++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557

คนพาลคือคนที่รู้เต็มอกว่า... สิ่งที่ตนเองทำคืออนันตริยกรรม


“เมื่อก่อนผมไม่เคยนึกเชื่อว่า จะมีคนกล้าจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์แบบแรง ๆ ใครมาเล่าถึงคนโน้นว่าพูดจาอย่างโน้น คนนั้นพูดจาอย่างนั้น ผมไม่ยอมเชื่อ

คิดว่าถ้าไม่เป็นการใส่ไฟ หรือใส่ความเพราะอคติ ก็คงเป็นการฟังผิด แปลผิด ตีความผิด เพราะบางคำพูดแปลได้หลายแง่ และต้องดูเหตุการณ์ ดูอารมณ์คนพูด ดูอารมณ์คนฟัง

แต่หลัง ๆ มานี้เมื่อการเมืองรุนแรงขึ้น ผู้คนทะเลาะกันเอง ขัดแย้งกันเอง ก็เริ่มมีการตั้งโรงเรียนปลุกระดมให้คนตามต่างจังหวัดเกลียดชังฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ โดยเฉพาะฝ่ายที่คิดเห็นไม่เหมือนตน หรือตนหาประโยชน์แล้วไม่ได้รับการตอบสนอง

กลายเป็นว่าถ้าไม่ใช่เป็นพวกก็จงเป็นศัตรู ในที่สุดก็ดึงเอาคนที่วางตัวนิ่ง ๆ เฉย ๆ เป็นกลาง ลงมาย่ำยี ไม่นึกถึงแม้แต่คุณงามความดี และคุณูปการของพระมหากษัตริย์ คุณงามความดีของคนที่เคยทำคุณประโยชน์แก่บ้านเมือง

บางแห่งมีคนหัวรุนแรงออกไปล้างสมองสอนเด็กรุ่นใหม่ และคนตามต่างจังหวัดให้เกลียดชังสถาบันหลักของประเทศ ผมพานักศึกษาไปออกค่ายต่างจังหวัด ได้ยินคนที่นั่นเล่า-พูด และเข้าใจกันอย่างนั้นจนแทบช็อก

แม้การปลุกระดมจะยังไม่สำเร็จเด็ดขาดในเวลาอันใกล้ แต่เมื่อคนทั่วไปมองว่าเป็นสิทธิเสรีภาพ เป็นประชาธิปไตย และไม่ใส่ใจหรือไม่เชื่อ เรื่องก็คงขยายวงกว้างออกไปทุกที จนกลายเป็นเรื่องธรรมดา”

...สนธยา/ม.ราชภัฏ

ตอบ...

ก็ยังดีที่คุณสนธยาเริ่ม “ฉุกใจได้คิดสิการแล้ว ดังดวงแก้วตกต้องแผ่นผา” ในขณะที่หลายคนจนป่านนี้ก็ยังไม่ยอมเชื่อ หรือเชื่อแต่ก็ยังไม่ใส่ใจฉุกใจ บางคนยังพูดเสียอีกว่าแล้วจะเป็นไรไป

ความจริงเรื่องอย่างนี้ถ้าเป็นแค่ความเคารพนับถือ ความไม่เคารพนับถือก็คงไม่สู้กระไรหรอก คิดเสียว่า “ใครชอบใครชังชั่งเขา” สังคมเราก็ไม่ได้อยู่มาด้วยเอกฉันทนิกรสโมสรสมมติทุกเรื่อง

แต่ที่น่าเสียใจก็คือ สภาพบ้านเมือง “หลัง ๆ มานี้” ความรู้สึกนึกคิดที่ผู้คนแตกแยก และเกิดความเกลียดชังกันเป็นผลหรือปลายเหตุจากต้นเรื่องที่มีคนไปทำให้ผู้คนส่วนหนึ่งคิดว่า คนที่เพิ่งโผล่มาทำความดีให้เห็นหลัด ๆ เป็นผู้วิเศษ สามารถช่วยเหลือเกื้อกูลสารพัด ทำให้มีกินมีใช้ เพราะลดแลกแจกแถม

ไม่ต้องดูว่าเขาใช้ทุนจากอะไร มีเหตุจูงใจหวังผลค้ากำไรเกินควรอย่างไร กลายเป็นมีบุญคุณยิ่งใหญ่ ถูกต้องดีงามไปหมดทุกเรื่องยิ่งกว่าคนอื่นที่สะสมคุณงามความดีมานาน ด้วยความเสียสละและเป็นหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่บัดนี้กลายเป็นว่า ถ้าต้องเลือกเอาสักอย่าง ก็จะมีคนเลือกเอาลาในหนังราชสีห์อย่างนี้แหละ!

คนที่ทำสิ่งซึ่งคนอื่นอาจมองว่าเป็นความดีมีคุณูปการนั้น ที่ทำดีก็ดีอยู่หรอก แต่จะรู้หรือไม่รู้ว่ามีคนไปกระพือบุญญาภินิหาร หรือถูกเชิดขึ้นมาเป็นสงครามตัวแทนจนเว่อร์เกินจริง เพื่อหวังเกทับกระทบลบรัศมีความดี และคุณูปการของคนอื่นให้หมดสิ้น แล้วทั้งที่ตนอาจถูกยื้อยุดฉุดกระชากลงมาทำลายเสียเองในวันหนึ่ง เพราะเปราะบางอยู่แล้ว

การกระทำอย่างนี้นับวันจะเป็นอันตรายต่อตัวเองและวงศ์ตระกูล กุมภกรรณที่ออกมาท้ารบกับพระรามเหยง ๆ โดยพื้นฐานแล้วไม่ได้เลวร้ายอะไร พระเป็นเจ้าจึงให้พรมากมาย ถ้าจะว่าผิดก็เพราะ “พาล” และเห็นแก่พวกพ้อง ไม่รู้มาก่อนว่าพระรามคู่ต่อสู้ของตนคือหลักของแผ่นดิน บาปกรรมจึงไม่หนักถึงขั้นอนันตริยะ เมื่อรู้ก็ตกใจแต่จวนเจียนจะวายปราณเสียแล้ว

คนที่รู้อยู่เต็มอกว่ากำลังประทุษร้ายด้วยกาย วาจา ใจต่อใครแล้วยังขืนทำไม่ใช่ “พาล” แต่เป็นการบังอาจเหิมเกริม การกลับลำทำความดีเสียใหม่ อยู่กับความพอเพียงและน่ารัก ด้วยความบริสุทธิ์ใจเท่านั้น ที่จะลบล้างอนันตริยกรรมนั้นได้ ไม่รู้ว่าเรื่องที่คุณสนธยาบ่นมา และที่ผมบ่นไปเป็นเรื่องเดียวกันหรือเปล่า!

ดร.วิษณุ เครืองาม/จันทร์สนุกศุกร์สนาน
เดลินิวส์ออนไลน์, ศุกร์ 24 มกราคม 2557

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น