++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557

เรื่องพระอุบลวรรณาเถรี

๐ คนพาลประสพทุกข์เพราะบาปกรรม

พระศาสดาทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาผู้ใดผู้หนึ่งเป็นพาล เมื่อทำกรรมลามก เป็นผู้ยินดีร่าเริง เป็นประดุจฟูขึ้น ๆ ย่อมทำได้ ประดุจบุรุษเคี้ยวกินรสของหวาน มีจำพวกน้ำผึ้ง และน้ำตาลกรวดเป็นต้น บางชนิด” ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม ตรัสพระคาถานี้ว่า :-

๑๐. มธุวา มญญตี พาโลยาว ปาปํ น ปจจติ
ยทา จ ปจจติ ปาปํอถ (พาโล) ทุกขํ นิคจฉติ.

“คนพาลย่อมสำคัญบาปประดุจน้ำผึ้ง ตราบเท่า
ที่บาปยังไม่ให้ผล ก็เมื่อใด บาปให้ผล เมื่อนั้น
คนพาล ย่อมประสบทุกข์”



---------- Forwarded message ----------
From: MaiY
Date: 2013/12/18
Subject: {นานาสาระ ธรรมะสวัสดี: ฉบับที่ 13663} คำถาม พระอุบลวรรณาเถรี
To: dhammasawasdee


เรื่องพระอุบลวรรณาเถรี



พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในวัดพระเชตวัน  ทรงปรารภพระเถรีนามว่าอุบลวรรณา  ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 69 นี้



ครั้งหนึ่ง  มีธิดาเศรษฐีในกรุงสาวัตถีอยู่คนหนึ่ง  นางมีร่างกายงดงามมาก  มีผิวพรรณเหมือนกลีบอุบลเขียว  มารดาบิดาจึงตั้งชื่อนางว่า อุบลวรรณา  กิตติศัพท์ความงามของนางกระฉ่อนไปไกล จนทำให้มีชายมากมายต้องการได้นางมาเป็นภรรยา  ชายเหล่านี้มีทั้งที่เป็นเจ้าชาย  ลูกชายเศรษฐี  เป็นต้น  แต่นางได้ตัดสินใจบวชเป็นภิกษุณี  หลังจากบวชเป็นภิกษุณีแล้ว วันหนึ่งนางได้ไปทำหน้าที่จุดประทีปแล้วกวาดโรงอุโบสถอยู่  นางเพ่งตามองที่เปลวประทีป  ทำฌานมีเตโชกสิณเป็นอารมณ์ให้เกิดขึ้น แล้วกระทำฌานนั้นให้เป็นบท  บรรลุพระอรหัตตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาและอภิญญาทั้งหลาย



ครั้งหนึ่ง นางอุบลวรรณาเถรี หลังจากออกจาริกไปในชนบท ได้ไปปลีกวิเวกอยู่ที่ป่าอันธวัน  วันหนึ่ง ขณะที่นางออกไปบิณฑบาต  นันทมาณพ  ซึ่งเป็นบุตรของลุงของพระเถรี   และหลงรักนางมาตั้งแต่ก่อนที่นางจะมาบวชเป็นภิกษุณี  ได้เข้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ใต้เตียง โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้กำลังข่มขืนนาง  เมื่อนางกลับมาเห็นนันทมาณพก็ได้กล่าวว่า “คนพาล  เธออย่าทำลายตนเองเลย  คนพาล เธออย่าทำลายตนเองเลย” แต่นันทมาณพไม่หยุด  หลังจากข่มขืนจนสำเร็จความใคร่แล้วก็ได้หลบหนีไป  แต่ในทันทีที่เท้าของเขาเหยียบลงบนพื้นดิน แผ่นดินก็ได้แยกออกจากกันสูบเขาไปเกิดในอเวจีมหานรก



เมื่อพระศาสดาสดับเรื่องนี้แล้ว ได้ตรัสพระธรรมบท  พระคาถาที่ 69 ว่า



มธุวา มญฺญตี พาโล

ยาว ปาปํ น ปจฺจติ

ยทา จ ปจฺจติ ปาปํ

อถ ทุกฺขํ นิคจฺฉติฯ

เมื่อพระสัทธรรมเทศนาจบลง  คนเป็นอันมาก บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้น.



ต่อมาพระศาสดารับสั่งให้เชิญพระเจ้าปเสนทิโกศลมาแล้ว ตรัสกับพระราชาถึงอันตรายที่ภิกษุณีทั้งหลายซึ่งไปอยู่ในป่าจะต้องประสบจาก บุคคลชั่วร้ายใช้กำลังข่มเหงหรือข่มขืนนางภิกษุณี  พระราชาได้กราบทูลว่าต่อไปพระองค์จะทรงสร้างวัดสำหรับภิกษุณีทั้งหลายอยู่ภายในเมืองหรือไม่ไกลจากเมืองมากนัก.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น