++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2553

“แผ่นดินของพ่อหลวง-แผ่นดินของเรา”

โดย แสงแดด 7 ธันวาคม 2553 17:21 น.
สืบเนื่องจากเมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม 2553 ที่ผ่านมา นับเป็น “วันพ่อแห่งชาติ” ซึ่งในปี 2553 นี้ ถือได้ว่าเป็นวันสำคัญสำหรับคนไทยทุกคน ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุได้ 83 พรรษา ซึ่งนับว่าเป็น “วันชาติ” เช่นเดียวกัน

ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม จนถึงวันที่ 9 ธันวาคม ศกนี้ เป็นวันเฉลิมฉลองที่สำคัญสำหรับชาวไทยถ้วนหน้า โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครจัดแบ่งทั้งสิ้นเป็น 3 เวทีหลักที่จัดงานเทิดพระเกียรติองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

“แผ่นดินของเรา” เป็นกิจกรรมที่ทางรัฐบาลได้จัด เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา ซึ่งจะมีกิจกรรมทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค

ในกรณีของส่วนกลางนั้น จัดให้เป็น 3 ส่วนสำคัญ กล่าวคือ ส่วนแรก นั้นเป็นการจัดงานมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช โดยมูลนิธิ 5 ธันวามหาราช ระหว่างวันที่ 1-6 ธ.ค. บริเวณศาลฎีกา จะมีพิธีบวงสรวงพระสยามเทวาธิราช และสมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า พิธีอุปสมบท พิธีถวายพระพรชัยมงคลของศาสนาต่างๆ พิธีทำบุญตักบาตร พิธีถวายเครื่องราชสักการะ และพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล พิธีอัญเชิญเครื่องราชสักการะ และการเดินเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ จะเสด็จทรงเป็นประธาน และพิธีเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพร ซึ่งทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เสด็จทรงเป็นประธาน

ส่วนที่ 2 งาน “แผ่นดินของเรา” ที่บริเวณ ลานพระราชวังดุสิต ระหว่างวันที่ 1-9 ธ.ค. ตั้งแต่เวลา 17.00-22.00 น. ทุกวัน จัดแสดงนิทรรศการ เช่น นิทรรศการของ 20 กระทรวง นิทรรศการภาครัฐวิสาหกิจและเอกชน กลุ่มจังหวัด 18 กลุ่ม การจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าโอทอป อาหารและเครื่องดื่มหลากหลาย มีเวทีสำหรับพิธีถวายพานพุ่มเครื่องราชสักการะ ที่สำคัญจะมีการแสดงศิลปวัฒนธรรมจากนักแสดงพื้นบ้าน นักแสดงที่มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ การแสดงของชาติต่าง ๆ 9 ประเทศ คือเกาหลีใต้ อินเดีย ศรีลังกา ตุรกี สวิตเซอร์แลนด์ สโลวาเกีย บัลแกเรีย โปแลนด์ และประเทศไทย รูปแบบและแนวคิดการจัดงาน ประกอบด้วย “แผ่น ดินของเรา” “ทูลละอองฉลองพระชนม์” “รวมกมลถวายพระพร” “มิ่งขวัญทวยนาคร” “ถวายบังคมบรมราชา” “พระบารมีเกริกเกรียงไกร” “รวมน้ำใจกตัญญุตา” “พระก่อพระเกื้อหล้า” และ “พระชนมพรรษาสถาพร”

ส่วนที่ 3 เป็นการจัดขบวนเรือประดับไฟเฉลิมพระเกียรติในแม่น้ำเจ้าพระยา ได้จัดให้มีขึ้นในวันที่ 5 ธ.ค. เวลา 18.00 น. โดยมีขบวนเรือประดับไฟ 32 ลำ ขบวนเรือจากจังหวัดต่างๆ เข้ามาร่วมด้วยที่บริเวณ รพ.ศิริราช และจะมีการร่วมพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล นอกจากนั้นจะมีเวทีแสดงกลางน้ำ เป็นการฉายภาพยนตร์สั้นเฉลิมพระเกียรติ “หนึ่งในน้ำพระราชหฤทัย” มีทั้งสิ้น 7 เรื่อง ประกอบด้วย “เรื่องเดียวกัน” “ราชประชานุเคราะห์” “เหรียญของพ่อ” “อาม่า” “จากฟ้าสู่ดิน” “คนล่าเมฆ” และ “แผ่นดินของเรา”

ส่วนในภูมิภาคนั้น ทุกจังหวัดจัดพิธีและกิจกรรมในวันที่ 5 ธันวาคม ทั่วทั้งประเทศอย่างยิ่งใหญ่ไม่แพ้ส่วนกลางอย่างแน่นอน ทั้งพิธีสงฆ์ ลงนามถวายพระพร กิจกรรมบำเพ็ญพระราชกุศล บำเพ็ญประโยชน์ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ปี 2553 นี้ “วันพ่อแห่งชาติ” ทั้งในส่วนของภาคกลางและตามต่างจังหวัด ทุกจังหวัดทั่วทั้งประเทศ รับรองได้อีกครั้งว่า “ยิ่งใหญ่มาก!”

ความสำคัญของกิจกรรม “แผ่นดินของเรา” นั้น ต้องเรียนว่า กิจกรรมต่างๆ ทั่วทุกหัวระแหงจะได้ถูกนำจัดจากทุกภาคส่วนในสังคมให้ได้รับการตอบสนองจาก พี่น้องพสกนิกรชาวไทยถ้วนหน้า ได้รื่นเริง สนุกสนาน และแน่นอนที่สุด คือ การเฉลิมพระเกียรติที่ยิ่งใหญ่ของการเฉลิมฉลองพระเกียรติยศของพระองค์ท่าน ที่ทรงมีพระชนมายุ 83 พรรษา จากในส่วนของมูลนิธิสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ สภากาชาดไทย สมาคมเสริมความงามแห่งประเทศไทย และท้ายที่สุด “กองทัพบก”

เราชาวไทยทุกคนต้องตระหนักถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว ที่ทรงครองสิริราชสมบัติมายาวนานตลอด 60 กว่าปีที่ผ่านมา ด้วยเริ่มพระบรมปฐมกับการขึ้นครองราชสมบัติ เมื่อมีพระชนมายุได้เพียง 19 พรรษาเท่านั้น ตลอดจนการขึ้นครองราชย์นั้นยังต้องแบกภาระสำคัญที่สูญเสียพระราชบิดา และพระเชษฐารัชกาลที่ 8 พร้อมทั้ง พระปฐมบรมราชโองการ “เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชนชาวสยาม”

ด้วยพระมหาบุญญาธิการของรัชกาลที่ 9 “สมเด็จพ่อหลวง” ที่ ทรงครองราชย์มายาวนานที่สุดในโลก 60 กว่าปีนั้น ในปี 2553 นี้ เราจำต้องน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ พระราชดำริ พระกระแสรับสั่ง ตลอดจน โครงการพระราชดำริของพระองค์ที่ท่านทรงพระดำเนินมาอย่างมากมาย

หรือกล่าวเป็นภาษาชาวบ้านว่า พระองค์ท่านทรงมุ่งเน้นไปที่พสกนิกรเกษตรกรทั่วทุกภูมิภาค โดยเฉพาะกรณีสภาพแวดล้อม ที่ดินทำมาหากิน ตลอดจนพี่น้องเกษตรกรที่ต้องดิ้นรนกับทั้งปัญหาสภาวะภัยแล้ง และอุทุกภัยมาทุกปี จนในที่สุด “โครงการแก้มลิง” ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพมหานครเท่านั้น พร้อมทั้ง “โครงการฝนหลวง” สำหรับช่วงฤดูแล้ง ที่ทรงตระหนักว่าสังคมไทยเป็นสังคมเกษตรกรรม

ทั้งนี้ เราจะสังเกตได้ว่า “กิจกรรม” ที่เราคนไทยทุกคนจัดเฉลิมฉลองเทิดพระเกียรติพระองค์ท่านนั้น ยังเป็นเพียงเศษเสี้ยวที่เราสามารถตอบสนองพระองค์ท่านเพียงปีละครั้งเท่า นั้น เพราะฉะนั้นเราทุกคนต่างต้องตระหนักในการตอบสนองพระมหากรุณาธิคุณแด่พระองค์ ท่านให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน!

1 ความคิดเห็น:

  1. ในหลวงนักพัฒนา
    นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของความเป็นประเทศไทย มีช่วงเวลาแห่งความมั่นคงอันนำมาซึ่งความสุขเกษมเปรมปรีดิ์ของปวงชนชาวไทย และช่วงเวลาแห่งภาวะวิกฤตของปัญหา อันนมาซึ่งความโศกเศร้าและสิ้นหวัง แต่ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาใด บุคคลหนึ่งซึ่งไม่เคยไหวหวั่นไปตามสถานกรณ์ต่างๆ นั่นก็คือ พระยาทสวมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช หรือในหลวงของเรานั่นเอง ทุกหย่อมหญ้าแห่งความขาดแคลน ทุกพื้นที่อันไร้ซึ่งความเจริญ ไม่มีที่ใดที่พระองค์เสด็จไปเยี่ยมเยียนแล้วจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง
    ตลอดระยะเวลากว่า 60 ปี ไม่มีใครสามารถจำได้ว่าพระองค์เสด็จไปยังที่แห่งใดบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่ประชาชนทุกคนจำได้คือ ไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปไหน ณ ที่แห่งใด จะต้องเห็นสิ่งของสามสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์คือแผนที่ และอีกสิ่งหนึ่งคือดินสอ แต่พระองค์มิได้ทรงใช้สามสิ่งนั้นเพื่อการนันทนาการท่องเที่ยว หากแต่ใช้เป็นอุปกรณ์ในการคิด และหาทางพัฒนาพื้นที่ที่ประทับอยู่นั้นในการคิด และหาทางพัฒนาพื้นที่ที่ประทับอยู่นั้นให้พบกับความเจิรญ ที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในภูมิประเทศ และภูมิอากาศอย่างไร ฟ้าฝนฤดูกาลเป็นเช่นไร พระองคทรงทราบได้จากแผนที่ รายละเอียดของพื้นที่และปัญหาต่างๆ ที่ต้องแก้ไขมีอะไรบ้าง พระองค์ทรงจำได้จากการจดบันทึกและการถ่ายภาพ พระองค์คือตัวอย่างของนักพัฒนาอย่างแท้จริง ซึ่งต้องเตรียมพร้อมและรับรุ้แก้ไขปัญหาต่างๆ เสมอ การทำที่ดินอันแห้งแล้งแตกระแหงให้เป็นผืนนาอันอุดมสมบูรณ์ การทำภูเขาหัวโล้นให้เป็นนอดเขาอันเขียวขจี การทำให้ข้าที่เหี่ยวเฉากลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทุกสิ่งล้วนไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครก็สามารถทำได้ หากแต่ในหลวงของเราสามารถทำได้
    ข้าพเจ้าไม่เคยลืมภาพพระราชกรณียกิจเหล่านี้เลย พระองค์คือแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าคิดที่จะพัฒนาตนเองให้ดีกว่านี้เพื่อจะสามารถพัฒนาประเทศชาติได้ในอนาคต พระองค์ไม่มีอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์ที่จะดลบันดาลสิ่งใดได้ แต่พระองค์ทรงมีพระอัจฉริยภาพ มีความเอาใจใส่ ช่างสังเกต ทำให้ข้าพเจ้าอยากที่จะทำเช่นนี้บ้าง ข้าพเจ้าคิดเสมอว่า "ไม่มีใครเก่งมาได้ตั้งแต่เกิด" พระองค์ยังต้องศึกษาเล่าเรียน ฝึกฝนความคิด กว่าจะมาเป็นนักพัฒนาที่ดีของปวงชนได้ แล้วข้าพเจ้าเป็นใครเล่า หากข้าพเจ้าไม่พยายามศึกษาค้นคว้าหาความรู้ให้กับตัวเอง แล้วข้าพเจ้าจะมีความสามารถอะไรไปพัฒนาประเทศได้ ข้าพเจ้าอ่านหนังสือแทบทุกเวลาที่สามารถทำได้ จดบันทึกทุกเรื่องราวที่มีประโยชน์เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
    พระองค์ยังไม่สนพระทัยกับความเหน็ดเหนื่อย และหยาดเหงื่อที่ไหลออกมา แล้วเหตุใดข้าพเจ้าจะต้องกลัวความเหน็ดเหนื่อย พระองค์ไม่ทรงกลัวความยากลำบาก แล้วเหตุใดข้าพเจ้าจึงจะต้องแสวงหาแต่ความสุขสบาย สิ่งที่พระองค์สนพระทัยคือชีวิตที่ดีกว่าของปวงชน ภายใต้ร่มพระบารมีและสิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าสนใจ ก็คือการพัฒนาตนเองให้มีคุณภาพที่ดีกว่านี้ เพื่อที่ว่าจะสามารถทำประโยชน์ตอบแทนแผ่นดินเกิดของข้าพเจ้าได้ในอนาคต ข้าพเจ้าไม่ใช่คนร่ำรวย ดังัน้นสิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าจะสามารถให้แผ่นดินนี้ได้ ก็คือการเป็นพลเมืองที่มีประสิทธิภาพ และไม่เป็นภาระต่อสังคม
    หนึ่งในเป้าหมายชีวิตของข้าพเจ้าที่อยากจะกระทำให้ได้นั่นก็คือ ข้าพเจ้าอยากเข้าเฝ้าในหลวงแค่สักครั้งหนึ่ง ได้เห็นพระพักตร์อันเปี่ยมด้วยความเมตตาของพระองค์ ข้าพเจ้าจะเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพในการเป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้ประเทศชาติเจริญ เพื่อตอบแทนแผ่นดินเกิด เพื่อตอบแทนบุญคุณของในหลวง เพื่อที่พระองค์จะได้ไม่ผิดหวังกับแรงกายแรงใจที่ทุ่มเทให้กับพสกนิกร และเพื่อที่ข้าพเจ้าตายไปจะมีแต่คนคิดถึงในคุณความดีของข้าพเจ้า และที่สำคัญเพื่อที่ข้าพเจ้าจะได้มีโอกาสถูกเรียกว่า "นักพัฒนา" เฉกเช่น พระองค์บ้าง

    ตอบลบ