ปริศนาธรรมงานศพ
อาบน้ำศพ
ศพที่ถูกฆ่าตาย ตกน้ำตาย ตกต้นไม้ตาย เป็นต้น ถือว่า ตายโหง ไม่นิยมอาบน้ำศพ เพียงแต่มัดแล้วนำไปฝังที่ป่าช้า เพราะถือว่าตายไม่บริสุทธิ์ ที่ไม่เผาเพราะกลัวจะเกิดความเดือดร้อนแก่ญาติพี่น้อง แต่ถ้าเป็นการตายธรรมดานิยมอาบน้ำด้วยน้ำหอม
ทางคดีโลก ถือว่าอาบเพื่อปราศจากมลทิน
ทางคดีธรรม ถือว่าสอนให้คนเป็นเอาศิล สมาธิ ปัญญาเป็นน้ำอาบ กาย วาจา ใจ ให้สะอาด
หวีผมศพ
การหวีผมให้ศพ หวีไปข้างหลังครึ่งหนึ่ง ข้างหน้าครึ่งหนึ่ง
ทางคดีโลก ถือว่าหวีสำหรับคนตายและคนเกิดเมื่อหวีแล้ว หักออกเป็นสองท่อนทิ้งเสีย
ทางคดีธรรม ถือว่าเป็นการเตือนให้พิจารณาว่า ความเกิดกับความตาย เป็นของคู่กัน เกิดแล้วต้องตาย ตายแล้วต้องเกิด ผู้ที่ไม่ตายคือผู้ที่ไม่เกิด
นุ่งห่มผ้าศพ
ใช้ผ้าขาวนุ่งสองชั้น ชั้นในเอาชายพกไว้ข้างหลัง ชั้นนอกเอาชายพกไว้ข้างหน้า แล้วห่มผ้าเฉลียงบ่า
ทางคดีโลก ถือว่า นุ่งเอาชายพกไว้ข้างหลังเป็นการนุ่งของคนตาย นุ่งเอาชายพกไว้ข้างหน้าเป็นการนุ่งของคนเป็น
ทางคดีธรรม ถือว่า ที่นุ่งผ้าขาวเป็นการสอนให้มีสุจริต เพราะสุจริตเป็นธรรมที่ขาว
รดน้ำหอมศพ
เมื่อยกศพขึ้นบนเตียงแล้ว เอามือขวาของศพยื่นออกไปบนเตียง เอาหมอนใบเล็กๆ รองหันหัวศพ ไปทางทิศตะวันตกใช้น้ำอบน้ำหอมรด ถ้าผู้ตายเป็นพ่อแม่ ลูกหลานจะนำขมิ้นทาที่หน้าและเท้าพิมพ์ไว้เคารพบูชา
ทางคดีโลก ถือว่า เป็นการแสดงความเคารพต่อศพ และให้ศพมีกลิ่นหอม
ทางคดีธรรม ถือว่า สอนให้เคารพต่อบุคคล วัตถุ สถานที่ และให้รักษาศิลเพราะศิลมีกลิ่นหอมกว่ากลิ่นน้ำอบน้ำหอม
เงินใส่ปากศพ
เงินใส่ปากศพใช้เงินฮาง เงินเหรียญเงินบาท
ทางคดีโลก ถือว่าให้ค่าเสบียงอาหาร ค่ารถ ค่าเรือ แก่ผู้ตายสำหรับเดินทางไปสวรรค์
ทางคดีธรรม ถือว่าสอนคนเป็นให้รู้จักใช้เงินให้เป็นประโยชน์ อย่าตระหนี่ ถี่เหนียว ไม่รู้จักกินรู้จักใช้เวลาตายไปเขาเอาเงินยัดใส่ปาก ก็เอาไปไม่ได้ ปล่อยให้เขาแย่งกันชุลมุนวุ่นวาย
คำหมากใส่ปากศพ
ผู้ชอบกินหมาก เขาก็ตำหมากใส่ปากให้
ทางคดีโลก ถือว่าเป็นการแก้ทุกข์ ถ้าได้กินจิตใจก็สบาย
ทางคดีธรรม สอนให้คนรู้ตัวว่าคนตายเป็นอย่างนี้ เวลาเป็นอยากกินอยากเคี้ยวเวลาตายเอาใส่ปากให้ก็ไม่กิน ไม่เคี้ยว
ปิดตาปิดปาก
เขาใช้ขี้ผึ้งดีปิดตาปิดปากศพ
ทางคดีโลกถือว่าเพื่อป้องกันความอุจาด ลามก
ทางคดีธรรม ถือว่าเป็นการสอน คนเป็น ให้รู้จักระวังรักษา ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อย่าให้ทุกข์เกิดขึ้นเพราะทุกข์ที่เกิดขึ้นเกิดจากไม่สำรวมสิ่งเหล่านี้
มัดศพ
ใช้เชือกหรือด้ายมัดศพ 3 เปราะ คือที่ คอ 1 มือ 1 เท้า 1
ทางคดีโลก ถือว่าเพื่อกัน มิให้ศพพองขึ้นดันโลงแตก
ทางคดีธรรม ถือว่าเครื่องผูกมัดคนมี 3 คือ
ปุตโต คีเว เชือกคือลูกมัดที่คอ
ธนัง ปาเท เชือกคือสมบัติมัดที่เท้า
ภริยา หัตเถ เชือกคือเมียมัดที่มือ
ตรงกับภาษิตโบราณว่าไว้ว่า "ตัณหาฮักลูกเหมือนดังเชือกผูกคอ ตัณหาฮักเมียเหมือนดังปอผูกศอก ตัณหาฮักเข้าของเหมือนดังปอกสุบตีน ตัณหาสามอันนี้มาขีนให้เป็นเชือก ให้กลิ้งเกลือกอยู่ในวัฏะสงสาร
ปูฟากศพ
เอาไม้ไผ่ยาวขนาดโลงสับติดกันเป็นฟากให้ได้ประมาณ 7 ซี่ หรือใช้ไม้ไผ่ 7 ซีก ถักด้วยเชือกหรือหวาย ปูฟากแล้วเอาศพใส่
ทางคดีโลก ถือว่าให้ไฟลอดขึ้นไหม้ศพได้ง่าย
ทางคดีธรรม ถือว่าให้เดินตามทางวิสุทธิมรรค 7 ผู้เดินตามทางสายนี้ ถึงที่หมายง่ายไม่เสียเวลา เหมือนศพที่ปูด้วยฟาก 7 ซี่ ไฟไหม้ง่ายฉะนั้น
บันไดสามขั้น
บันไดทำด้วยก้านกล้วยหรือ ไม้ไผ่ผูกเป็นสามชั้นเหมือนบันไดธรรมดา ขนาดกว้างเท่ากับ ปากโลง วางไว้ข้างนอกหรือในโลงก็ได้
ทางคดีโลก ถือว่าให้ผู้ตายขึ้นลงได้ง่าย และให้พาดบันได้นี้ขึ้นไปไหว้ธาตุเกษแก้วบนสวรรค์
ทางคดีธรรม ถือว่าบันไดพาดบันได 3 ขั้น หมายถึงภพ 3 คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เป็นสถานที่อยู่ของสัตว์ซึ่งจะเกิด ๆ ตาย ๆ
ตั้งศพ
ศพนั้นจะใส่ในโลงหรือไม่ก็ตามจะตั้งไว้ในที่ใดก็ตามต้องหันหัวศพไปทางทิศตะวันตกเสมอ
ทางคดีโลก ถือว่าการนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกนอนอย่างผีหันไปทางทิศตะวันออกนอนอย่างคน
ทางคดีธรรม ถือว่าสอนให้พิจารณาว่า การตายคือการเสื่อมไป สิ้นไป ตกไปเหมือนกับพระอาทิตย์ตกไป
ตามไฟศพ
จุดตะเกียงหรือไต้ไว้ทางหัวและเท้าศพตลอดคืน
ทางคดีโลก ถือว่าจุดไว้แทนไฟธาตุผู้ตายบ้าง จุดไว้กันความกลัวบ้าง
ทางคดีธรรม ถือว่าสอนให้คนมีปัญญาเพราะปัญญานั้นเป็นแสงสว่างในโลก ที่โลกเจริญรุ่งเรืองเกิดเพราะปัญญา
ดับไฟศพ
เมื่อพระมาติกาจบแต่ละครั้ง จะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนก็ตามนิยมดับเทียนหรือตะเกียงชั่วคราว
ทางคดีโลก ถือว่าเป็นการดับเสนียดจัญไร หรือดับความอาภัพ อัปมงคลให้สูญสิ้นไป
ทางคดีธรรม ถือว่าดับไฟเปรียบเหมือนตาย จุดไฟเปรียบเหมือนเกิด ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วจะต้องตาย ที่ไม่ตายไม่มี จะผิดแผกแตกต่างกันบ้างก็ที่เร็วหรือช้าเท่านั้น
การเลี้ยงศพ
ถึงเวลารับประทานอาหารเช้าเย็น เขาจะจัดอาหารคาว หวาน หมาก พลู บุหรี่ มาตั้งไว้ทางหัวโลงแล้วเอามือเคาะโลงปลุกให้ตื่นขึ้นมากิน
ทางคดีโลก ถือว่าเป็นการเลี้ยงผู้ตาย
ทางคดีธรรม ถือว่าสอนคนเป็นให้รู้สึกสำนึกตัวอย่าทำบาป ทำกรรม เพราะกินเช่น ฆ่าเขาลักเขามากิน เป็นต้น เวลาตายแล้วมดกินแทน
งันเฮือนดี
เฮือนที่มีศพอยู่ เรียก เฮือนดี ที่เรียกเช่นนั้นถือเอานิมิตของผู้มา คือบรรดาญาติ พี่น้องเมื่อได้ยินข่าวใครตายลงจะพากันนำข้าวของเงินทองมาช่วยเหลือ มาคบงันจนงานเสร็จ
สวดมาติกา
ก่อนจะเอาศพใส่ในโลง นิมนต์พระสงฆ์มา มาติกาทั้งเช้าและค่ำ เวลาจะมาติกา เจ้าภาพ จุดธูปเทียนบูชาศพ แล้วอาราธนาศีล 5 เอามือเคาะโลงบอกให้ผู้ตายมารับศิลด้วย เสร็จแล้วพระสงฆ์สวดมาติกา
ทางคดีโลก ถือว่าการให้ศีล และสวดมาติกานั้นเป็นการให้บุญแก่ผู้ตาย
ทางคดีธรรม ถือว่าเป็นการสอนให้คนเป็นให้รู้จักรับศีลกินทานเสียแต่เมื่อยังเป็นคน เวลาตายไปแล้วจะทำอะไรไม่ได้ แม้เขาจะปลุกให้ตื่นขึ้นมารับศีลก็ลุกไม่ได้ นี่คือคนตาย
สวดยอดมุข
ยอดมุข คือ ยอดธรรม ยอดธรรมได้แก่ พระอภิธรรมพระที่นิมนต์ไปสวดมาติกาและยอดมุขเป็นจำพวกเดียวกัน แต่เวลาสวดแบ่งหน้าที่กันสองรูปสวดยอดมุขนอกนั้นสวดมาติกา การสวดก็สวดไปพร้อมกันและจบพร้อมกัน
ทางคดีโลก ถือว่าการสวดมาติกา และยอดมุขเป็นการให้บุญแก่ผู้ตาย
ทางคดีธรรม ถือว่าเป็นการชดใช้บุญคุณของท่านผู้มีพระคุณ เช่น พระพุทธเจ้าไปโปรดพระมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แสดงพระอภิธรรม 7 คัมภีร์ โปรดเป็นการชดใช้ค่าข้าวป้อน และน้ำนม
ยกศพออกจากเรือน
ผู้ป่วยนอนตายอยู่ในห้องใดก็ตั้งศพไว้ห้องนั้น เมื่อจะยกศพลงจากเรือนไม่ให้ลอดขื่อเปิดฝาห้องนั้น แล้วยกออกมาทางระเบียงลงนอกชาน
รดน้ำศพ
เมื่อยกศพออกจากเรือนแล้ว พระท่านจะสวดทำน้ำมนต์ เจ้าของบ้านเอาน้ำมนต์ รดจากที่ตั้งศพออกไปเทหม้อน้ำกินน้ำใช้คว่ำปากหม้อไว้ การทำดังนี้ถือว่าน้ำเก่าเป็นน้ำที่ไม่บริสุทธิ์ให้เททิ้งเสีย ถ้าผู้ตายเป็นพ่อแม่เขาจะเอากระดานปูเรือน 2-3 แผ่นมาต่อโลงให้ถือว่า ได้แบ่งเรือนให้พ่อแม่ที่ตายไปได้มีที่อยู่อาศัย พลิกและผูกบันได พอยกศพลงถึงพื้นดินแล้วพลิกบันไดแล้วเอาเรียวหนามผูกปลายติดกันติดไว้ที่ประตูเรือน พอยกศพออกไปแล้วถอนกิ่งไม้นั้นออก
ทางคดีโลก ถือว่าทำเพื่อป้องกันมิให้ผีจำเรือนของตนได้
ทางคดีธรรม ถือว่าสอนให้คนเป็นพิจารณาว่าความยึดมั่นว่า นั่นเรา นั่นของเรา นั่นเป็นตนตัวของเรา
ส่งสะการศพ
ดอกไม้ธูปเทียนเรียกเครื่องสักการะก่อนจะยกศพลงจากเรือน ลูกหลานของผู้ตาย จัดเครื่องสักการะไปเคารพศพส่วนญาติพี่น้องคนอื่นๆ นำเครื่องสักการะไปเคารพที่ป่าช้า การกระทำทั้งนี้ ถือว่า หากได้พลาดพลั้งต่อผู้ตาย ผู้ตายจะได้ยกโทษให้หากมิได้ประมาทพลาดพลั้ง ก็ชื่อว่าได้บำเพ็ญกุศล เคารพต่อวุฒบุคคลอีกโสดหนึ่ง
การหามศพ
ไม้หามใช้ไม้ไผ่บ้าน 2 ลำ เอาโลงขึ้นตั้งขันด้วยตอกชะเนาะหามข้างละ 3-4 คน เอาเท้าศพไปก่อนห้ามพักกลางทาง ห้ามเปลี่ยนบ่า ห้ามข้ามนา ข้ามสวน ที่ทำดังนี้ด้วยถือว่าเป็นของคะลำ
การจูงศพ
ใช้ด้ายหรือเชือกจูงศพ ถ้าผู้ตายมีลูกหลานเป็นผู้ชาย ก็ให้บวชเป็นพระหรือเณร เป็นหญิงให้นุ่งขาวห่มขาวบวชเป็นชีจูงศพไปป่าช้า เมื่อแจกข้าวแล้วจึงสึก หรือจะอยู่ไปตลอดก็ได้
ทางคดีโลก ถือว่าเกิดมาทั้งทีไม่เสียชาติเกิด มีลูกชายลูกหญิงได้บวชจูงไปถึงป่าช้า
ทางคดีธรรม ถือว่าสอนให้ลูกจูงพ่อแม่ขึ้นจากหลุมลึกด้วยการสอนให้พ่อแม่มีศิลธรรมอันดี
หว่านข้าวสาร
เมื่อหามศพออกจากบ้านมีการหว่านข้าวสารไปตลอดทาง
ทางคดีโลก ถือว่าให้ผีลงมาเก็บกินข้าวสาร เวลาหามศพไปจะได้ไม่หนัก
ทางคดีธรรม ถือว่าสอนคนเป็นให้พิจารณาดูว่าข้าวสารคือแก่นข้าว คนเราถ้าถึงแก่นคน ก็ไม่ต้องเกิดตายอีก ข้าวสารก็เหมือนกันจะเอาไปเพาะปลูกก็ไม่เกิดอีก
หว่านข้าวตอกแตก
ข้าวเปลือกที่ใช้คั่วด้วยไฟให้แตกเรียกข้าวตอกแตก ข้าวนี้ใช้โรยไป ตลอดทางเหมือนข้าวสาร
ทางคดีโลก ถือว่าให้ผีอยู่ในโลงลงมาเก็บกิน
ทางคดีธรรม ถือว่าสอนให้คนเป็นพิจารณาดูคนตายว่าคนตายรูปกับนามแตกจากกันเหมือนข้าวตอกแตกที่แตกออกจากกัน
ไม้ขีดทาง
เมื่อหามศพผ่านไป เขาจะใช้ไม้ขีดทางหรือหักกิ่งไม้ไว้ เพื่อให้ผู้ตายตามไป ข้างหลังได้สังเกต อีกอย่างหนึ่งเป็นการลวงตาผีที่กลับมา มันจะเข้าใจว่านี่ไม่ใช่ทางไปบ้านของเรา เพราะมีขีดและกิ่งไม้ขวางทาง
ที่ปลงศพ
ศพที่จะปลงศพนั้น เขาเอาไข่ 1 ใบ ข้าว 1 ปั้น เสี่ยงทายถ้าไข่แตกตรงไหนให้ฝัง หรือเผาตรงนั้น โดยถือว่าตรงนั้นเจ้าของเขาอนุญาตให้แล้ว ผู้ตายก็พอใจอยู่ที่นั่นแล้ว แล้วปลงศพที่ตรงนั้นหาฟืนมากองเป็นกองเรียก กองฟอน ปักหลักสี่หลักที่มุมทั้งสี่เรียกหลักสะกอน เวียนสามรอบ ก่อนจะยกศพขึ้นตั้งกลางกองฟอนหามศพเวียนรอบกองฟอน 3 รอบ
การเวียนต้องเวียนซ้าย
ทางคดีโลก ถือว่าเวียนซ้ายเป็นการแสดงความเคารพต่อศพ
ทางคดีธรรม ถือว่าแม่น้ำคือสงสาร ไหลหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่ไม่ขาดระยะ ตัวคนคือตัวกิเลสเกิดมาแล้วต้องสร้างกรรม ครั้นสร้างแล้วได้รับผลกรรมเกิดขึ้นมาอีก ถ้าไม่ตัดกิเลสขาด เป็นต้องมาเกิดอยู่ร่ำไป กระแทกกองฟอน เมื่อจะยกโลงขึ้นตั้ง ให้เอาโลงกระแทกกองฟอน 3 ครั้ง ที่ทำดังนี้ เป็นการสอนคนเป็น ให้พิจารณาดู อย่าว่าแต่คนเป็นเลยแม้คนตายแล้วก็ยังถูกระแทกแดกดันแล้วจะได้ระมัดระวังตัวต่อไป
ล้างหน้าศพ
ก่อนล้างต้องพลิกศพ เอาผ้าห่อศพออก เพื่อไฟจะได้ไหม้เร็ว แล้วทุบเอาน้ำมะพร้าวและน้ำอบ น้ำหอมล้างหน้าศพ
ทางคดีโลก ถือว่าน้ำมะพร้าวเป็นน้ำที่ใสสะอาดการล้างก็เพื่อให้ศพสะอาด ปราศจากมลทิน
ทางคดีธรรม ถือว่าสอนคนเป็นให้เอาน้ำคือ สุจริตธรรมชำระล้างใจให้สะอาด
โยนผ้าข้ามโลง
เมื่อล้างศพแล้วโยนผ้าข้ามโลง 3 ครั้ง แล้วเอาผ้านั้นไปให้พระนั่งสวดมาติกา เสร็จแล้วจะเก็บไปหรือถวายพระก็ได้ ตามตู้หนังสือใบลาน ผ้าห่อหนังสือโดยมากเป็นผ้าวาหรือผ้าซิ่น เพราะคนโบราณชอบถวายผ้าให้เป็นสงฆ์ ถือว่าเป็นการทำบุญให้ผู้ตายอีกโสดหนึ่ง
ไม้ข่มเหง
ไม้แก่นสองท่อนยาวท่อนละ 2 วาเศษ
ใช้สำหรับบังคับมิให้โลงตกลงจากกองฟอน การเอาไม้ข่มเหงไว้เช่นนี้ ถือว่าเป็นการสอนคนว่าคนเรานั้นไม่ว่าจะชั่วดีมีจนใหญ่เล็กเพียงไหนก็ต้องมีผู้ปกครองคอย ควบคุมดูแลว่ากล่าวตักเตือนอยู่ตลอด
จาก...http://www.dhammathai.org/webboard/view.php?No=3571
เพิ่มเติมอีกเวป
ปริศนาธรรมงานศพ
1. มัดตราสังข์สามเปราะ มัดที่คอ หมายถึง บ่วงรักลูก มัดที่มือ หมายถึง บ่วงรักสามี - ภรรยา มัดตรงข้อเท้า หมายถึง บ่วงรักทรัพย์สมบัติ ติดอยู่สามบ่วงนี้ ไปนิพพานไม่ได้ ต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏไม่มีจบสิ้น
2. เคาะโลงรับศีล ไม่ใช่ให้คนตายมารับศีล แต่เพื่อเป็นการบอกคนที่มาร่วมงานว่า อย่าเอาแต่มัวประมาทขาดสติ ไม่สนใจในหลักธรรมคำสอน เมื่อตายไปหมดโอกาสทำความดี จะเคาะจนโลงแตกก็ลุกขึ้นมาไม่ได้
3. สวดอภิธรรม มักสวดเป็นภาษาบาลี คนเป็นฟังไม่รู้เรื่อง จึงนึกว่าสวดให้คนตาย แต่จริงๆ แล้วเป็นการสวด เพื่อสอนคนที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้นำหลักธรรม ไปปฏิบัติให้เกิดผลดีในชีวิตประจำวัน ดังนั้นแม้จะฟังไม่เข้าใจแต่เพื่อให้การฟังสวดอภิธรรมเกิดผล ควรสำรวมส่งจิตไปอยู่กับเสียงพระสวด ให้จิตสงบนิ่งอยู่กับเสียงพระสวดก็จะเกิดสมาธิจิตได้
4. บวชหน้าไฟ มักเข้าใจกันว่า เป็นการบวชจูงผู้ตายขึ้นสวรรค์ ความจริงนั้น ไม่ใช่ เพราะการบวชหน้าไฟ เป็นการปลงธรรมสังเวชต่อการเกิด แก่ เจ็บ และตายในที่สุด มนุษย์ก็มีเท่านี้ ทำให้เกิดการเบื่อหน่ายต่อชีวิตในโลกียวิสัย ไม่ประสงค์จะอยู่ในเพศฆราวาส แล้วพอใจในสมณเพศ มุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น เข้าสู่มรรคผลนิพพาน
5. การนิมนต์พระจูงออกหน้าศพ เพื่อจะสอนคนที่ยังอยู่ให้ได้สำนึกว่าตอนที่ยังอยู่ ต้องเดินตามหลังพระ หมายความว่าให้ดำเนินชีวิตตามพระธรรมคำสั่งสอนพระพุทธเจ้านั่นเอง จึงจะอยู่ดีมีสุข มีความเจริญก้าวหน้า
6. การเวียนซ้าย 3 รอบ หมายถึง การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพทั้งสามอันมี กามภพ รูปภพ อรูปภพ ด้วยอำนาจกิเลส ตัณหาอุปทาน ก็จะเป็นทุกข์ไม่จบสิ้น ฉะนั้นต้องทวนกระแสกิเลส เป็นการสอนธรรมชั้นสูง จึงได้พาศพเวียนซ้าย
7. การใช้น้ำมะพร้าวล้างหน้าศพ เพื่อชี้ให้เห็นว่า น้ำมะพร้าวเป็นน้ำสะอาด บริสุทธิ์ ผู้เข้าสู่มรรคผลนิพพาน ต้องชำระจิตให้สะอาดด้วยน้ำทิพย์จากพระธรรม
8. การแปรรูป หลังจากเผาแล้ว มีการเก็บอัฐิและมีการเขี่ยขี้เถ้าผู้ตายให้เป็นรูปร่างกลับไปกลับมา เพื่อจะบอกว่าได้กลับชาติใหม่แล้วตามวิบากของกรรมต่อไป
ที่มาhttp://www.dhammajak.net/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น