โดย วิทยา วชิระอังกูร
ปรากฏการณ์ที่เป็นจริงประการหนึ่ง ในขบวนการต่อสู้ของภาคประชาชนไม่ว่าจะเป็นเสื้อเหลือง เสื้อแดง หรือเสื้อหลากสีใดๆ ก็คือ มีจำนวนผู้หญิงเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองมากกว่าผู้ชายหลายเท่าตัว
ในการชุมนุมยืดเยื้อ 193 วัน ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงเกิดขบวนการแม่ยกที่เป็นกำลังสำคัญด้านมวลชน ทั้งในการเคลื่อนไหวดาวกระจายไปกดดันตามสถานที่ต่างๆ เป็นด่านหน้าในการ ประจันหน้ากับกองกำลังตำรวจและทหาร เป็นกองหนุนด้านเสบียงกรัง อาหาร เครื่องดื่ม ตลอดจนการบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนสิ่งจำเป็นต่างๆ ในการขับเคลื่อนมวลชน จนเกิดเป็นบทเพลง “แม่ยกพันธมิตร” ที่แต่งโดย วงซูซู และ ศรัณญู วงศ์กระจ่าง ซึ่งเป็นเพลงดังติดหูติดใจไม่แพ้เพลง “เทียนแห่งธรรม” ที่เป็นเพลงสัญลักษณ์ของการชุมนุม
แม่ยกพันธมิตรฯ จึงนับเป็นปัจจัยสำคัญยิ่ง ที่แกนนำและผู้ที่ร่วมการต่อสู้ในนามพันธมิตร ประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทุกคนต่างตระหนักรู้ว่า การจะขับเคลื่อนขบวนการการ เมืองภาคประชาชนให้มีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพของมวลชน จะขาดซึ่งปัจจัยสำคัญส่วนนี้ไปไม่ได้
และถ้ายังจำกันได้ ผมเคยอธิบายว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยเนื้อแท้คือการรวมตัวกันของภาคประชาชนหลากหลายรูปแบบ ที่มีจุดมุ่งหมาย ตรงกันเหมือนแม่น้ำหลายสายที่ไหลมารวมกัน แม่ยกพันธมิตรฯ ก็รวมอยู่ในความแตกต่างหลากหลายรูปแบบนั้นเช่นเดียวกัน
หลังชัยชนะที่สามารถทำให้ ทักษิณ ชินวัตร หลุดพ้นจากอำนาจรัฐ การล้มรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จนมาถึงยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สภาพทางการเมืองได้แปรเปลี่ยนไปจากเดิมเป็นลำดับ และการผ่านเหตุการณ์หลากหลายเหตุการณ์ต่อเนื่องกันมา ตั้งแต่วันประกาศยุติการชุมนุม เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2551 เป็นต้นมา ครบ 2 ปีพอดี แม่น้ำหลายสายที่มารวมกันเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็ ย่อมแปรเปลี่ยนไปตามแรงกระเพื่อมของเหตุการณ์และกาลเวลา แม่ยกพันธมิตรฯ ก็อยู่ในวังวนวัฏสงสารนี้ดุจเดียวกัน
เมื่อเหตุการณ์บังคับให้พันธมิตรฯ ต้องหันกลับมาต่อสู้กับรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงเป็นความจำเป็นที่แกนนำจะต้องสำรวจตรวจสอบอย่างไม่สามารถจะ ละเลย แม่ยกพันธมิตรฯ เดิมที่ต้องยอมรับว่า เป็นแม่ยกเก่าแก่ของพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนหนึ่ง และปัจจุบันด้วยบุคลิกภาพอันมีเสน่ห์ดึงดูดเฉพาะตัวของนายกรัฐมนตรีหนุ่มรูป หล่อก็ทำให้เกิด “แม่ยกอภิสิทธิ์” ซึ่งจำนวนไม่น้อยเป็นแม่ยกพันธมิตรฯ เดิมรวมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน
และน่าจะเป็นปมปัญหาใหญ่ที่กระทบกระเทือนต่อการขับเคลื่อนมวลชนของพันธมิตรฯ ที่จะต่อสู้กับอภิสิทธิ์อย่างยากที่จะปฏิเสธได้
ตัวอย่างการพลิกความคาดหมายของการเลือกตั้ง ส.ก., ส.ข. และการชุมนุมหรอมแหรม 3 วันหน้ารัฐสภาที่ผ่านมา คือ ปรากฏการณ์แปรเปลี่ยนของแม่ยกพันธมิตรฯ ส่วนหนึ่งที่แกนนำจะต้องทบทวนกันอย่างจริงจัง
ผมออกจะไม่เห็นด้วยกับอารมณ์ประชดประชันที่บอกว่า คนจะมาชุมนุมมากน้อยไม่สำคัญ แม้มี 3-4 คนก็จะต่อสู้ต่อไป และผมไม่อยากจะเห็นการใช้อารมณ์ผรุสวาท ในทำนองว่า บรรดาแม่ยกอภิสิทธิ์ไร้สมอง มีกิเลสลุ่มหลงความหล่อ และแยกผิดแยกถูกไม่เป็น
เพราะถ้าวิเคราะห์กันอย่างถ่องแท้ ภาพลักษณ์ระหว่างทักษิณ ชินวัตร กับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั้นมีความแตกต่างกันมากโขอยู่ ต้นทุนทางสังคม และบุคลิกภาพเฉพาะตนที่บวกลบ ไม่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง นอกจากการใช้จิตวิทยาฝูงชนระดมคน จึงจำเป็นต้องให้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่จับต้องได้มากขึ้น และต้องกำหนดเป้าหมายการต่อสู้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นด้วย
ผมไม่เชื่อว่าการก่นด่าอย่างรุนแรงที่เคยใช้ได้ผลกับระบอบทักษิณ จะ ใช้ได้กับ การโจมตีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งมีบุคลิกภาพแบบสุภาพบุรุษผู้ดีได้ โดยเฉพาะความสามารถในการ เรียบเรียงถ้อยคำตอบโต้แจงเหตุแจงผลพลิกพลิ้วเอาตัวรอดระดับนักโต้วาทีจากอ อกซฟอร์ด ที่ปราศจากอารมณ์ก้าวร้าวรุนแรง การเลือกใช้วิธีจิกหัวด่า จึงน่าจะเป็นแรงสะท้อนเพิ่มแรงสนับสนุนจากบรรดาแม่ยกให้แก่อภิสิทธิ์มากขึ้น ด้วยซ้ำไป
ผมอยากเห็นการตั้งหลักตั้งสติ มองภาพแม่ยกทั้งมวลอย่างรอบด้าน เป็นไปได้ไหมครับ ที่การตั้งโจทย์และเป้าหมายการต่อสู้ในครั้งหลังๆ มานี้ อาจจะยังไม่มีพลังกระตุ้นให้ผู้คนมีอารมณ์ร่วมอยากออกมาชุมนุม หรือ ว่าคนส่วนใหญ่อาจจะเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้าและเบื่อหน่ายต่อการชุมนุมซ้ำซากใน รูปแบบเดิมๆ โดยเฉพาะในห้วงเวลาที่ประชาชนส่วนหนึ่งกำลังเดือดร้อนจากภัย พิบัติน้ำท่วมอย่างสาหัสด้วย
ผมและผองเพื่อนคอเดียวกันจำนวนไม่น้อย เสียดายการตื่นตัวของการเมืองภาคประชาชนที่หลังการชุมนุมยืดเยื้อ 193 วัน ไม่มีการสานต่อจัดตั้งขบวนการอย่างเป็นกิจลักษณะ มหาวิทยาลัยราชดำเนิน อันทรงคุณค่าปิดเทอมยาวเกินไป เพราะคณาจารย์ส่วนใหญ่มุ่งทำพรรคการเมืองใหม่ จนกลายเป็นเงาทะมึนที่ทาบทับขบวนการภาคประชาชนซึ่งยังไม่มีคำตอบแน่ชัดว่า ส่งผลดีหรือร้ายประการใดแน่
แต่ดูเหมือนแม่ยกพันธมิตรฯ พลังบริสุทธิ์ที่ก่อตัวขึ้นปกป้องชาติบ้านเมืองกำลังถูกแยกสลายอันจะเป็นปม ปัญหาใหญ่ที่ทำให้การเมืองภาคประชาชนเกิดแรงกระเพื่อม กระจัดกระจายไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ผมและผองเพื่อนจึงอยากจะเห็นการแก้สมการปมปัญหาแม่ยกของมวล ชน อย่างมีสติมากกว่าการใช้อารมณ์เสียดสีประชดประชัน ที่รังแต่จะผลักไสทำลาย ขบวนการแม่ยก อันจะเป็นการบั่นทอนกำลังการเมืองภาคประชาชนอย่างน่าเสียดาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น