แคปหมู - กระเทียม - ลำไย กำลังกลายเป็นสินค้าที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
"เครือข่ายเกษตรกร อีสาน" แฉพิษ FTA ทำ “กระเทียม-ลำไย-โคเนื้อ-โคนม” ใกล้สูญพันธุ์ หลังสินค้านอกทะลักเข้าประเทศ ไร้การตรวจสอบ เศร้า “แคปหมู" ของฝากชื่อดังเชียงใหม่ ยังต้องอิมพอร์ตจากนิวซีแลนด์ “สถาบันวิจัยสังคม” อัดรัฐบาลไม่จริงใจเมินคำเตือนภาคปประชาชน หวั่นปัญหาลามเรื่อง “อาหาร - วัฒนธรรม - พันธุ์พืช - ยา” แนะวางกรอบป้องกันและเยียวยาให้ชัดเจน
วันนี้ (19 ธ.ค.) ผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้ อำนวยการสถาบันวิจัยสังคม กล่าวถึงการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 หัวข้อ "ร่วมฝ่าวิกฤตความไม่เป็นธรรม นำสังคมสู่สุขภาวะ" ที่จัดระหว่างวันที่ 15 - 17 ธ.ค. ที่ผ่านมา โดยที่ประชุมคณะกรรมการสุขภาพฯ เห็นชอบให้บรรจุวาระ "การป้องกันผลกระทบต่อสุขภาวะจากการค้าเสรีระหว่างประเทศ" เป็น วาระเร่งด่วน ซึ่งการกำหนดวาระประชุมนี้ได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการจัดสมัชชา สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2553 ข้อ 7.1 วรรค (4) โดยขอให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้ร่วมพิจารณาร่างมติ และขณะนี้ที่ประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติได้รับเรื่องเพื่อนำไปพิจารณา แล้ว ว่าตนเป็นนึ่งในผู้ที่เข้าร่วมประชุม ซึ่งมีความเห็นว่า หากการค้าทวิภาคีหรือการค้าฝ่ายเดียวเกิดขึ้นก็ไม่ต่างกับการถูกบีบบังคับ ซึ่งภาคประชาชนกังวลกับการเจรจาการค้าเสรี เพราะผลกระทบไม่ใช่เพียงเรื่องสุขภาพแต่รวมถึงความมั่นคงทางอาหาร ศิลปวัฒนธรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ พันธุ์พืช สิทธิบัตรต่างๆ การเข้าถึงยา การทำการเกษตร สุขภาพสิ่งแวดล้อม จึงต้องมีการศึกษาผลกระทบให้รอบด้านก่อนนำไปสู่การวางกรอบเพื่อเข้าสู่การ พิจารณาของรัฐสภา เพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนทั้งประเทศ จึงต้องดำเนินการโดยมีกระบวนการป้องกันและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบตามเกณฑ์ มาตรฐานที่คณะกรรมการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติตั้งไว้ โดยเฉพาะผลกระทบด้านสุขภาวะและด้านสังคม นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องหาทางปฏิรูปกองทุนเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผล กระทบอย่างถูกต้องด้วย
“รัฐบาลต้องทำการค้าเสรีอย่างโปร่งใส ตามขั้นตอน คำนึงถึงผลกระทบไม่น้อยไปกว่าผลประโยชน์ทางธุรกิจ และประชาชนต้องมีส่วนในการรับรู้ และวันนี้เป็นการรวมกลุ่มของสมาชิกภาคีสุขภาพจำนวนมาก หากภาคีสุขภาพยอมนิ่งดูดายคงมีปัญหาเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เป็นเรื่องที่เศร้าใจเพราะที่ผ่านมามีการเปิดรับฟังปัญหาของการเจรจาการค้า เสรีจากภาคประชาชนแล้วแต่รัฐบาลกลับไม่นำไปใช้หรือไปพิจารณา แสดงให้เห็นว่าหน่วยงานที่ดำเนินการไม่มีความจริงใจในการใช้ ข้อมูลของภาคประชาชน กลับไปหาข้อสรุปใหม่ เป็นสิ่งที่ภาคประชาชนรับไม่ได้ เพราะเราต้องการความชัดเจนว่ามีการดำเนินการอะไร ต้องไม่ไปแอบทำแบบ หลบๆซ่อนๆ” ผอ.สถาบันวิจัยสังคม กล่าว
นายอุบล อยู่หว้า เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน กล่าวว่า เป้าหมายหลักของการเจรจาการค้าเสรี คือการขยายสินค้าที่มีทั้งคนได้ประโยชน์และผู้ที่ได้รับผลกระทบ หากดูจากการเจรจาการค้าเสรีที่ผ่านมา อาทิ การเจรจาการค้าเสรีกับประเทศจีนในเรื่องสินค้าเกษตรอย่างกระเทียมที่มีการนำ เข้าจากจีน ทำให้เกษตรกรที่ปลูกกระเทียมพื้นที่หลักในภาคเหนือของไทยต้องล้มละลายและ ต้องไปประกอบอาชีพใหม่จำนวนมาก และรัฐบาลบอกว่าจะเยียวยาไร่ละ 2,000 บาท เพราะยอมรับว่ากระเทียมไทยสู้จีนไม่ได้ และมีราคาเดียวกับกระเทียมไทยคือกิโลกรัมละ 60 บาท แสดงให้เห็นว่าเกษตรกรของไทยถูกทำให้ออกจากระบบการเจรจาการค้าเสรีอย่าง ชัดเจน นอกจากนี้จีนยังมีการเข้ามาค้าขายเอง อาทิ การตั้งโรงงานขนาดใหญ่เพื่อรับซื้อลำไย ทำให้เกิดการกีดกันพ่อค้าคนกลางของไทย จึงต้องตกอยู่ในสภาพที่ต้องไปรับสินค้ามาขายส่งให้กับคนจีนเท่านั้น ทำให้เห็นโครงสร้างการค้าที่เปลี่ยนไปและผลประโยชน์ก็ตกอยู่กับทุนต่างชาติ ที่เข้ามาทำธุรกิจ เพราะลำไยที่คนไทยรับประทานก็เป็นลำไยที่มาจากจีน
นายอุบล กล่าวต่อว่า ใน ส่วนของเกษตรกรที่เลี้ยงโคเนื้อและโคนม แม้รัฐบาลให้เงินกู้ดอกเบี้ยตำก็ไม่สามารถเยี่ยวยาได้ เพราะจะทำให้เกษตรกรหลุดไปจากอาชีพนี้ ในที่สุดประเทศไทยอาจยากที่จะมีการเลี้ยงวัวนม เพราะสู้ต่างประเทศไม่ได้ โดยเฉพาะออสเตเรียและนิวซีแลนด์ ซึ่งประเทศเหล่านี้ใช้วิธีอุดหนุนการผลิต แต่ไทยใช้วิธีตั้งกำแพงภาษีป้องกันการผลิตภายใน จึงไม่สามารถสู้กับต่างประเทศ ที่ใช้วิธีการส่งออกราคาถูก อีกทั้งในส่วนของ “เครื่องใน” ที่ต่างประเทศไม่นิยมรับประทาน กระทั่ง “แคปหมู” ซึ่งเป็นอาหารที่นิยมของทางภาคเหนือ โดยเฉพาะจ.เชียงใหม่ คนที่ไปเที่ยวจะซื้อเป็นของฝาก ซึ่งคนไทยยังไม่รู้ว่า เรานำเข้าจากนิวซีแลนด์ ส่วนเครื่องในหมูนำเข้าจากเกาหลีใต้ เครื่องในวัวจากเดนมาร์ก
“ผมมีความเป็นห่วงเพราะมีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยในการ บริโภคเป็น เนื่องจากระบบตรวจสอบความปลอดภัยของไทยยังไม่มีประสิทธิภาพและยังมีความหละ หลวมไม่เข้มงวด ตรงข้ามกับประเทศอื่น เพราะเวลาเรานำสินค้าส่งออกกลับมีการตรวจอย่างรอบครอบ แต่สินค้าในประเทศกับมีสารพิษตกค้างจำนวนมากไม่มีการตรวจสอบ นอกจากนี้ราคาที่นำเข้ายังส่งผลกระทบต่อระบบภายในประเทศ เพราะส่งผลกับราคาของปศุสัตว์ อาทิ ทำให้ราคาวัวต่ำลง และลักษณะการค้าเสรีแบบนี้จะเกิดขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก และสินค้าที่รัฐบาลบอกเสมอว่าจะได้ประโยชน์จากการค้าเสรี แต่ท้ายที่สุดไม่ได้สวยหรู เพราะเราไม่สามารถนำสินค้าบางอย่างเข้าไปขายที่ประต่างประเทศได้ เช่น ผลไม้ไม่สามารถนำขึ้นเรือส่งไปที่จีนได้ เพราะเขาให้เหตุผลว่ามีสารพิษตกค้าง นอกจากนี้ยังมีระบบมาเฟีย ในจีนที่ไม่ยอมให้นำสินค้าเข้าไปด้วย” นายอุบล กล่าว
นายอุบล กล่าวด้วยว่า ส่วนเรื่องการครอบครองพันธุ์พืชก็เป็นการครอบครองตลาดด้วยการทำสิทธิบัตร เมื่อต่างประเทศได้สิทธิบัตรทางพันธุ์พืชเขาก็ใช้ควบคู่กับการตลาด ที่เสนอพันธุ์พืชเหล่านี้ให้เกษตรกรปลูก ควบคู่ไปกับการรับซื้อด้วยแรงจูงใจ เมื่อเกษตรกรหันมาใช้พันธุ์พืชที่มีสิทธิบัตร ภาย 3-4 ปี ก็ทำให้เกษตรละทิ้งพันธุ์พืชของตัวเอง และพันธุ์พืชเดิมของเกษตรกรก็หายไป ในที่สุดเกษตรกรก็จะพึ่งพิงพันธุ์พืชที่มีสิทธิบัตรเหล่านี้ ซึ่งต่อไปจะเป็นฐานทำลายความหลากหลายทางชีวภาพเพราะการบริโภคถูกชี้นำ อย่างเช่นทุเรียนที่ผู้บริโภครู้จักแค่หมอนทอง กับ ชะนี ทั้งที่ทุเรียนมีมากกว่า 200 สายพันธุ์
“รัฐบาลควรศึกษาผลกระทบที่ผ่านมาที่เกิดจากการทำการค้าเสรี ทั้ง จีน นิวซีแลนด์ ว่าเราได้อะไร-เสียอะไร เพราะผลประโยชน์ไม่เคยตกอยู่กับชาวบ้าน ทั้งที่ควรไปเจรจาเสรีในนามอาเซียนด้วยซ้ำ เพราะอาเซียนไม่ควรอ่อนแอยอมเป็นเบี้ยล่าง เช่น ไทยและเวียดนาม มีสินค้าที่คล้ายกันคือ ปลาทูน่ากระป๋อง ข้าว ควรไปเจราร่วมกัน แต่ต่างคนต่างเจรจา สุดท้ายก็กลายเป็นการแทงข้างหลังกัน อันนี้คือความอ่อนแอของอาเซียนที่น่าเวทนา” เครือข่ายเกษตรกรรมทางเลือกภาคอีสาน กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น