตะ ๑, ทรัพย์คือจาคะ ๑,
ปัญญาแลเป็นทรัพย์ที่ ๗,
ย่อมมีแก่ผู้ใด จะเป็นหญิงก็ตาม เป็นชายก็ตาม, บัณฑิตทั้งหลายกล่าวบุคคลนั้นว่า ‘เป็นคนไม่ขัดสน’, ชีวิตของบุคคลนั้นไม่ว่างเปล่า.๑-
เพราะเหตุนั้น อริยทรัพย์มีอย่าง ๗ นี้ มีอยู่แก่ชนเหล่าใดแล ชนเหล่านั้นอันพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หรือพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่กล่าวว่า ‘เป็นคนจน.’
____________________________
๑- องฺ. สตฺตก. เล่ม ๒๓/ข้อ ๕.
ท้าวสักกะทรงสดับถ้อยคำของสุปปพุทธะนั้นแล้ว ทรงละเขาไว้ในระหว่างทาง เสด็จไปสู่สำนักของพระศาสดา กราบทูลการโต้ตอบถ้อยคำนั้นทั้งหมดแด่พระศาสดาแล้ว.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท้าวสักกะนั้นว่า "ท้าวสักกะทั้งร้อยทั้งพันแห่งคนทั้งหลายผู้เช่นกับพระองค์ ไม่อาจเพื่อจะให้สุปปพุทธกุฏฐิกล่าวว่า ‘พระพุทธไม่ใช่พระพุทธ พระธรรมไม่ใช่พระธรรม หรือพระสงฆ์ไม่ใช่พระสงฆ์’ ได้เลย."
ฝ่ายสุปปพุทธะแลไปสู่สำนักของพระศาสดา มีความบันเทิงอันพระศาสดาทรงกระทำแล้ว กราบทูลคุณอันตนได้แล้วแด่พระศาสดา ลุกจากอาสนะหลีกไปแล้ว. ขณะนั้น แม่โคลูกอ่อนปลงสุปปพุทธะนั้น ผู้หลีกไปแล้วไม่นานจากชีวิตแล้ว.
บุรพกรรมของสุปปพุทธะและแม่โค
ได้ยินว่า โคแม่ลูกอ่อนนั้น เป็นยักษิณีตนหนึ่ง เป็นแม่โคปลงชนทั้ง ๔ นี้
คือ
กุลบุตรชื่อปุกกุสาติ ๑
พาหิยทารุจีริยะ ๑
นายโจรฆาตกะชื่อตัมพทาฐิกะ ๑
สุปปพุทธกุฏฐิ ๑
จากชีวิตคนละร้อยอัตภาพ.
ได้ยินว่า ในอดีตกาล ชนเหล่านั้นเป็นบุตรเศรษฐีทั้ง ๔ คน นำหญิงแพศยาผู้เป็นนครโสเภณีคนหนึ่ง ไปสู่สวนอุทยาน เสวยสมบัติตลอดวันแล้ว ในเวลาเย็น ปรึกษากันอย่างนี้ว่า "ในที่นี้ไม่มีคนอื่น, เราทั้งหลายจักถือเอากหาปณะพันหนึ่งและเครื่องประดับทั้งหมดที่พวกเราให้แก่หญิงนี้แล้ว ฆ่าหญิงนี้เสียไปกันเถิด."
หญิงนั้นฟังถ้อยคำของเศรษฐีบุตรเหล่านั้นแล้ว คิดว่า "ชนพวกนี้ไม่มียางอาย อภิรมย์กับเราแล้ว บัดนี้ปรารถนาจะฆ่าเรา, เราจักรู้กิจที่ควรกระทำแก่ชนเหล่านั้น"
เมื่อถูกชนเหล่านั้นฆ่าอยู่ ได้กระทำความปรารถนาว่า "ขอเราพึงเป็นยักษิณี ผู้สามารถเพื่อฆ่าชนเหล่านั้น เหมือนอย่างที่พวกนี้ฆ่าเรา ฉะนั้นเหมือนกัน."
คนโง่ทำกรรมลามก
ภิกษุหลายรูปกราบทูลการกระทำกาละของสุปปพุทธะนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลถามว่า "คติของสุปปพุทธะนั้นเป็นอย่างไร? เพราะเหตุไรเล่า? เขาจึงถึงความเป็นคนมีโรคเรื้อน."
พระศาสดาทรงพยากรณ์ความที่สุปปพุทธะนั้นบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว เกิดในดาวดึงสภพ และการเห็นพระตครสิขีปัจเจกพุทธเจ้า ถ่ม (น้ำลาย) แล้วหลีกไปทางซ้าย๑- ไหม้แล้วในนรกตลอดกาลนาน ด้วยวิบากที่เหลือ ถึงความเป็นคนมีโรคเรื้อนในบัดนี้แล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่านี้เที่ยวกระทำกรรมมีผลเผ็ดร้อนแก่ตนเองแล" ดังนี้แล้ว
เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรมให้ยิ่งขึ้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
๗.
จรนฺติ พาลา ทุมฺเมธา
อมิตฺเตเนว อตฺตนา
กโรนฺตา ปาปกํ กมฺมํ
ยํ โหติ กฏุกปฺผลํ.
ชนพาลทั้งหลาย มีปัญญาทราม มีตนเป็นดังข้าศึก
เที่ยวทำกรรมลามก ซึ่งมีผลเผ็ดร้อนอยู่.
____________________________
๑- อปพฺยามํ กตฺวา ถือเอาความว่า หลีกซ้าย. ธรรมดาบัณฑิตเห็นพุทธบุคคลแล้ว ย่อมหลีกทางขวา. ดูใน อรรถกถาอุทาน หน้า ๓๖๘.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จรนฺติ ความว่า เที่ยวกระทำอกุศลถ่ายเดียวด้วยอิริยาบถ ๔ อยู่.
ชนทั้งหลายผู้ไม่รู้ประโยชน์ในโลกนี้และประโยชน์ในโลกหน้า ชื่อว่าพาล ในบทว่า พาลา นี้.
บทว่า ทุมฺเมธา คือ มีปัญญาเขลา.
บทว่า อมิตฺเตเนว ความว่า เป็นราวกะว่าคนมีเวรผู้มิใช่มิตร.
บทว่า กฏุกปฺผลํ ความว่า มีผลเข้มแข็ง คือมีทุกข์เป็นผล.
ในเวลาจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องสุปปพุทธกุฏฐิ จบ.
-----------------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น